ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - บทที่ 307 ประลองยุทธยามวิกาล
ฉีหล่างยิ้มออกมาอยากเยือกเย็น “ตอนนี้พวกเราอยู่ในสนามรบ หากต้องการให้คนคนหนึ่งหายไป ก็มีสารพัดวิธี วิธีที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุด ก็คือทำให้นางตายไปในสนามรบ ช่วงนี้ทหารแคว้นเซี่ยแทบไม่มีความเคลื่อนไหว แต่คนของข้ารายงานมาว่า กุนซือแห่งแคว้นเซี่ยจะออกไปตรวจตราบริเวณโดยรอบทุกๆวัน เขาคงจะกำลังวางแผนการการโจมตีในครั้งหน้า เมื่อถึงเวลานั้นแล้ว ระหว่างทำศึกสงคราม ข้าจะพยายามหาวิธีทำให้นางอยู่ใกล้ๆข้า เมื่อทหารทั้งสองฝ่ายปะทะกัน ข้าจะให้พวกท่านเตรียมพร้อมเรื่องธนูอยู่ทางด้านหลัง คอยดูสัญญาณมือจากข้า เมื่อข้าส่งสัญญาณมือ พวกท่านก็พุ่งธนูไปที่นาง ลูกธนูที่อาบยาพิษจะคร่าชีวิตของนางให้ตายสิ้นบนสนามรบ”
เฉี่ยนอินกระตุกชายเสื้อของหยุนชาง หยุนชางหันไปก็เห็นเฉี่ยนอินกำลังขยับปาก สื่อความว่าจะให้ลงมือได้เลยหรือไม่ หยุนชางครุ่นคิดสักพักหนึ่งแล้วจึงพยักหน้า นางเดินไปที่ทางเข้ากระโจม ปลดตะขอที่ปิดกระโจมออก แล้วลั่นวาจาเสียงดัง “ความคิดของท่านแม่ทัพฉีนี่ไม่เลวเลย ข้าล่ะนับถือท่านเสียจริงๆ”
ผู้คนในกระโจมพากันหน้าซีด เมื่อหยุนชางก้าวเท้าเข้าไปภายในกระโจม ก็ได้ยินเสียงคนชักดาบออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน หยุนชางจ้องมองแม่ทัพฉีที่มีสีหน้าไม่สู้ดี นางยิ้มและเอ่ยขึ้นมาว่า “ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า แม่ทัพฉีจะให้เกียรติข้าได้ถึงเพียงนี้ ถึงกับลงทุนใช้วิธีนี้มาต่อกรกับข้า สมกับที่เป็นยอดฝีมือจริงๆ”
ฉีหล่างได้ฟังเช่นนั้นแล้วก็รู้ได้ทันทีว่าหยุนชางได้ยินทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาได้พูดไปเมื่อครู่นี้ แสงไฟที่สาดส่องลงมาเผยให้เห็นสีหน้าที่ซีดเผือดของเขา เขากัดฟันแน่น แล้วยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มที่ดูดุดันชอบกล “พระชายาเสด็จมาได้จังหวะพอดี เดิมทีหม่อมฉันคิดว่าจะให้พระองค์ทรงใช้ชีวิตอย่างสงบสุขในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ไม่กี่วันนี้ แต่ในเมื่อทรงเสด็จมาแล้ว หม่อมฉันก็ไม่ขอเกรงใจเลยละกัน แต่ไม่ทราบว่า เหตุใดพระองค์จึงไม่นำจิ้งอ๋องมาด้วยล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
หยุนชางรู้ดีว่าในใจของฉีหล่างนั้นเกรงกลัวจิ้งอ๋อง จึงหัวเราะออกมา “ท่านอ๋องเสด็จมาที่เมืองคังหยางก็เพื่อมาพบข้าเท่านั้น ในเมื่อข้าเป็นใต้เท้ากำกับการของค่ายแห่งนี้ หลายๆปัญหา ข้าควรจะออกมาจัดการด้วยตัวเอง ข้าเองก็ไม่ควรคอยหลบอยู่ด้านหลังจิ้งอ๋องตลอดใช่หรือไม่? อีกอย่าง การจัดการกับแม่ทัพฉี ให้ข้าลงมือเพียงคนเดียวก็เกินพอแล้ว”
