ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - บทที่ 318 ฮวากั๋วกงนัดเจอจิ้งอ๋อง
ก่อนข่าวนี้จะถึงหูของจักรพรรดิหนิง หยุนชางต้องเขียนจดหมายอธิบายเรื่องนี้ก่อน และชี้แจงให้ชัดเจนว่าจิ้งอ๋องไม่เคยทราบเรื่องนี้มาก่อน โน้มน้าวให้จักรพรรดิหนิงสนับสนุนจิ้งอ๋องกลับแคว้นเซี่ยเพื่อยึดบัลลังก์ และบอกจักรพรรดิหนิง หากจิ้งอ๋องกลายเป็นจักรพรรดิเซี่ย เขาจะไม่ใช่ศัตรูของแคว้นหนิงอย่างแน่นอน กลับกันจะสามารถนำผลประโยชน์มาสู่แคว้นหนิงได้
ในเวลาเดียวกันนางยังแจ้งเรื่องนี้กับพระสนมจิ่น เพื่อให้พระสนมจิ่นสามารถช่วยเกลี้ยกล่อมจักรพรรดิหนิง
หลังจากมอบจดหมายให้กับองครักษ์ลับแล้ว หยุนชางก็สั่งให้องครักษ์ลับไปที่เมืองจิ้งหยางส่งข่าว แจ้งจิ้งอ๋องเกี่ยวกับเรื่องนี้ และบอกเขาว่านางจะนำกองกำลังไปช่วยอย่างแน่นอน
หลังจากที่ทุกอย่างเรียบร้อย ฉีหล่างก็ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าและเข้ามาในกระโจม
ทันทีที่หยุนชางเห็นเขา ก็รีบถามทันทีว่า “แม่ทัพฉี ตอนนี้ยังเหลือทหารอีกกี่นายที่สามารถโยกย้ายได้?”
ฉีหล่างตอบอย่างรวดเร็ว “ไม่ถึงหนึ่งแสนนายขอรับ”
หยุนชางได้ยิน ก็นิ่งเงียบไป สักพักนางก็ลุกขึ้นยืนอย่างกระทันหัน “ข้าเกรงว่าข้าไม่สามารถรอให้พวกเขากลับมาได้ ตอนนี้กองทัพเซี่ยไปที่เมืองจิ้งหยาง ตอนนี้เมืองคังหยางไม่ได้ตกอยู่ในอันตรายแล้ว ข้าจะนำทหารที่ไม่ถึงหนึ่งแสนนายนี้รีบไปที่เมืองจิ้งหยาง ข้าจะให้เฉี่ยนอินและองครักษ์ลับอีกครึ่งหนึ่งไว้ในค่าย หากแม่ทัพคนอื่นๆกลับมา ต้องขอรบกวนแม่ทัพฉีสั่งการให้คุณชายใหญ่ฉีนำกองกำลังห้าหมื่นนายรักษาการที่ค่ายเมืองคังหยาง และแม่ทัพฉีก็นำทหารคนอื่นๆมาสนับสนุนโดยเร็ว”
ฉีหล่างเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วตอบรับ หยุนชางไม่สนใจสิ่งอื่นใด หลังจากออกจากกระโจม นางก็ให้ทหารข้างกายไปสนามประลองเพื่อนำทหารทั้งหมดกลับมา รีบร้อนออกจากค่าย มุ่งหน้าไปที่เมืองจิ้งหยาง
และในเวลานี้ที่เมืองจิ้งหยาง จิ้งอ๋องยังไม่ทราบว่าหลิ่วหยินเฟิงและเซี่ยโหเหยียนได้นำกองทหารมาที่เมืองจิ้งหยางแล้ว เขากำลังนั่งอยู่ห้องสั่งการเพื่อฟังการรายงานขององครักษ์ลับ “พระชายาได้สั่งให้คนนำกำมะถันและดินประสิวในประทัดหลายๆอัน มาบรรจุไว้ในที่เดียว มัดด้วยอะไรบางอย่าง แล้วจุดไฟด้วยตะกั่วยาว พลังนั้นไม่ธรรมดาจริงๆ ข้าน้อยเห็นว่า แม้แต่คนก็สามารถถูกสิ่งนั้นระเบิดให้ตายหรือทำให้บาดเจ็บได้ แต่กำมะถันและดินประสิวนั้นยากที่จะผลิต ทั้งเมืองสามารถทำได้เพียงไม่กี่ชิ้น มิฉะนั้น คงจะดีถ้านำสิ่งนั้นมาใช้กับศัตรู”
จิ้งอ๋องเอนหลังบนเก้าอื้ หลับตา แล้วเคาะโต๊ะด้วยมือของเขาเบาๆ มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย “ฟังดูน่าสนใจดี ถ้าเจ้าชอบมัน ก็ให้ใครซักคนไปทำมาเล่นสักอัน”
