ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - บทที่ 322 กองทัพหนิงเซี่ยเผชิญหน้า (๑)
เมื่อพูดจบเขาก็หันกลับมามอง เมื่อเห็นว่าหลิ่วหยินเฟิงกำลังนำกองทหารตามมา หัวใจของเซี่ยโหเหยียนจึงสงบลงเล็กน้อย ฝนธนูโปรยปรายลงมาไม่หยุดหย่อนและทหารก็ล้มลงเรื่อยๆ แต่พวกเขาก็สามารถเข้าไปใกล้กำแพงเมืองขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากเคลื่อนที่ไปได้อีกสักพัก จู่ๆ ก็ไม่มีเสียงลูกศรแล้ว เซี่ยโหเหยียนเงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆ และพบว่าไม่มีใครอยู่บนกำแพงจริงๆ
“โจมตี!” เซี่ยโหเหยียนคำราม เหล่าทหารปีนขึ้นบันไดและเตรียมเครื่องมือบุกทะลวง เพียงแต่เมื่อเข้าใกล้กำแพงเมืองก็รู้สึกถึงคลื่นความร้อน ทำให้ยากที่จะเข้าใกล้
“เตรียมท่อนซุงสำหรับโจมตีเมือง” เซี่ยโหเหยียนตะโกน แล้วจึงมีกลุ่มคนใช้รถม้าขนท่อนซุงเข้ามา ทหารยกท่อนซุงนั้นขึ้นแล้วกระแทกไปที่ประตูเมือง
แม้ได้ยินเสียง “ปัง” แต่ประตูเมืองก็ไม่ขยับเขยื้อนเลย คนกลุ่มนั้นจึงกระแทกเข้าอีกหลายครั้งจึงจะได้ยินเสียงประตูสั่นไหวเบาๆ จากนั้นจึงกระแทกอย่างแรงและก็ได้ยินเสียงดังก้องของประตูที่ค่อยๆ ถล่มลง…
คลื่นความร้อนคลื่นหนึ่งถาโถมเข้ามา ผู้ที่อยู่นอกประตูเมืองต่างก็ก้าวถอยหลัง พวกเขาตกใจกับสิ่งที่เห็นตรงหน้ามาก แม้ว่าเมื่อครู่ยามอยู่ด้านนอกจะเห็นประกายไฟสีแดงฉานย้อมไปครึ่งท้องฟ้า แต่กลับคิดไม่ถึงว่าในเมืองจะเป็นภาพเช่นนี้
ทุกที่ในเมืองต่างก็ลุกไหม้และมีกลิ่นน้ำมันตุงส่งกลิ่นฉุน
เซี่ยโหเหยียนและหลิ่วหยินเฟิงขี่ม้าเข้ามาจากด้านหลัง พวกเขาขมวดคิ้วมุ่น หลิ่วหยินเฟิงมองดูสถานการณ์ในเมืองและเอ่ยอย่างราบเรียบว่า “ดูเหมือนว่าลั่วชิงเหยียนไม่เพียงแต่จะไม่ให้เราได้อะไรไปจากที่นี่ แต่ต้องการใช้สิ่งนี้เพื่อหยุดเราไว้ด้วย ดูจากน้ำมันตุงนี้แล้วเกรงว่าจะไหม้ราวอีกหนึ่งวันหนึ่งคืน”
เซี่ยโหเหยียนเม้มปากแน่นไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา แต่ดวงตาของเขากลับฉายแววอาฆาต
ไม่นานหลังจากนั้นสายลับที่ไปดูลาดเลากลับมาอย่างเร่งร้อน “รายงานองค์รัชทายาท รายงานท่านกุนซือ ทัพหนิงถอยร่นไปยังด้านเหนือของแม่น้ำจิ้งและทำลายสะพานไปแล้ว”
หลิ่วหยินเฟิงพยักหน้าเล็กน้อย “แม่น้ำจิ้งมีสะพานเพียงแห่งเดียว ตอนนี้เมื่อถูกทำลายไปแล้ว เกรงว่าจะต้องใช้เวลาสักระยะนำคนหลายพันคนไปตัดไม้ทำแพเสียก่อน”
เซี่ยโหเหยียนนัยน์ตาลึกล้ำ “ท่านกุนซือต้องการข้ามแม่น้ำด้วยแพหรือ?”
