ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - บทที่ 310 หยุนชางลงสำรวจพื้นที่
หยุนชางตกใจ ในใจเกิดความสงสัย ท่านฉิงซังกำลังพูดเรื่องอะไรกันนะ? ชะตาเทพปกรณัมเก้าน่านฟ้า? นั่นมันไม่ต่างจากฮองเฮาเลยนี่นา? คำพูดนี้ทำให้หยุนชางรู้สึกสับสนยิ่งนัก หากนางเป็นฮองเฮา แล้วผู้ถือดวงชะตาของฮ่องเต้คือใครล่ะ? ลั่วชิงเหยียนงั้นหรือ?
จิ้งอ๋องเองก็ไม่เข้าใจ แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังคงวางท่าทางปกติ เข้ายิ้มแล้วชี้ไปที่หยุนชาง “ท่านฉิงซัง นางคือภรรยาของข้า ข้าเชิญท่านมาครั้งนี้ เพื่อขอให้ท่านช่วยนาง หาวิธีถอดถอนการโจมตีจากแคว้นเซี่ย”
หยุนชางยิ้มและคารวะท่านฉิงซัง “ท่านอ๋องเคยพูดถึงท่านให้ข้าฟังมาก่อน วันนี้ได้มาพบท่านแล้ว นับเป็นโชคดีจริงๆ เชิญนั่งก่อนนะคะ”
ท่านฉิงซังยิ้มตอบ เขาเดินไปนั่งที่เก้าอี้ เฉี่ยนอินเดินออกมาจากฉากกั้นลม เมื่อเห็นว่ามีแขกมาก็รีบทำการคารวะ “หม่อมฉันจะไปเตรียมน้ำชามาให้ผู้อาวุโสนะเพคะ” พูดจบก็เดินออกไป
แล้วหยุนชางและจิ้งอ๋องก็นั่งลง จิ้งอ๋องยิ้มและเอ่ยขึ้นมาว่า “ไม่กี่วันก่อน ภรรยาของข้าได้รับพระราชบัญชาให้มากำกับกิจการภายในค่ายทหารแห่งนี้ ฝ่ายตรงข้ามคือหลิ่วหยินเฟิง หลิ่วหยินเฟิงเชี่ยวชาญด้านการจัดวางตำแหน่งไพร่พล ภรรยาของข้าไม่มีประสบการณ์ด้านนี้ จึงเกรงว่าจะเสียเปรียบหลิ่วหยินเฟิง”
หยุนชางมองดูจิ้งอ๋องแล้วยิ้ม แต่แววตาของนางกลับรู้สึกละอายใจอยู่ไม่น้อย
เมื่อท่านฉิงซังได้ฟังจิ้งอ๋องอธิบายเช่นนี้ เขาพยักหน้า “หลิ่วหยินเฟิงกับข้าเคยรู้จักกัน เขาเป็นลูกศิษย์ของรุ่นพี่ของข้า แม้จะอายุไม่มาก เล่าเรียนวิชาก็ใช้เวลาเพียงไม่นาน แต่กลับเฉลียวฉลาดรอบรู้ เขาเป็นคนเก่ง มีครั้งหนึ่งที่ท่านอ๋องเคยให้การช่วยเหลือภรรยาของข้า บุญคุณนี้ข้าจะตั้งใจตอบแทนอย่างเต็มที่”
เมื่อหยุนชางและจิ้งอ๋องได้ฟัง พวกเขามองหน้ากัน แล้วคารวะผู้อาวุโสพร้อมกัน “เช่นนั้นแล้ว ก็ขอขอบคุณท่านมาก”
เฉี่ยนอินยกน้ำชาเข้ามา จิ้งอ๋องนั่งสนทนากับท่านฉิงซังอยู่สักครู่ หยุนชางให้เฉี่ยนอินคอยจัดเตรียมที่พักสำหรับท่านฉิงซัง
เมื่อท่านฉิงซังเดินออกไปแล้ว ในกระโจมก็เงียบไปพักหนึ่ง จิ้งอ๋องเงยหน้ามองหยุนชาง “ได้รับแรงช่วยเหลือจากท่านฉิงซัง วิธีจัดวางไพร่พลคงจะไม่ใช่ปัญหาที่น่าหนักใจอีกต่อไปแล้ว วันพรุ่งข้าจะต้องออกเดินทาง เจ้าอยู่ทางนี้ก็ระวังตัวด้วยนะ สนามรบไม่เหมือนที่อื่น เหตุไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้เสมอ เจ้าจงดูแลตัวเอง อย่าให้ตัวเองต้องเสี่ยงอันตราย เจ้าคงเข้าใจนะ ขอเพียงเจ้าปลอดภัย สงครามนี้จึงจะชื่อว่าได้รับชัยชนะ”
