ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - บทที่ 319 จิ้งอ๋องและฮวากั๋วกงเปิดใจกัน
จิ้งอ๋องเพิ่งได้ยินฮวากั๋วกงพูดถึงพระอาทิตย์ตกดิน คิดว่าเขาคงจะอ้อมค้อมไม่เข้าเรื่องง่ายๆ แต่ไม่เคยคิดเลยว่าฮวากั๋วกงจะพูดออกมาตรงๆ ทันทีเขาเอ่ยปาก เขาผงะไปครู่หนึ่งก่อน หัวเราะและกล่าวว่า “ฮวากั๋วกงกำลังพูดอะไรหรือ? ทำไมข้าฟังไม่เข้าใจสักคำ?”
ฮวากั๋วกงยิ้มอย่างขมขื่น และถอนหายใจ “แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าเจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร แต่ในเมื่อเจ้ารู้แล้ว เจ้าไม่ต้องหลบเลี่ยงเยี่ยงนี้ แต่เดิมตอนที่ข้าอยู่แคว้นหนิง ข้าอยากเขียนจดหมายถึงฮ่องเต้เพื่อกราบทูลเรื่องนี้ แต่พอไปครึ่งทางจดหมายก็ถูกขโมย เรื่องนี้เป็นฝีมือเจ้าใช่ไหม?”
จิ้งอ๋องได้ยินถึงตรงนี้ เขาก็หัวเราะออกมา “ถ้าใช่แล้วยังไง ไม่ใช่แล้วยังไง?”
“ชิงเหยียน…” ฮวากั๋วกงดูตื่นเต้นเล็กน้อย หันกลับมาจับไหล่ของจิ้งอ๋อง ดวงตาของเขาดูคลอเล็กน้อย ทำให้จิ้งอ๋องอดไม่ได้ที่จะตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะสติ “ฮวากั๋วกงกำลังทำอะไรอยู่ แม้ว่าข้าจะมาพบท่านในวันนี้ ก็เพราะท่านคือฮวากั๋วกงแห่งแคว้นเซี่ย ซึ่งตอนนี้หนิงเซี่ยทั้งสองแคว้นอยู่ในภาวะสงคราม จุดประสงค์ของการมาของฮวากั๋วกงในวันนี้คืออะไร?”
ฮวากั๋วกงพูดด้วยสีหน้าบูดบึ้งเล็กน้อย “ชิงเหยียน ข้าเป็นตาของเจ้านะ”
“อ๋อ?” จิ้งอ๋องเลิกคิ้วขึ้น รอยยิ้มในดวงตาของเขาแสดงถึงความตลกเล็กน้อย “ฮวากั๋วกงล้อข้าเล่นแล้ว ข้าเป็นเพียงจิ้งอ๋องแห่งแคว้นหนิงเท่านั้น”
ฮวากั๋วกงโกรธเล็กน้อย ขมวดคิ้ว จ้องไปที่จิ้งอ๋องเป็นเวลานาน แต่หลังจากนั้นเขาก็แค่ถอนหายใจ และพูดเบาๆว่า “เจ้าจำเป็นต้องพูดกับข้าเยี่ยงนี้เลยหรือ หลายปีมานี้ ข้าไม่เคยคิดว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ยังไงซะ แม่ของเจ้าก็ตายอย่างอนาถ…” หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง ก็เห็นว่าจิ้งอ๋องไม่ได้พูดอะไร จึงพูดอีกว่า “ทำไมเจ้าไม่กลับไปที่แคว้นเซี่ยกับข้าล่ะ แต่เดิมเจ้าควรจะเป็นรัชทายาทของแคว้นเซี่ย ถ้าเจ้ากลับไปที่แคว้นเซี่ย ข้าจะทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยให้เจ้าได้รับตำแหน่งนั้น ท้ายที่สุดแล้ว มันควรเป็นของเจ้า…”
