ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - บทที่ 308 ฉีหล่างประลองกับหยุนชาง
เมื่อทุกคนมากันพร้อมแล้ว แสงแห่งรุ่งอรุณก็เริ่มมาเยือนท้องฟ้า จิ้งอ๋องเดินมายังลานประลอง เขาสวมชุดยาวสีดำ มีผ้าคลุมไหล่สีน้ำตาล เขาเดินตาหยีออกมา ท่าทางเหมือนยังนอนไม่เต็มอิ่ม เขาตรงดิ่งเข้ามาหาหยุนชาง แล้วใช้หลังมือสัมผัสไปที่ปลายจมูกของนาง พร้อมขมวดคิ้วแล้วพูดเบาๆ “เย็นเฉียบเลย”
เมื่อเฉี่ยนอินได้ฟัง นางรีบพูดว่า “หม่อมฉันจะไปนำเสื้อคลุมขนจิ้งจอกมาให้พระชายานะเพคะ”
จิ้งอ๋องพยักหน้า เขาจูงมือหยุนชางไปนั่ง แล้วอิงตัวไปหาหยุนชางจากนั้นก็หลับไป คนอื่นๆไม่เคยเห็นจิ้งอ๋องมีลักษณะเช่นนี้มาก่อน ลานประลองเงียบสงัดไปสักพัก ฉีหล่างยืนมองหยุนชางมาจากข้างๆแท่นกลางลานประลอง เขายิ้มอย่างเยือกเย็น นางก็แค่ผู้หญิงที่ดูฉลาดกว่าผู้หญิงธรรมดาทั่วไปก็เท่านั้น ยังคิดที่จะมากุมอำนาจในฐานทัพ แม้จะมีจิ้งอ๋องคอยหนุนหลังอยู่แล้วอย่างไร แม้ว่าจิ้งอ๋องจะมีวิทยายุทธโดดเด่นเกรียงไกร แต่จิ้งอ๋องคงไม่สามารถทำให้คนไร้วิทยายุทธเอาชนะตนเองได้โดยง่ายต่อหน้าธารกำนัลมากมายเช่นนี้เป็นแน่
ผู้คนมากันเต็มลานประลองแล้ว ฉีหล่างขึ้นไปยืนบนแท่น ประกาศเสียงกร้าว “ที่เชิญทุกท่านมาในวันนี้นั้น ก็เพราะข้าและใต้เท้ากำกับการจะทำการประลองยุทธ ผู้ชนะ จะได้ครอบครองอำนาจการดูแลฐานทัพ ส่วนผู้แพ้ จะไม่สามารถออกสิทธิ์ออกเสียงใดๆได้อีก ทุกท่านมากันพร้อมแล้ว ขอจงเป็นสักขีพยานให้กับข้าและใต้เท้ากำกับการด้วย”
ผู้คนในที่นั้นพากันวิพากษ์วิจารณ์กันเซ็งแซ่ หยุนชางได้ยินเสียงใครต่อใครคุยกัน ทุกๆเสียงต่างพากันสงสัย “ใต้เท้ากำกับการเป็นผู้ไร้วิทยายุทธมิใช่หรือ? แล้วนางจะชนะได้อย่างไร? นางคงจะต้องแพ้แน่นอนงั้นหรือ?”
ฉีหล่างมองไปยังหยุนชาง “ท่านใต้เท้ากำกับการ ขอเชิญท่านขึ้นมายังลานประลองขอรับ”
หยุนชางยิ้ม นางหันไปมองจิ้งอ๋อง นางรู้ดีว่าจิ้งอ๋องนั้นมิได้นอนหลับจริงๆ นางจึงยิ้มและพูดว่า “หากพระองค์อยากบรรทมก็เสด็จไปบรรทมที่กระโจมเถิดเพคะ หม่อมฉันประลองไม่นานก็จะกลับไปแล้ว เมื่อคืนหม่อมฉันได้นอนไปเพียงไม่กี่ชั่วยาม อีกประเดี๋ยวก็จะกลับไปนอนต่อเช่นกันเพคะ”
จิ้งอ๋องสูดลมหายใจเข้าปอด เขานั่งหลังตรงแล้วตอบหยุนชาง “ได้” จากนั้นจึงลุกขึ้น แล้วกลับไปที่กระโจม
ฉีหล่างยืนมองจิ้งอ๋องด้วยความสงสัย หยุนชางลุกขึ้นยืน นางมุ่งหน้าไปยังเวทีประลอง เมื่อมาถึงบนเวทีแล้ว นางยิ้มและโค้งคำนับ “ขอท่านแม่ทัพฉีโปรดออมมือให้กับข้าด้วย”
ฉีหล่างยิ้มอย่างเยือกเย็น เขากวาดสายตามองผู้ชมจำนวนมากแล้วยิ้มออกมา “การประลองในวันนี้ เมื่อสิ้นสุดเวลาจะยุติลงทันที”
พูดจบ เขาก็หันไปหยิบดาบเล่มใหญ่มาจากชั้นเก็บอาวุธ แล้วถือเดินไปตรงหน้าหยุนชาง “เชิญใต้เท้ากำกับการเลือกอาวุธ”
