ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - บทที่ 312 ปราบ (๑)
แววตาของจิ้งอ๋องเต็มไปด้วยความแน่วแน่ เขาก้มลงและจูบที่ริมฝีปากของหยุนชาง เมื่อเห็นว่าดวงตาของหยุนชางเบิกกว้างในทันที เขาจึงยกมือขึ้นแล้วปิดตาของนางไว้ เขาอมยิ้มและประทับริมฝีปากอยู่แบบนั้นอยู่นาน จากนั้นจึงขยับออกเล็กน้อยแล้วกล่าวด้วยเสียงเบาๆว่า “ตกลง ข้าจะจำอย่างดี”
เมื่อเขาพูดเช่นนั้นเสร็จเขาก็ปล่อยหยุนชาง แล้วมองจ้องไปที่นางอย่างลึกซึ้ง จากนั้นจึงหันหลังแล้วเดินจากไป
” ลั่วชิงเหยียน!” หยุนชางเรียกเขาขึ้นมาอย่างกะทันหัน
จิ้งอ๋องหยุดเดินแล้วได้ยินเสียงของหยุนชางดังขึ้นด้วยความกังวลเล็กน้อย “เจ้าต้องดูแลตัวเองดีๆเช่นกันนะ อย่าได้รับบาดเจ็บ”
จิ้งอ๋องพยักหน้า “ตกลง”
หลังจากพูดจบ เขาก็เดินออกจากกระโจมไปโดยไม่หันกลับมามอง
ส่วนหยุนชางกลับนั่งกอดผ้าห่มอยู่บนเตียงอย่างเหม่อลอย ผ่านไปอยู่นานจึงตบไปที่ในหน้าร้อน ๆ เบาๆ แล้วล้มตัวลงนอนบนเบาะ “เอ่อ…นี่ข้าเป็นกระไรไป? เหตุใดจึงทำตัวงอแงเช่นผู้หญิงงี่เง่า ไม่ใช่ว่าเขาจะไปแล้วไม่กลับมาอีกสักหน่อย”
อาจเป็นเพราะได้ยินเสียงนี้ เฉี่ยนอินจึงเดินเข้าจากด้านนอกกระโจม พร้อมมองออกไปข้างนอกแล้วเดินอ้อมฉากกั้นเข้ามา ” ดูเหมือนว่าท่านอ๋องจะอารมณ์ดีมากนะเพคะ หม่อมฉันเห็นท่านกำลังยิ้มเพคะ”
เฉี่ยนอินมองไปที่หยุนชางที่กำลังนอนอยู่บนเบาะ ก็ตกตะลึงเช่นกัน ” พระชายาเป็นกระไรไปหรือเพคะ? เหตุใดหน้าจึงแดงเช่นนี้เพคะ?”
หยุนชางตกตะลึงเมื่อได้ยินเช่นนี้ จึงรีบหันกลับไปและพ่นลมหายใจออกอย่างแรง โดยไม่สนใจนาง
เฉี่ยนอินเงียบไปอยู่ครู่หนึ่งและพึมพำว่า “เกิดอะไรขึ้นกับสองคนนี้กันนะ?” หลังจากหยุดไปชั่วครู่จึงกล่าวอีกครั้งว่า “ท่านอ๋องกำลังจะไปที่ใดหรือเพคะ”
หยุนชางกัดฟันแล้วจึงกล่าวว่า “ไปที่เมืองจิ้งหยาง”
“โอ้…” เฉี่ยนอินตอบกลับ “เช่นนั้นพระชายาจะลุกจากพระแท่นบรรทมหรือไม่เพคะ? ตอนนี้เป็นเวลายามซื่อแล้วเพคะ พระชายาไม่เสวยพระกระยาหารเช้าหรือเพคะ? เมื่อสักครู่ก่อนที่หม่อมฉันมาที่นี่ แม่ทัพหวังก็ถามหม่อมฉันว่าพระชายาตื่นหรือยัง”
หยุนชางจึงจะรู้สึกตัว และมีสติมากขึ้น นางยังคงจำได้ว่าเมื่อวานนี้นางได้บอกกับหวังชงว่า จะไปดูเนินเขาชีเซี่ยในเช้าวันนี้
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ หยุนชางจึงลุกขึ้นและกล่าวว่า “ข้าลุกประเดี๋ยวนี้แล้ว”