จิ้งอ๋องหันมามองฮวากั๋วกง ด้วยสายตาที่ทำให้ฮวากั๋วกงยากที่จะเดา “ฮวากั๋วกง มาวันนี้คือมาโน้มน้าวให้ข้ากลับไปที่แคว้นเซี่ยจากนั้นพวกท่านสามารถยึดเมืองจิ้งหยางได้อย่างง่ายดาย จากนั้นก็เข้ายึดเมืองของแคว้นหนิงหรือไม่” ขณะที่พูด เขาหัวเราะอย่างเย็นชาออกมา “แผนการของฮวากั๋วกงเยี่ยมจริงๆ”
จิ้งอ๋องค่อยๆหันกลับมา จ้องมองไปที่ฮวากั๋วกง ริมฝีปากของเขาซีดเล็กน้อย ดวงตาของเขาเริ่มเย็นชา “ฮวากั๋วกง ท่านทราบหรือไม่ว่า ข้าอายุยี่สิบแปดในปีนี้ ข้าอยู่ที่แคว้นหนิงยี่สิบแปดปีแล้ว สำหรับยี่สิบแปดปีมานี้ สิ่งที่ข้าคอยปกป้อง คือผืนแผ่นดินและราษฎรของแคว้นหนิง ข้ามีพี่ชาย ที่ฝากความหวังไว้ในตัวข้า มีราษฎร ที่ฝากชีวิตไว้ที่ข้า และมีภรรยา ที่รักใคร่ลึกซึ้ง แต่ว่า แคว้นเซี่ย? แคว้นเซี่ยให้อะไรข้าบ้าง? ทำไมท่านถึงคิดว่าข้าควรละทิ้งทุกอย่างในแคว้นหนิง และไปที่แคว้นเซี่ยกับท่าน เพียงเพื่อบังลังก์ของฮ่องเต้แคว้นเซี่ย?” จิ้งอ๋องกลอกตา มองไปที่ท้องฟ้าค่อนข้างมืดมนในระยะไกล ใบหน้าของเขาเปื้อนด้วยความเย้ยหยัน “ข้ามิต้องการมัน”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของฮวากั๋วกง ก็ตื่นเต้น “แต่แคว้นเซี่ย เป็นบ้านเกิดของเจ้า ญาติทางสายเลือด มีพ่อของเจ้า พี่น้อง ยาย น้า…”
“อ๋อ? จริงหรือ?” จิ้งอ๋องยิ้มอย่างเย็นชา “ฮวากั๋วกงแน่ใจหรือว่าคนเหล่านี้ต้องการให้ข้ากลับแคว้นเซี่ยจริงๆ เสด็จพ่อ? ถ้าเขารู้เรื่องนี้เข้า สิ่งที่คิดในใจ เกรงว่าจะเป็น อีกคนที่โลภบัลลังก์ของข้า แล้วน้องชาย ฮ่าฮ่าฮ่า มีคำว่าพี่น้องในราชวงศ์ด้วยหรือ เพื่อตำแหน่งนั้น เกรงว่าคงอยากจะต้องการให้อีกฝ่ายตาย ยิ่งอนาถยิ่งดี และท่านตากับท่านยาย? การปรากฏตัวของข้าเกรงว่าเป็นเพียงแค่สิ่งของที่ทำให้พวกท่านนึกถึงบุตรสาวก็เท่านั้น อีกทั้ง พวกท่านคิดว่า พวกท่านอยู่ได้อีกนานแค่ไหน”
ฮวากั๋วกงดูตกใจ อ้าปากของเขา แต่ไม่สามารถพูดอะไรเพื่อโต้กลับได้ ด้วยความเศร้าโศกในใจเล็กน้อย ถูกต้อง เขาจะมีชีวิตอยู่ได้อีกกี่ปี ถ้าเขากับภริยาตายไปแล้ว คนอื่นๆก็คงไม่มีความจริงใจต่อจิ้งอ๋องเลย เมื่อถึงเวลานั้น เส้นทางเดินของเขาคงจะยากลำบาก
“ฮวากั๋วกงไม่ต้องเสียเวลาแล้ว ข้าจะไม่กลับไปที่แคว้นเซี่ยแน่”
หลังจากจิ้งอ๋องกล่าว เขาหันกลับไปและต้องการจะลงจากภูเขา แต่เขาเห็นใครบางคนขึ้นมาจากด้านล่างของภูเขา ดูเหมือนจะเป็นองครักษ์ลับ จิ้งอ๋องยืนอยู่ในระยะไกลเพื่อรอให้องครักษ์ลับปีนขึ้นมา แล้วถามว่า “เกิดอะไรขึ้นในค่ายหรือไม่?”