หยุนชางพยักหน้า นางหยิบมีดสั้นออกมาจากรองเท้า นางชักฝักมีดออกแล้วเอ่ยขึ้นว่า “พวกมีดทั่วไปเอย ดาบเอย ปืนเอย ข้าใช้ไม่เป็นหรอก มีเพียงอันนี้นี่แหละที่ข้าพอจะถนัดอยู่บ้าง”
ฉีหล่างจ้องมองหยุนชางด้วยความอยากรู้ว่านางต้องการสื่ออะไรกันแน่ ใครๆก็รู้ว่า เมื่อคนสองคนประลองกัน อาวุธที่ใช้จะยาวเกินไปหรือสั้นเกินไปไม่ได้ ที่ยาวเกินไปก็อย่างเช่นปืนกระบอกยาว เพราะจะเป็นอุปสรรคในการเคลื่อนไหว แต่นี่คือมีดสั้น หากไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญจริงๆ เกรงว่าคงจะนำอาวุธไปเฉียดกรายคู่ต่อสู้ไม่ได้ แล้วจะชนะได้อย่างไร?”
“ใต้เท้าแน่ใจหรือว่าจะใช้มีดสั้นเล่มนี้” ฉีหล่างถามนางอีกครั้ง
หยุนชางมองไปที่ชั้นเก็บอาวุธ แล้วมองมาที่มีดสั้นในมือตนเอง “มีข้อห้ามว่าห้ามใช้มีดสั้นงั้นหรือ? ข้าไม่เคยประลองฝีมือกับผู้ใดมาก่อน จึงไม่ค่อยแน่ใจ ใช้มีดสั้นไม่ได้งั้นหรือ?”
“ไม่ใช่ว่าใช้ไม่ได้ขอรับ……” ฉีหล่างมองหยุนชางอย่างเย้ยหยัน “หากว่าใต้เท้าพึงใจ ก็เชิญใช้อาวุธนี้ได้ขอรับ” เพราะเมื่อนางแพ้ ก็จะเป็นความพ่ายแพ้จากความปรารถนาของนางเอง ฉีหล่างคิด
“เช่นนั้น ใต้เท้า เรามาเริ่มกันเลยดีไหม?” ฉีหล่างแสยะยิ้ม เขาแยกขาทั้งสองข้าง แล้วย่อตัวลง ยืนอย่างมั่นคงอยู่ที่ตำแหน่งเดิม
หยุนชางมองมีดสั้นที่อยู่ในมือแล้วยิ้ม “ในเมื่อท่านแม่ทัพเกรงใจข้าเช่นนี้ เช่นนั้นข้า……จะไม่ขอเกรงใจท่านเลยก็แล้วกัน……” เมื่อหยุนชางพูดจบ ก็ปรากฏเป็นเงาคนแวบผ่าน ผู้เข้าชมเห็นแต่เพียงเงาที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วของหยุนชาง ไม่มีใครมองทันว่านางเริ่มจู่โจมอย่างไร จากนั้นพวกเขาก็เห็นหยุนชางไปยืนหยุดอยู่ตรงหน้าฉีหล่างเป็นที่เรียบร้อย
ฉีหล่างตกใจ รีบคว้าดาบมาป้องหน้าของตนไว้ เขาระวังตัวมากขึ้น หยุนชางดูอย่างไรก็ไม่เหมือนคนไร้วิทยายุทธ หากนางไร้วิทยายุทธจริงๆ คงจะไม่สามารถบุกมาโจมตีในระยะประชิดได้รวดเร็วถึงเพียงนี้
หยุนชางไม่มีกำลังภายใน นางรู้จักแต่วิธีต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตาย เมื่อเห็นฉีหล่างนำดาบมาป้อง นางก็ปราดตัวไปอีกด้านหนึ่ง การเคลื่อนไหวที่รวดเร็วนั้น ทำให้นางมาอยู่ที่ด้านหลังของฉีหล่าง มีดสั้นส่องแสงสะท้อนวาววับ มันปักลงไปที่เอวของฉีหล่างอย่างรวดเร็ว
ฉีหล่างตกใจเป็นอย่างมาก เขาค่อยๆถอยหลังไป 2 ก้าว แววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เขาสบสายตาของหยุนชางที่มีความมุ่งมั่นอยู่เต็มเปี่ยม “ใครต่อใครก็พูดกันว่าพระชายาเป็นสตรีที่ไม่ค่อยแข็งแรงนัก ไร้วิทยายุทธ ข้าน้อยก็เคยสังเกตมาหลายครั้ง ก็ไม่เคยเห็นพระองค์ทรงมีกำลังภายใน ไม่คิดเลยว่า พระองค์จะไม่มีกำลังภายในจริงๆ แต่การเคลื่อนไหวที่รวดเร็วนี้ เห็นทีจอมยุทธยอดฝีมือก็คงต้องระวังตัวให้มากๆเสียแล้ว”
หยุนชางส่งยิ้ม ดวงตาเป็นประกาย “ขอบคุณท่านแม่ทัพที่ชม”