หยุนชางพยักหน้า ไม่ได้เอ่ยคำใดออกมา
ยามบ่าย หยุนชางพาหวังชงและสายลับออกไปนอกค่าย เพื่อไปสำรวจทะเลสาบที่ปรากฏในแผนที่
“ทะเลสาบหยุนอยู่บนยอดเขาหลงเซีย มีขนาดกว้างใหญ่ราวๆเมืองคังหยาง น้ำในทะเลสาบลึกมาก แต่เพราะว่าอยู่บนยอดเขาหลงเซียที่สูงชัน จึงไม่ค่อยมีคนได้ขึ้นไป” หวังชงแนะนำข้อมูลทะเลสาบหยุนในระหว่างที่กำลังขี่ม้า
หยุนชางพยักหน้า นางพอทราบข้อมูลเหล่านี้มาก่อนบ้างแล้ว
ภูเขาหลงเซียเป็นภูเขาของเมืองคังหยาง เนื่องจากภูเขาแห่งนี้ตั้งอยู่ด้านหลังของเมืองคังหยาง ดังนั้น ทหารแคว้นเซี่ยจึงไม่สามารถเข้ามาประชิดภูเขาหลงเซียได้ ทะเลสาบหยุนที่อยู่บนยอดเขาหลงเซียเกรงว่าจะรู้จักกันแค่เพียงเฉพาะชื่อ แต่ไม่มีผู้ใดเฉียดใกล้ไปทำการสำรวจมากนัก
ภูเขาหลงเซียค่อนข้างสูงชัน เมื่อปีนเขามาได้ประมาณครึ่งทาง เส้นทางขึ้นเขาก็แคบและคดเคี้ยวขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีทางที่จะนำม้าขึ้นไปได้ หยุนชางลงจากหลังม้า แล้วนำหวังชงและสายลับเดินเท้าขึ้นไปบนภูเขา
ฤดูหนาวมาถึงแล้ว เส้นทางเดินบ้างก็เป็นน้ำแข็งที่ลื่นมาก แม้คนชำนาญการเดินบนพื้นผิวเช่นนี้ก็ยังลำบากและต้องหมดแรงไปไม่น้อย
คณะสำรวจเดินทางไปเรื่อยๆไม่มีการหยุดพัก เมื่อปีนเขามาได้ราวๆ 2 ชั่วยามจึงมาถึงยอดเขา แล้วพวกเขาก็ได้พบกับทะเลสาบหยุนที่สวยใสราวกับแผ่นกระจกสีฟ้าคราม
หยุนชางสูดลมหายใจ นางยิ้มให้กับความงดงามทางธรรมชาติ เมื่อเดินไปดูด้านล่างของภูเขาจากริมทะเลสาบ หยุนชางเอ่ยว่า “ภูเขาหลงเซียนี้เป็นภูเขาที่ค่อนข้างสูงที่อยู่บริเวณเมืองคังหยาง ทางทิศใต้คือเมืองคังหยาง ส่วนทิศตะวันตก คือเนินเขาซีเซี่ย” หยุนชางยิ้ม “เนินเขาซีเซี่ย เป็นต้นน้ำของแม่น้ำจิ้ง……”
หวังชงพยักหน้า “ขอรับ บนเนินเขาซีเซี่ยมีทะเลสาบอยู่แห่งหนึ่ง แต่มีขนาดเล็กกว่าทะเลสาบหยุน หลายปีมานี้ เมืองคังหยางไม่ค่อยมีฝนตก น้ำในทะเลสาบนั่นจึงค่อนข้างแห้งขอดขอรับ”
ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้ม แต่หยุนชางก็ไม่ได้เร่งรีบลงจากภูเขา พวกเขาอ้อมทะเลสาบไปทางทิศตะวันตก เดินไปประมาณครึ่งชั่วยามก็หยุดแวะ นางพูดพึมพำ “สวรรค์โปรดช่วยลูกด้วย”
หวังชงงุนงงสงสัย เขาชะเง้อลงไปดูด้านล่างภูเขาก็พบเจอแต่หน้าผาสูงชัน ไม่สู้กลับไปทางเก่าที่พวกเขาขึ้นมาจะดีกว่า ทางนั้นราบเรียบกว่าเยอะ “ใต้เท้าว่าอะไรนะขอรับ”