เฉี่ยนอินรีบหยิบเสื้อผ้าและสวมใส่ให้หยุนชาง และกล่าวว่า “เมื่อตอนที่ท่านอ๋องจากไปท่านได้สั่งหม่อมฉันเป็นพิเศษว่า ตอนนี้อากาศหนาวแล้ว สวมเสื้อผ้าให้พระชายาหลายชั้น หม่อมฉันจึงเปลี่ยนเอาเสื้อผ้าฝ้ายที่หนาขึ้นกว่าเดิมเพคะ เสื้อตัวนี้น่าจะอุ่นตัวอื่นๆ หากพระชายาต้องการที่จะออกจากกระโจมไป หม่อมฉันจะไปเอาผ้าคลุมขนสุนัขจิ้งจอกมาสวมให้พระชายาเพคะ ถึงแม้ว่าเมืองคังหยางนี้จะไม่มีหิมะ แต่ก็หนาวเหน็บเป็นอย่างมาก หนาวมากจนรู้สึกเหมือนลมหนาวพัดเข้ากระดูกเลยเพคะ”
เฉี่ยนอินบ่นอย่างจู้จี้ แต่ไม่ได้สังเกตว่าหยุนชางเหม่อลอยอีกแล้ว
หลังจากตื่นนอน หยุนชางก็ตามหวังชงมาเพื่อขึ้นไปดูเนินเขาชีเซี่ย และตรวจสอบผู้ที่อาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียงเนินเขาชีเซี่ยอย่างละเอียด จากนั้นจึงกลับไปที่กระโจม
ทันทีที่กลับมาที่ค่าย หยุนชางก็ตามเหล่าแม่ทัพหลักมาที่ค่าย คนอื่นๆ มาถึงกันครบแล้ว และหลังจากรอมาครึ่งชั่วโมง ฉีหล่างจึงเดินเข้ามาอย่างไม่รีบร้อน แววตาของหยุนชางจับจ้องไปที่ฉีหล่าง และกล่าวพร้อมรอยยิ้มที่เย็นชา “วันนั้นแม่ทัพฉีได้ประลองฝีมือกับข้าในลานประลอง เราเดิมพันด้วยอำนาจในการตัดสินใจในค่ายนี้ สงสัยว่าแม่ทัพฉีคงจะลืมไปกระมั้งว่า ศึกนั้นข้าเป็นผู้ชนะ”
สีหน้าของฉีหล่างค่อนข้างแย่ สองสามวันมานี้เขามักจะรู้สึกว่าแววตาที่ทุกคนมองมาที่เขานั้นแปลกๆ แน่นอนว่าเขาทราบดีว่า การที่ต้นแพ้ให้กับผู้หญิงนั้นเป็นเรื่องที่น่าอับอาย เขาอยากจะให้ทุกคนลืมสิ้นเรื่องนี้ไปเสีย แต่ไม่คาดคิดว่าหยุนชางกลับพูดถึงมันต่อหน้าทุกคนขึ้นมาอีกครั้ง
“ใต้เท้ามิต้องกล่าวต่อหน้าข้าน้อยเสมอก็ย่อมได้ขอรับ ข้าน้อยจำได้อยู่แล้ว” ฉีหล่างกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
เดิมทีหยุนชางก้มดูแผนที่อยู่ เมื่อได้ยินฉีหล่างกล่าวเช่นนี้ นางก็ยืนตัวตรงและแววตานั้นเย็นชาลงเรื่อยๆ ” ข้าตามทุกคนมาเพื่อหารือเกี่ยวกับสงคราม และนัดเวลาไว้เมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว ทุกคนมาถึงในเวลาดังกล่าว มีเพียงแม่ทัพฉีเท่านั้นที่มาสายไปครึ่งชั่วโมง ข้าจึงคิดว่าแม่ทัพฉีคงลืมเรื่องการประลองฝีมือนั่นไปเสียอีก” หยุนชางกล่าวไปพร้อมหัวเราะเยาะเย้ยอีกครั้ง “ในสนามรบนี้มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ในครึ่งชั่วโมงที่พวกเรากำลังรอแม่ทัพฉี ไม่รู้ว่าศัตรูได้ทำเรื่องกระไรไปบ้างแล้ว ในเมื่อแม่ทัพฉียังจำเรื่องการประลองฝีมือนั้นได้ เช่นนี้ข้าจึงต้องปฏิบัติตามระเบียบวินัยของกองทหาร แม่ทัพหวัง หากมาสายในการหารือเรื่องสงคราม จะต้องลงโทษเช่นไรหรือ?”