องครักษ์ลับตอบรับอย่างมีความสุขและพูดว่า “เกรงว่าครั้งนี้กองทัพเซี่ยจะถูกกำจัดในมือของพระชายาแล้ว”
จิ้งอ๋องลืมตา แต่ส่ายหัว เขาไม่รู้สึกว่าหยุนชางจะสามารถล้างกองทัพเซี่ยได้ทั้งหมดในครั้งเดียว อย่างไรก็ตามหลิ่วหยินเฟิงไม่ใช่คนที่จะถูกจัดการได้ง่ายๆขนาดนั้น
เมื่อได้ฟังองครักษ์ลับรายงานการจัดเตรียมของหยุนชาง ก็ไม่มีข้อบกพร่องอะไร เขาจึงพูดกับองครักษ์ลับว่า “ไปแจ้งพระชายา แม้ว่าหลิ่วหยินเฟิงจะเป็นหัวสมองของกองทัพเซี่ย แต่เซี่ยโหเหยียนก็ไม่ควรมองข้าม แม้ว่าชายผู้นี้ไม่มีเส้นหยักในหัวสมอง แต่เมื่อพูดถึงการออกศึก เขาเป็นแม่ทัพที่เก่งกาจคนหนึ่ง ดังนั้นพระชายห้ามประมาทเซี่ยโหเหยียนก็พอ”
องครักษ์ลับตอบรับ เมื่อเห็นว่าจิ้งอ๋องไม่มีอะไรสั่งการอีก ก็ถอยออกไป และไปที่เมืองคังหยางเพื่อรายงานข่าว
หลังจากที่องครักษ์ลับจากไป จิ้งอ๋องหยิบหนังสือบนโต๊ะขึ้นมา ดูด้วยรอยยิ้ม ท่าทางของเขาเต็มไปด้วยความสุข
“ก๊อก ก๊อก…” มีเสียงที่ชัดเจนดังขึ้นสองครั้ง จิ้งอ๋องไม่ได้เงยศีรษะ ส่งเสียงว่า “เข้ามา”
ประตูถูกผลักเปิดออก และชายวัยสามสิบเดินเข้ามาจากนอกประตู การแสดงออกของเขาเคร่งขรึมเล็กน้อย “ท่านอ๋อง ฮวากั๋วกงแห่งแคว้นเซี่ยส่งจดหมายมา และขอพบท่านอ๋องที่เนินเขาลั่วยื่อนอกเมืองภายในสามชั่วยาม และบอกว่ามีเรื่องสำคัญที่จะพูดกับท่านอ๋องขอรับ” แล้วยื่นจดหมายให้จิ้งอ๋อง
จิ้งอ๋องเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วรับมา ฉีกเปิดซอง หยิบกระดาษจดหมายออกมาแล้วดู อย่างไรก็ตาม กระดาษจดหมายบอกเพียงว่ามีเรื่องสำคัญที่ต้องหารือ บอกว่าเขาไม่ได้นำอาวุธหรือทหารไป และหวังว่าจิ้งอ๋องจะได้ไปที่นั่นโดยลำพัง
จิ้งอ๋องเงยหน้าขึ้นและกล่าวว่า “จางฉี ให้คนเตรียมม้า”
ชายที่เพิ่งเข้ามาคือจางฉี แม่ทัพผู้ปกป้องเมืองจิ้งหยาง เขาได้ยินคำพูดและก้าวเข้าไปอย่างรวดเร็วและกล่าวว่า “ท่านอ๋อง ระวังมีแผนอุบาย สถานที่นี้ฮวากั๋วกงผู้นั้นเป็นคนเลือกเอง ข้าน้อยเดาว่า เกรงว่าฮวากั๋วกงนั่นได้ตั้งการซุ่มโจมตีอยู่ใกล้เนินเขาลั่วยื่อแน่ ท่านอ๋องอย่าได้ถูกเขาหลอกนะขอรับ”
จิ้งอ๋องยิ้มเล็กน้อย สิ่งที่ว่าเรื่องสำคัญในใจของฮวากั๋วกง เกรงว่ามันคือชาติกำเนิดของเขา นับตั้งแต่ที่เขารู้ชาติกำเนิดของเขา ก็ให้คนตรวจสอบในแคว้นเซี่ย ข้อมูลทั้งหมดที่เขาได้คือ ฮวากั๋วกงกับลูกสาวของเขามีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น ฮวาหลิงและจักรพรรดิองค์ปัจจุบันของแคว้นเซี่ยรู้จักกันตั้งแต่วัยเด็ก นับได้ว่าพวกเขาเป็นคู่รักในวัยเด็ก แต่เนื่องจากฮวากั๋วกงรู้สึกว่าจักรพรรดินั้นมีภรรยามากมาย มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะทำให้ลูกสาวของตนมีความสุข จึงได้ขวางกั้นอยู่พักหนึ่ง แต่เพียงเพราะว่าฮวาหลิงรัก ในที่สุด ฮวากั๋วกงเลยต้องประนีประนอม และฮวาหลิงจึงแต่งงานกับจักรพรรดิเซี่ยองค์ปัจจุบัน