“ว่าไงนะ?” ฉีหล่างเอ่ยขึ้น เขารู้สึกประหลาดใจ แล้วหัวเราะออกมา “พระชายาช่างเชื่อมั่นในตนเองเสียจริงๆ……”
“อะไรนะ? เชื่อมั่นในตนเองงั้นหรือ?” หยุนชางส่ายหน้า “พูดเรื่องความเชื่อมั่นในตนเองข้าหรือจะสู้ท่านแม่ทัพฉี สิ่งที่ข้าเชื่อมั่นจริงๆก็คือ ทหารสายลับจำนวน 100 นายที่อยู่กับข้าในเวลานี้ต่างหาก”
พลานุภาพของทหารสายลับ ได้เคยประจักษ์ต่อฉีหล่างแล้วในคืนที่ทหารสองฝ่ายเกิดการปะทะกัน เขารู้ดีว่า เมื่อครู่นี้เขาเห็นหยุนชางแต่เพียงผู้เดียว แต่ความเป็นจริงแล้ว หยุนชางคงจะไม่ประมาทเลินเล่อถึงเพียงนี้ นางปรากฏกายแต่เพียงคนเดียว แต่ข้างกายนางนั้นย่อมมีทหารสายลับคอยดูแลติดตามอยู่ตลอด แต่เมื่อได้ฟังหยุนชางเอ่ยถึงจำนวนของทหารสายลับในเวลานี้ เขาถึงกับหัวเราะ “หม่อมฉันก็นึกว่าพระชายาจะเตรียมผู้อารักขามาเป็นร้อยเป็นพันคนเสียอีก ความเป็นจริงกลับมีแค่ 100 คนเท่านั้นเองหรือ เกรงว่าพระชายาคงจะต้องพ่ายแพ้เสียแล้ว”
เมื่อฉีหล่างพูดจบ หยุนชางก็ได้ยินเสียงคนจำนวนมากดังออกมาจากด้านนอก ฟังดูคล้ายกับเสียงคนกำลังตั้งปืนยาวเอาไว้บนพื้น หยุนชางหลับตาตั้งใจฟังเสียง แล้วจึงค่อยๆลืมตา “แม่ทัพฉีซ่องสุมไพร่พลเป็นหมื่นๆในยามวิกาลเช่นนี้ นี่ท่านคิดก่อกบฏหรืออย่างไร?”
ฉีหล่างรู้สึกเหมือนกำลังฟังเรื่องตลกอยู่ เขาหัวเราะออกมา “พระชายาทรงมีอารมณ์ขันยิ่งนัก แต่ไหนแต่ไรฐานทัพที่เมืองคังหยางมันก็คือถิ่นของหม่อมฉัน พระชายาอย่าทรงหวังว่าหวังชงและหลิวหัวจะมาช่วยพระองค์เอาไว้ได้ สองคนนั้น เกรงว่าในคืนนี้คงจะฟื้นขึ้นมาไม่ได้เสียแล้ว หม่อมฉันชื่นชมพระชายาจริงๆ เสด็จมาประทับที่เมืองคังหยางได้เพียงเดือนเศษ ก็กลายเป็นที่เคารพยกย่องของแม่ทัพทั้งสองเสียแล้ว”
“แม่ทีพฉีอยากรู้หรือไม่ว่าข้าได้ยื่นข้อเสนอใดให้แก่แม่ทัพทั้งสองนั้น?” เมื่อหยุนชางได้ฟังสิ่งที่ฉีหล่างพูดก็ถึงกับยิ้ม “ข้าได้ให้คำมั่นไว้กับพวกเขาว่า ไม่ว่าสงครามครั้งนี้ผลลัพธ์จะออกมาอย่างไร แม่ทัพฉีจะต้องไม่มีที่ยืนในเมืองคังหยางต่อไปได้อีก และข้ายังบอกพวกเขาอีกว่า หากพวกเขาทำงานได้ดีแล้ว จะให้พวกเขาได้มารับใช้จิ้งอ๋อง ข้อเสนอนี้ มีผลต่อทุกท่านที่ยืนอยู่ตรงนี้ด้วย”
ฉีหล่างเห็นว่าแม้ในสถานการณ์ตึงเครียดเช่นนี้ หยุนชางยังมาปลุกระดมคนของตนเองได้อีก แววตาของเขาแฝงไปด้วยความโกรธเคือง “ความคิดของพระชายาช่างล้ำเลิศ แต่พระองค์ทรงลืมไปแล้วหรือว่า หม่อมฉันอยู่ในเมืองคังหยางมานานหลายสิบปี ในเมืองคังหยางแห่งนี้ ในค่ายทหารแห่งนี้ ทุกๆพื้นที่ล้วนอยู่ภายใต้การดูแลปกครองของหม่อมฉัน หากเกิดอะไรขึ้นกับหม่อมฉัน สิ่งที่อยู่ภายใต้การปกครองของหม่อมฉันจะตอบโต้กลับไปอย่างสาสม”