ชายคนนั้นรีบกล่าวว่า “เรียนท่านอ๋อง พระชายาได้ส่งข่าวจากคังหยาง โดยบอกว่านางหลงกลอุบายสับขาหลอกของหลิ่วหยินเฟิง เซี่ยโหเหยียนและหลิ่วหยินเฟิงได้นำกองทัพสี่แสนนายมาตามแม่น้ำจิ้ง มุ่งหน้ามายังเมืองจิ้งหยาง”
เมื่อจิ้งอ๋องได้ยินสิ่งนี้ สีหน้าของเขาก็เย็นชาลง และให้องครักษ์ลับรออยู่ไกลๆ ก่อนจะหันไปมองฮวากั๋วกง “ฮ่าฮ่า ฮวากั๋วกง ท่านเห็นหรือยัง นี่คือสิ่งที่ฮวากั๋วกงพูด พี่น้อง!” หลังจากพูดเสร็จ เขาก็หันหลังออกจากศาลา ขี่หลังม้า และรีบตรงไปที่ค่ายจิ้งหยาง
ผู้ที่อยู่ในศาลาดูเหมือนจะตกตะลึง ยืนอยู่ในศาลาด้วยความงุนงง ดูเหมือนจะมีฟ้าผ่าลงกลางหัวใจ เมื่อครู่องครักษ์ลับของลั่วชิงเหยียนพูดว่าอะไรนะ รัชทายาทและกุนซือนำกองทัพสี่แสนนายมาที่เมืองจิ้งหยาง?
รัชทายาทและกุนซือไม่ใช่ควรไปบุกเมืองคังหยางหรือ? จดหมายที่ส่งมาเมื่อคืนนี้ก็บอกอย่างนั้น กองทัพสี่แสนนาย นั่นคือกองทหารเกือบทั้งหมดที่รัชทายาทมี พวกเขาละทิ้งเมืองคังหยางเพื่อโจมตีเมืองจิ้งหยางงั้นหรือ?
คำถามนับไม่ถ้วนผุดขึ้นในใจของเขา ผสมกับคำพูดที่โกรธและผิดหวังจากลั่วชิงเหยียน กระพริบไปมาในหัวของฮวากั๋วกง สายตาของฮวากั๋วกงมองดูร่างของจิ้งอ๋องห่างออกไปเรื่อยๆ และค่อยๆลงภูเขาไป ก่อนที่เขาจะกลับมารู้สึกตัว ไม่ได้การ รัชทายาทคงรู้ตัวตนที่แท้จริงของลั่วชิงเหยียนแล้ว และรู้ว่าลั่งชิงเหยียนอยู่ในเมืองจิ้งหยาง ดังนั้นจึงกล้าที่จะเสี่ยงครั้งใหญ่ เมื่อฮวากั๋วกงกั่วคิดถึงข้อนี้ เขาจึงรีบออกจากศาลา เขาเดินโซเซไปจูงม้า ขี่บนม้า ในใจของเขากังวล แต่เขาก็นั่งตัวตรงบนหลังม้า ชักแส้ใส่ม้า แล้วลงจากภูเขา
ระหว่างทางกลับค่าย องครักษ์ลับได้รายงานจิ้งอ๋องเกี่ยวกับรายละเอียดของเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองคังหยาง จิ้งอ๋องแอบคำนวณเวลาในใจ ถ้าดูตามเวลาที่องครักษ์ลับรายงาน เกรงว่ากองทัพของเซี่ยโหเหยียนและหลิ่วหยินเฟิงจะสามารถเข้าถึงนอกเมืองจิ้งหยางได้ภายในหนึ่งชั่วยาม
“พระชายาได้นำกำลังมาทางด้านนี้ประมาณหนึ่งแสนนาย ทหารที่เดิมประจำการในคังหยางนอกเหนือจากหลายหมื่นนายไว้ประจำการ จะถูกแบ่งออกเป็นหลายหน่วยเพื่อมาหนุนกำลัง” องครักษ์ลับไม่รอให้จิ้งอ๋องถาม
จิ้งอ๋องพยักหน้า รู้สึกขมขื่นเล็กน้อย เซี่ยโหเหยียนและหลิ่วหยินเฟิงยอมสละชีวิตของทหารหนึ่งแสนนาย เพื่อสับขาหลอกนี้ จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แน่ นอกจากนี้ ตำแหน่งทางยุทธศาสตร์ของเมืองจิ้งหยางแย่กว่าเมืองคังหยางมาก ถ้าเมืองจิ้งหยางถูกยึดไป ก็อาจจะไม่มีประโยชน์ต่อกองทัพเซี่ย จากมุมมองนี้ เกรงว่าการมาของกองทัพเซี่ยในครั้งนี้ คือชีวิตของตน
ดูเหมือนว่า ตัวตนที่แท้จริงของเขา จะไม่สามารถปกปิดได้อีกต่อไปแล้ว