คราวนี้ฉีหล่างจะไม่ให้โอกาสหยุนชางได้เป็นฝ่ายเริ่มก่อนอีกแล้ว เขาถือดาบปราดเข้ามา หยุนชางหาได้หลบหลีกไม่ นางชูมีดสั้นขึ้นมาป้องกันตัว อาศัยจังหวะที่ฉีหล่างเผลอ ใช้สันมีดกรีดลงไปจนเป็นรอย ไม่นานนัก นางก็กลับหลังหัน แล้วยกศอกพุ่งชนใส่ฉีหล่าง ฉีหล่างนึกไม่ถึงเลยว่าหยุนชางจะสามารถนำมีดสั้นไปป้องดาบของเขาเอาไว้ได้ แล้วยังใช้วิธีเคลื่อนไหวร่างกายที่รวดเร็วบุกมาประชิดตัวเขาเอาไว้ได้อีก และในเวลานี้ ข้อศอกของหยุนชางก็กำลังพุ่งชนใส่บริเวณท้องของฉีหล่าง
“หื้อ” ฉีหล่างเปล่งเสียงออกมา เขาถอยหลัง 2 ก้าว แล้วเก็บดาบเข้าฝัก จากนั้นจึงปรบมือให้กับหยุนชาง หยุนชางโค้งคำนับ ทว่ามีดสั้นนั้นกลับยังไม่ยอมราวี มันกรีดลงไปที่ขาของฉีหล่าง ฉีหล่างเบิกตาโพลงในขณะที่กำลังจ้องมองคมมีดอันวาววับ เขารู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมาก ราวกับว่าเนื้อบริเวณขาได้ฉีกออกจากกันจนหมด
ฉีหล่างเพิ่งรู้ตัวว่า ดาบที่เขาเลือกมานั้นช่างงี่เง่าไร้ประโยชน์สิ้นดี ในขณะที่เขากำลังทุกข์ทนกับความเจ็บปวดอยู่นั้น หยุนชางก็ได้ยื่นเท้าออกมาแล้วกดลงไปที่ฉีหล่าง นางอาศัยจังหวะที่ฉีหล่างลุกยืนไม่ได้รีบลุกขึ้นมาเอาเชือกมัดแขนฉีหล่างเอาไว้ ในขณะที่ฉีหล่างพยายามจะพุ่งมีดไปแทงที่ด้านหลัง เขาก็รู้สึกได้ว่าต้นคอของเขาจู่ๆก็มีวัตถุเย็นสะท้านมาจ่อ เขาจำต้องยั้งมือเอาไว้ก่อน และไม่กล้ากระทำการใดๆต่อไปอีก
เสียงอุทานดังมาจากผู้เข้าชม พวกเขาไม่อยากจะเชื่อสายตากับภาพที่เกิดขึ้นเบื้องหน้า พวกเขาไม่คิดเลยว่า ฉีหล่างจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ และยิ่งคิดไม่ถึงเลยว่า เขาจะแพ้ได้ภายในเวลาอันรวดเร็วและแพ้อย่างราบคาบเช่นนี้
กล้ามเนื้อส่วนต่างๆของฉีหล่างพากันกระตุก สมองของฉีหล่างคิดสิ่งใดไม่ออกเลยในตอนนี้
หยุนชางเก็บมีดสั้น ถอยหลัง 2 ก้าว นางก้มตัวคำนับฉีหล่าง แล้วหันไปคำนับผู้เข้าชม “ท่านแม่ทัพฉี ต้องขอโทษด้วยที่ได้ล่วงเกิน”
คนในชุดสีหม่นรีบวิ่งเข้ามา ในมือมีเสื้อคลุมขนจิ้งจอกสีขาวโพลน นางพูดกับหยุนชาง “พระชายา เสื้อคลุมขนจิ้งจอกมาแล้วเพคะ”
หยุนชางพยักหน้า นางหันไปมองฉีหล่าง “สิ่งที่ท่านแม่ทัพฉีเคยกล่าวไว้ หวังว่าท่านจะไม่คืนคำ”
ฉีหล่างยังคงหน้าซีดเผือด หยุนชางจัดแต่งเสื้อผ้าแล้วเดินลงเวทีไป เฉี่ยนอินช่วยนางสวมเสื้อคลุมขนจิ้งจอก “ประเดี๋ยวพระชายาก็จะต้องลงแข่งแล้ว สวมสักหน่อยจะได้อุ่นเพคะ ท่านอ๋องกำชับให้หม่อมฉันนำเสื้อคลุมขนจิ้งจอกนี้มาถวายให้ได้ และตลอดการแข่งขัน ห้ามพระชายาถอดออกเป็นอันขาดนะเพคะ”
หยุนชางได้ยินดังนั้นแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ นางก้าวขามุ่งหน้าไปที่กระโจม
“เดี๋ยวสิเพคะ เดี๋ยวก่อน” เฉี่ยนอินวิ่งตามมาจากด้านหลัง “พระชายาจะเสด็จไปไหนล่ะเพคะ? ไม่ใช่กำลังจะลงแข่งหรอกหรือเพคะ?”