คำพูดเช่นนี้ช่างดูหลงตัวเองจริงๆ และยังเป็นการข่มขู่คนรอบข้างเสียด้วย หยุนชางรู้ดีว่า ฉีหล่างอยากจะกุมอำนาจในเมืองคังหยางเช่นนี้ตลอดไป จึงมีวิธีลับอยู่ในใจหลากหลายวิธี เพื่อใช้ในการผนวกเมืองและค่ายให้เป็นหนึ่งเดียว หยุนชางได้คัดเลือกให้หวังชงและหลิวหัวเข้ามาช่วย ด้วยเหตุผลที่ว่า หวังชงและหลิวหัวล้วนอยู่ตัวคนเดียวไม่มีญาติพี่น้อง จึงไม่ตกเป็นเครื่องมือให้ฉีหล่างข่มขู่ได้
ยังไม่ทันที่หยุนชางจะเอ่ยคำใดออกมา ฉีหล่างก็คิดการชั่ว เขาอาศัยจังหวะที่หยุนชางไม่ทันระวังตัวพุ่งตัวเข้ามาหาหยุนชาง เฉี่ยนอินที่คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา เมื่อเห็นดังนั้นแล้ว ก็ปราดตัวไปข้างหน้า เข้าขัดขวางการโจมตีของฉีหล่างเอาไว้ได้ทัน นางและฉีหล่างต่อสู้กัน เมื่อคนอื่นๆเห็นดังนั้น ก็จะเข้ามาร่วมด้วย หยุนชางจึงเปล่งเสียงดังลั่นออกมาอย่างน่าเกรงขาม
“เหตุใดแม่ทัพฉีจึงไม่ลองถามดูว่า ในมือข้าตอนนี้กำลังถือสิ่งใดเอาไว้ ที่ข้ามาในวันนี้ มิได้ต้องการมาสังหารท่านแม่ทัพ แต่เพียงต้องการให้ท่านแม่ทัพหยุดการปองร้ายข้า พวกเราต่างก็มีเจตนารมณ์เดียวกัน นั่นก็คือกำจัดศัตรูให้พ้นไปจากแผ่นดิน รอให้สงครามสิ้นสุดลง ข้าจะกราบทูลเสด็จพ่อให้ปูนบำเหน็จให้กับท่านอย่างงาม”
ฉีหล่างหัวเราะเยาะ “ขอบพระทัยพระชายาพ่ะย่ะค่ะ แต่หม่อมฉันมีอุปนิสัยที่แปลกอยู่อย่างหนึ่ง คือไม่ต้องการยอมอ่อนข้อให้กับผู้ใด และไม่ชอบฟังคำสั่งของสตรีพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อหยุนชางได้ฟังก็หัวเราะ นางถอยหลังออกมา 2 ก้าว มองดูฉีหล่างที่กำลังประลองกับเฉี่ยนอิน แล้วจึงพูดอย่างเสียงดังฟังชัด “ปี 19 เดือน 6 ฉียวี่จือบุตรของแม่ทัพฉี ได้ทำการสังหารบิดาของหญิงสาวที่เขาหมายปอง ซึ่งอาศัยอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองคังหยาง เขาจับตัวหญิงสาวไปไว้ในห้องห้องหนึ่งภายในจวนฉี ปี 18 เดือน 12 เป็นวันเกิดแม่ทัพฉี ฟู่หลิวซื่อมอบทองคำหมื่นตำลึงมาเป็นของกำนัล ปี 17 เดือน 10 ฉีเหนียนน้องชายแม่ทัพฉีเสียพนันมากกว่าหมื่นตำลึงแต่ไม่ยอมจ่ายเงิน มิหนำซ้ำ กลับสั่งคนให้ไปไล่ฆ่าเจ้าหนี้ ปี 16 เดือน 5 เป็นวันเกิดฮูหยินเจ็ดของแม่ทัพฉี แม่ทัพฉีจับตัวขอทานกว่าร้อยคนในเมืองคังหยางมาขังไว้ในกรง แล้วสั่งให้ขอทานต่อสู้กันเองให้ฮูหยินเจ็ดได้รับชม เหล่าขอทานได้รับบาดเจ็บและตายไปเกือบร้อย……”
ฉีหล่างตกตะลึงและยั้งมือที่กำลังต่อสู้เอาไว้ชั่วครู่ เขาจ้องมองหยุนชางด้วยแววตาดุดัน “พระชายาทรงพระปรีชายิ่ง ถึงกับสามารถขุดคุ้ยเหตุการณ์ต่างๆในอดีตขึ้นมาได้ ไม่ทราบว่าทรงมีจุดประสงค์อันใด?”