หยุนชางไม่ตอบ นางยิ้มออกมามากกว่าเดิม “ฟ้ามืดแล้ว วันนี้ก็พอเท่านี้ พรุ่งนี้เช้าท่านไปดูเนินเขาซีเซี่ยเป็นเพื่อนข้าด้วยนะ”
หวังชงพยักหน้า แล้วหันไปมองหน้าผาสูงชัน ไม่รู้ว่าหยุนชางยิ้มอะไร ส่วนหยุนชางนั้นก็ได้เดินต่อไปเรื่อยๆ
ระหว่างลงเขา เส้นทางอันตรายยิ่งกว่าเดิม เนื่องจากน้ำแข็งปกคลุมพื้นดิน ทางเดินจึงมีความลื่น แม้จะเป็นผู้มีวิทยายุทธ ก็ยังไม่กล้าเสี่ยงใช้วิชาตัวเบา เพราะตำแหน่งที่จะนำเท้าลงได้ ถ้าหากมีความลื่นแม้เพียงนิดเดียว ก็ถือเป็นเรื่องที่อันตรายยิ่งนัก ทุกคนค่อยๆเดินลงจากภูเขาอย่างระมัดระวัง กว่าจะถึงตีนเขาก็ปาไปราวเที่ยงคืน เมื่อกลับไปถึงค่ายก็เป็นเวลาร่วมยามที่ 3 แล้ว เมื่อหยุนชางกลับเข้าไปในกระโจม ก็เห็นจิ้งอ๋องกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างแสงไฟ หยุนชางหันไปมองเฉี่ยนอิน นางรายงานหยุนชางว่า “ท่านอ๋องไม่ได้นอนทั้งคืนเลยเพคะ”
หยุนชางเลิกคิ้ว นางเดินเข้าไปหาจิ้งอ๋อง “ท่านอ๋องอ่านหนังสือทั้งคืนเลยหรือเพคะ?”
จิ้งอ๋องเหมือนจะเพิ่งรู้ตัวว่าหยุนชางเดินเข้ามาหา เขามองไปที่หยุนชาง เห็นเส้นผมของหยุนชางเปียกอยู่ เขาก็ขมวดคิ้ว แล้วยื่นมือไปกุมมือของหยุนชาง “เจ้าไปไหนมา? ไยจึงกลับมาดึกดื่นเช่นนี้? มือเจ้าเย็นขนาดนี้ ผมและตัวเจ้าก็เปียกไปหมดเลย”
หยุนชางสั่งให้เฉี่ยนอินไปต้มน้ำร้อนเข้ามา นางถอดเสื้อคลุมออกและวางไว้ “ไปสำรวจบนยอดเขาหลงเซียมาเพคะ ภูเขานั่นสูงนัก ประกอบกับตอนนี้เป็นฤดูหนาว เส้นทางเต็มไปด้วยน้ำแข็ง ม้าเดินขึ้นไปได้เพียงครึ่งทางก็ไปต่อไม่ได้ พวกเราจึงเดินเท้าขึ้นไป ขากลับลงมาลำบากกว่าขาขึ้นเพคะ ทางเดินนั้นลื่นจริงๆ ก็เลยเสียเวลาไปกับการเดินทางยาวนานเช่นนี้ ตอนนี้เข่าของหม่อมฉันระบมไปหมดแล้วเพคะ” หยุนชางอิดออด “ตอนเช้าน้ำค้างลงหนัก เสื้อผ้าก็เลยชื้นน่ะเพคะ”
จิ้งอ๋องมองนางอย่างไม่ค่อยสนับสนุนเท่าไร “เมื่อวานข้าก็พูดกับเจ้าอยู่ว่า ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องเอาตัวเองไปเสี่ยงอันตราย ผู้ใต้บังคับบัญชาของเราไม่ได้มีไว้ให้เจ้าเลือกใช้ให้ไปทำงานให้หรอกหรือ?”
หยุนชางออดอ้อน “เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ท้าทาย แล้วอีกอย่างก็ค่อนข้างอันตรายด้วย ข้าจึงต้องไปดูด้วยตัวเอง มิเช่นนั้นข้าคงจะไม่สบายใจแน่นอนเพคะ”
เมื่อจิ้งอ๋องได้ฟังแล้วก็ถอนหายใจ ไม่รู้จะพูดกับนางอย่างไรดี