เมื่อหวังชงได้ยินเช่นนี้ จึงรีบก้าวไปข้างหน้าและประสานมือตอบกลับ “เรียนใต้เท้าขอรับ แม่ทัพที่มาสายเกินครึ่งชั่วโมงจะต้องยืนท่านั่งม้าเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง ต่อหน้าทหารในกองทัพทั้งหมดในลานประลองขอรับ”
หยุนชางพยักหน้า “ดีมาก ในเมื่อนี่เป็นกฎในค่าย จึงไม่มีข้อยกเว้น แม่ทัพฉีเจ้ารอให้เราอภิปรายเสร็จสิ้น จากนั้นก็ไปทำตามการลงโทษที่ลานประลองเสีย
หยุนชางเห็นเส้นเลือดขึ้นบนหน้าผากของฉีหล่าง มีกลิ่นอายของความโกรธเผยออกมาเล็กน้อย นางจึงอมยิ้มอย่างช้าๆ ” เมื่อวานนี้แม่ทัพฉีกลับไปถึงจวนฉี ท่านได้พบเหล่าฮูเหรินและคุณชายสามหรือไม่?” เมื่อวานนี้จิ้งอ๋องได้บอกกับนางแล้วว่า เขาได้จับตัวครอบครัวของฉีหล่างไปซ่อนไว้ที่ลานบ้านลับๆแห่งหนึ่งในเมืองนี้ หากว่าฉีหล่างยังไม่พอใจ อาจใช้สิ่งนี้ข่มขู่เขาได้เช่นกัน
เมื่อฉีหล่างได้ยินเช่นนี้ เขาสั่นสะท้านแล้วจ้องมองมาที่หยุนชางด้วยแววตาที่โกรธเคืองเล็กน้อย “ที่แท้ก็เจ้านี่เอง!” ในขณะที่พูด เขาก็ก้าวไปข้างหน้าแล้วดึงดาบออกมา ชี้ไปที่หยุนชาง “พูดมาเดี๋ยวนี้ เจ้าจับตัวครอบครัวของข้าไปไว้ที่ไหน”
ในกระโจมนั้นเกิดความวุ่นวายอย่างมาก หยุนชางโบกมือเพื่อส่งสัญญาณให้ทุกคนสงบลง จากนั้นจึงมองไปที่ฉีหล่างและกล่าวว่า “แม่ทัพฉี เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าข้าคือใคร?” หยุนชางยื่นมือออกไปและใช้นิ้วสองนิ้วหนีบดาบเอาไว้ ใบหน้าของนางเย็นชาลงเล็กน้อย ” ช่วงเวลาที่ข้ามาที่เมืองคังหยาง ข้าเคารพแม่ทัพฉีเป็นอย่างมาก ในฐานะที่แม่ทัพฉีเป็นทหารผ่านศึกของแคว้นเรา และมีบุญคุณต่อแคว้นหนิง แต่ดูเหมือนว่าแม่ทัพฉีกลับคิดว่า ข้า หนิงหยุนชางปฏิบัติตนเช่นนั้นเป็นเพราะข้ากลัวแม่ทัพฉี สองสามวันมานี้ พูดได้ว่าแม่ทัพฉีนั้นหน้าไหว้หลังหลอกกับข้า ใช้เล่ห์เหลี่ยมกับข้าไปไม่น้อย เจ้าอย่าได้บังอาจคิดว่า ข้า หนิงหยุนชางตาบอดมองไม่เห็นสิ่งที่เจ้าทำ!”
เสียงของหยุนชางดังขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับพลังอันน่าเกรงขาม ทำให้ทุกคนในกระโจมต่างก็ตกใจและเกิดความกลัวเล็กน้อย ” แม่ทัพฉีลืมไปกระมั้ง ว่าศัตรูของเจ้าคือใคร นี่คือสนามรบ! ไม่ใช่สถานที่เล่นสนุก! ฝั่งตรงข้ามนั้นมีทหารแคว้นเซี่ยหลายแสนนายที่จ้องจะโจมตีเราอยู่ แต่แม่ทัพฉีกลับคิดว่า ข้า หนิงหยุนชาง เป็นศัตรูของเจ้าเพียงเพราะเรื่องศักดิ์ศรีไร้สาระนั่น สิ่งที่ข้าทำในสองสามวันที่ผ่านมานี้ ข้าเพียงแต่อยากจะบอกกับเจ้าว่า อย่าได้คิดว่าข้าเป็นคนอ่อนแอ คิดจะรังแกได้ง่ายๆ หากเจ้ายังไม่สามารถเข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้ได้ ข้าจะทูลต่อเสด็จพ่อทันที และให้เสด็จพ่อนั้นอนุญาตให้แม่ทัพฉีพ้นจากตำแหน่ง ปลดอาวุธและกลับไปที่จวนทันที หากว่าเจ้าไม่ต้องการเช่นนี้ ฉะนั้นก็ต่อสู้ในศึกครั้งนี้ให้ได้ชัยชนะมาอย่างสวยงามเสีย ข้าจะยังเคารพเจ้าในฐานะทหารผ่านศึกของแคว้นหนิงของเรา หากเจ้าคิดที่จะขัดขวางข้าอีกละก็ เมื่อทหารแคว้นเซี่ยโจมตีเมืองคังหยางนี้สำเร็จ ข้าจะสั่งให้คนของข้านำภรรยาและบุตรของเจ้าออกไปนอกเมืองและส่งตัวให้ทหารแคว้นเซี่ย! และบอกพวกเขาว่านี่คือภรรยาและบุตรของฉีหล่าง ผู้พิทักษ์เมืองคังหยาง!”
ฉีหล่างสั่นไปทั้งตัว ไม่รู้ว่าเป็นเช่นนี้เพราะเขาโกรธหรือกลัว ตอนนี้สามารถเห็นเส้นเลือดบนใบหน้าของเขาได้อย่างชักเจน หน้าตาของเขาดูดุร้าย แต่หยุนชางกลับไม่กลัวเลย นางจ้องมองไปที่ฉีหล่างด้วยแววตาที่นิ่งเฉย