หยุนชางมองไปที่เขาและยิ้ม “เมื่อครู่นี้ข้าได้พูดแล้วว่า ข้าเพียงต้องการให้ท่านแม่ทัพหยุดการปองร้ายข้า พวกเราต่างก็มีเจตนารมณ์เดียวกัน นั่นก็คือกำจัดศัตรูให้พ้นไปจากแผ่นดิน”
ฉีหล่างหรี่ตาแล้วแสยะยิ้ม “ที่แท้ พระชายาก็ทรงกำลังโน้มน้าวใจหม่อมฉันอยู่ จึงขุดคุ้ยเรื่องราวเหล่านั้นมาเป็นตัวช่วย นักรบเช่นพวกเรา มีสิ่งเดียวที่ยึดถือก็คือการประลองกำลัง วันนี้ หม่อมฉันใคร่ขอประลองฝีมือกับพระชายาเสียหน่อย หากพระองค์สามารถเอาชนะหม่อมฉันได้ หม่อมฉันก็จะเชื่อฟังและปฏิบัติตามที่พระองค์ต้องการ”
แววตาของหยุนชางส่องสะท้อนความรู้สึกเย้ยหยันออกมา “แม่ทัพฉีแน่ใจนะ?”
แม่ทัพฉียืดอก นัยน์ตาเต็มไปด้วยความจองหอง เขาเคยสังเกตมาหลายคราแล้วว่าพระชายาผู้นี้ไม่มีความสามารถเชิงวิทยายุทธ เมื่อครั้งที่พระชายาประชวร เขาได้แอบถามหมอที่มารักษาอาการของนางที่จวนฉี หมอได้อธิบายว่า ชีพจรของพระชายาไม่ปกติ ไม่สามารถฝึกฝนวิทยายุทธได้ แถมพระวรกายก็ยังไม่ค่อยจะสู้ดีเท่าใดนัก
นางอาจจะหลอกใครต่อใครได้ แต่ไม่มีทางตบตามือหมอได้แน่นอน คนคนหนึ่งมีความสามารถในทางวิทยายุทธหรือไม่นั้น ชีพจรจะเป็นตัวชี้วัดออกมาเอง
“นักรบพูดแล้วไม่คืนคำ!” ฉีหล่างยืนยัน นัยน์ตาแอบดูถูกหยุนชาง
หยุนชางนิ่งไปสักครู่หนึ่งแล้วจึงหัวเราะออกมา “ที่แห่งนี้เห็นทีจะแคบเกินไป คงไม่สะดวกในการประลอง ท่านแม่ทัพจะออกไปที่สนามประลองกับข้าได้หรือไม่? แล้วขอให้เหล่าทหารในค่ายแห่งนี้รวมถึงท่านอ๋องได้มาร่วมเป็นสักขีพยาน ท่านจะว่าอย่างไร? หากข้าแพ้ ข้าจะวางมือจากการดูแลกิจการต่างๆภายในค่ายทหาร หากท่านแม่ทัพฉีเป็นฝ่ายแพ้ จะต้องยอมรับข้อเสนอจากข้า”
ตั้งแต่ตอนที่หยุนชางสาธยายเหตุการณ์ต่างๆของคนในครอบครัวฉีหล่าง ฉีหล่างก็รู้ได้ทันทีว่าวันนี้คงจะเอาชนะนางได้ยาก ยิ่งได้ยินนางพูดเช่นนี้ เขาก็รู้ว่านางต้องการยื่นข้อเสนอแบบใด ข้อเสนอของนางนั้นน่าสนใจไม่น้อย ฉีหล่างครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ แล้วจึงตกปากรับคำ
หยุนชางพยักหน้ารับทราบ แล้วตะโกนสั่งการออกไปยังนอกกระโจม “ไปสั่งการตามนี้ ให้แม่ทัพและทหารทุกนายไปรวมตัวกันที่สนามประลอง แล้วไปทูลเชิญท่านอ๋องให้เสด็จมาเดี๋ยวนี้”