“เขาประลองกันเสร็จแล้ว!” เสียงผู้ชายด้านหลังของเฉี่ยนอินตอบกลับมา เฉี่ยนอินหันไปมองก็พบว่าเป็นหลิวหัว นางตกใจ หลิวหัวมิได้ถูกฉีหล่างวางยาหรอกหรือ? เขาไม่เป็นอะไรแล้วหรือนี่? พลันก็คิดไปถึงคำพูดของหลิวหัวเมื่อครู่นี้ “หา อะไรนะ ประลองเสร็จแล้ว?”
หลิวหัวพยักหน้า “ก็ใช่น่ะสิ” แล้วก็มองเฉี่ยนอินด้วยความสงสัย เมื่อเห็นสีหน้าที่แฝงไปด้วยความเสียดายของเฉี่ยนอินจึงพูดว่า “พลาดไปแล้วก็คือพลาดไปแล้ว เจ้าพลาดตอนพระชายาทรงประลองกับคู่ต่อสู้” เขาพยายามเย้าแหย่
“เจ้าไม่ใส่ใจหรอกหรือว่าใครเป็นฝ่ายชนะ?” หลิวหัวถามด้วยความใคร่รู้
คำถามนี้กลับทำให้เขาได้รับการตอบกลับด้วยสายตาที่แสดงความเบื่อหน่าย “แม้ว่าพระชายาจะไม่มีกำลังภายใน แต่ถ้าพูดเรื่องการต่อสู้ บนโลกใบนี้ นางมีคู่ต่อสู้ที่ฝีมือเทียบชั้นสูสีอยู่ไม่มากนักหรอก ไม่ต้องถามก็รู้ว่าพระชายาทรงชนะ”
ผู้คนในลานประลองยังคงตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ที่แห่งนั้นไม่มีผู้ใดเอ่ยคำพูดใดออกมา ดังนั้นสิ่งที่หลิวหัวและเฉี่ยนอินคุยกันจึงทำให้พวกเขาได้ยินกันอย่างชัดเจน ผู้คนต่างพากันทึ่ง ที่แท้ พระชายาไม่เพียงแต่มีความสามารถเชิงวิทยายุทธ แต่ยังมีความสามารถชนิดที่ว่าหาคนมาทัดเทียมได้ยากมากๆ
ฉีหล่างกัดฟัน เขากำดาบในมือเอาไว้จนแน่น นี่เขาต้องพ่ายแพ้ให้กับผู้หญิงคนนั้นหรือนี่ แถมยังโง่คิดว่านางไร้วิทยายุทธ หลงคิดว่าตนต้องชนะขาดลอย แต่กลับไม่เคยคิด ว่าตนเองจะต้องพ่ายแพ้และตกอยู่ในสภาพน่าอนาถเช่นนี้
ไม่ว่าสถานการณ์ ณ ลานประลองในเวลานี้จะเป็นอย่างไร หยุนชางก็หาได้ใส่ใจไม่ นางเดินเข้าไปในกระโจม แล้วก็เห็นว่าเขากำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะ ในมือถือหนังสือ 1 เล่ม แต่กลับดูเหมือนกำลังเหม่ยลอย
หยุนชางจึงเดินเข้าไปหา แล้วยืนมองจิ้งอ๋องอยู่นานสองนาน