ฮวาหลิงเป็นทายาทของฮวากั๋วกง เขารักเอ็นดูฮวาหลิงตั้งแต่อายุยังน้อย เขายินดีที่จะสอนทุกอย่างกับนาง ดังนั้น แม้ว่าฮวาหลิงจะเป็นผู้หญิง แต่นางก็มีความสามารถมาก เป็นสตรีที่หายากและไม่ธรรมดา จักรพรรดิเซี่ยนำทัพออกศึกก็พานางไปด้วย ทั้งสองรักกันมาก แต่มีบางอย่างเกิดขึ้นในสนามรบ ฮวาหลิงต้องเสียชีวิต ช่วงเวลาข้ามคืน ฮวากั๋วกงชราขึ้นมาก และค่อยๆออกจากตำแหน่ง และแทบจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง
ในเมื่อฮวากั๋วกงรักลูกสาวของเขามากเช่นนี้ และเนื่องจากตนเป็นโอรสของฮองเฮาองค์ก่อนแห่งแคว้นเซี่ย เขาคงจะไม่ทำอะไรกับตน
“ไม่เป็นไร ข้าเองก็ไม่ใช่เด็กอายุสามขวบ มีคนมากมายในโลกนี้ที่ต้องการจะปลิดชีวิตข้า ข้าก็ยังมีชีวิตอยู่มิใช่หรือ ไม่มีต้นไม้บนเนินเขาลั่วยื่อ มันเป็นเนินเขาหัวโล้น มันไม่ง่ายเลยที่จะซุ่มโจมตี ฮวากั๋วกงคนเดียว มันไม่ง่ายเลยที่จะทำร้ายข้า” จิ้งอ๋องยิ้ม “ไปเตรียมม้าเถิด”
แม้ว่าจางฉียังมีความกังวลในใจอยู่บ้าง แต่เขาไม่กล้าขัดคำสั่งของจิ้งอ๋อง จึงพยักหน้าและไปเตรียมม้า ให้คนไปรายงานจิ้งอ๋อง แต่ก็ยังกังวลอยู่เล็กน้อย เมื่อเห็นจิ้งอ๋องขึ้นหลังม้า จางฉีกล่าวอีกครั้งว่า “ท่านอ๋อง ข้าน้อยเตรียมทหารยอดฝีมือรอท่านอ๋องที่ด้านล่างเนินเขาดีหรือไม่ขอรับ”
จิ้งอ๋องหัวเราะเสียงดัง “ไม่ต้องหรอก องครักษ์ลับของข้าจะไม่ห่างจากตัวข้ามากนัก เรื่องนี้เจ้าวางใจได้”
จางฉีจึงตระหนักได้ว่ามีองครักษ์ลับอยู่รอบๆ จิ้งอ๋องตลอดเวลา จึงรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย และปล่อยให้จิ้งอ๋องขี่ม้ามุ่งไปที่เนินเขาลั่วยื่อ
เมื่อมาถึงเนินเขาลั่วยื่อ ยังเร็วกว่าเวลาที่ฮวากั๋วกงนัดไว้ครึ่งชั่วยาม แต่จิ้งอ๋องได้เห็นว่ามีคนยืนอยู่ในศาลาบนเนินเขาลั่วยื่อแล้ว
จิ้งอ๋องขี่ม้าขึ้นไปเนินเขาลั่วยื่อ
คนที่ยืนอยู่ในศาลาคือฮวากั๋วกงจริงๆ เมื่อได้ยินเสียงเกือกม้าข้างหลังเขา ฮวากั๋วกงก็หันศีรษะ “ว่ากันว่าชมพระอาทิตย์ตกดินบนเนินเขาลั่วยื่อแห่งนี้จะสวยมาก แต่น่าเสียดายที่วันนี้ไม่มีพระอาทิตย์แล้ว”
จิ้งอ๋องเงียบ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในศาลา “ฮวากั๋วกงพยายามทุกวิถีทางที่จะเรียกข้าออกมาพบ มีเรื่องอันใดหรือ?”
ฮวากั๋วกงหันหน้าไปมองที่ใบหน้าด้านข้างของจิ้งอ๋อง ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยอารมณ์ที่ยากจะคาดเดาได้ “ข้าได้ยินมาว่า ช่วงก่อนมีคนสืบหาเรื่องราวของลูกสาวที่รันทดของข้าในแคว้นเซี่ย ข้าเดาว่าน่าจะเป็นเจ้า เจ้ารู้ชาติกำเนิดของเจ้าแล้วใช่ไหม?”