“ตอนนี้ทำได้เพียงแค่นี้เท่านั้น เพื่อไม่ให้ทหารที่ข้ามฝั่งไปถูกฆ่าต้องมีแพจำนวนมาก ทหารที่ดำน้ำได้ให้ลงไปในน้ำแล้วเกาะแพไปทำสะพานไม้ที่กว้างพอให้กองทัพผ่านไปได้” หลิ่วหยินเฟิงพูดจบก็ลดเสียงลง “จิ้งอ๋องแต่งงานกับพระชายาที่ดีนัก กลยุทธ์นี้ก็ไม่เลวเลย คราวที่แล้วทำให้เราได้รับบทเรียนไปแล้ว ครั้งนี้ก็ทำให้เราสูญเสียทหารไปแสนนาย แต่กลับช่วยจิ้งอ๋องไว้ได้อีกครั้ง”
“รายงาน! ฮวากั๋วกงขอพบพ่ะย่ะค่ะ” เสียงรายงานแว่วมาจากระยะไกล เซี่ยโหเหยียนพ่นลมหายใจและกล่าวว่า “เชิญ”
ฮวากั๋วกงไม่ได้ขี่ม้าและเดินมาที่ด้านหน้าม้าของเซี่ยโหเหยียน เขาคารวะและกล่าวว่า “องค์รัชทายาท ตอนนี้อากาศหนาวเย็น ทำไมท่านไม่เข้าเมืองจิ้งหยางหลบความหนาวเย็นสักหน่อยเล่า?” เขาไม่หลบตาและไม่เอ่ยถึงเรื่องสงคราม
เซี่ยโหเหยียนอ้าปากและกำลังจะต่อว่าเขาก็ได้ยินหลิ่วหยินเฟิงเอ่ยปากเรียบๆ “ไม่ได้เจอใต้เท้านานแล้ว เช่นนั้นก็เชิญใต้เท้าตามข้าและองค์รัชทายาทกลับไปที่ค่ายเถอะ”
เซี่ยโหเหยียนได้ยินเสียงกระซิบข้างกาย “องค์รัชทายาท อย่านะพ่ะย่ะค่ะ”
เซี่ยโหเหยียนระงับความไม่พอใจและพยักหน้า “ฮวากั๋วกงยังไม่นำทางไปอีกหรือ?”
ฮวากั๋วกงเลิกคิ้วและตอบรับ เขาจูงม้าของเซี่ยโหเหยียนเดินออกจากกองทัพและเดินกลับไปที่ค่ายพร้อมกับทหารอารักขาหลายร้อยคน เมื่อถึงค่ายแล้ว ท้องฟ้าก็จวนจะสว่างแล้ว ฮวากั๋วกงสั่งให้คนนำชามาให้เซี่ยโหเหยียนและหลิ่วหยินเฟิงก่อนจะยิ้มและพูดว่า “จู่ๆ พระองค์ก็ละทิ้งคังหยางและมาที่จิ้งหยาง เหตุใดจึงไม่ส่งหนังสือมา หม่อมฉันจะได้จัดคนรองรับ”
“เหอะๆ… ” เซี่ยโหเหยียนหัวเราะเสียงเย็นชา เงยหน้าขึ้นเหลือบมองฮวากั๋วกงเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยว่า “พระชายาของจิ้งอ๋องอยู่ในเมืองคังหยาง ผู้หญิงคนนั้นรับมือไม่ง่ายเลย กองกำลังของทั้งสองกองทัพพอๆ กัน กองทัพของข้าไม่ง่ายเลย ข้าจึงได้ปรึกษากับท่านกุนซือว่าหากเราโจมตีก่อนที่พวกนั้นจะเตรียมพร้อม โจมตีจิ้งหยางอย่างกะทันหันและยึดเมืองจิ้งหยางมา ต่อไปก็จะตีเมืองคังหยางได้ง่ายขึ้นเล็กน้อย”
ฮวากั๋วกงครุ่นคิดครู่หนึ่งและมองไปที่เซี่ยโหเหยียนอย่างเรียบเฉย มือที่ถือชาของเขาชะงักไปเล็กน้อย แต่มุมปากของเขากลับยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม “องค์รัชทายาทรอบคอบยิ่งนัก”
รอยยิ้มของเซี่ยโหเหยียนไปไม่ถึงดวงตา “เสด็จพ่อไม่ได้ให้แม่ทัพหลินนำกองกำลังมาโจมตีจิ้งหยางหรือ? เหตุใดฮวากั๋วกงจึงได้ปรากฏตัวในกองทัพจิ้งหยาง? ตอนข้าได้ข่าวก็ยังตกใจ ฮวากั๋วกงไม่ได้นำทหารออกรบมาเป็นเวลานาน ข้าไม่รู้ว่าแม่ทัพหลินมีเกียรติขนาดนี้จึงได้สามารถรบกวนให้ฮวากั๋วกงมาช่วยเป็นการส่วนตัวได้”
ทำไมฮวากั๋วกงจะฟังคำเสียดสีที่แฝงอยู่ไม่ออก แต่เขาก็เพียงยิ้มจางๆ “หม่อมฉันไม่ได้มานำทัพออกรบหรอก เพียงแต่รู้สึกคิดถึงยามที่เคยใช้ชีวิตอยู่ในค่ายทหาร ไม่กี่วันก่อนตอนที่กำลังเดินทางกลับแคว้นเซี่ยได้ผ่านมาทางจิ้งหยางพอดีก็เลยแวะดูเสียหน่อย”
ทุกคนกำลังรำไทเก๊ก ฮวากั๋วกงจึงยิ้มออกมา “องค์รัชทายาทกับท่านกุนซือเดินทัพอย่างเร่งรีบ เกรงว่าคงจะเหนื่อยมาก พวกท่านพักผ่อนสักครู่เถิด”
แต่เซี่ยโหเหยียนกลับยืนขึ้น “ไม่ต้อง ตอนนี้เมืองจิ้งหยางถูกทำลายแล้วและพวกเรามีมากในขณะที่เหล่าศัตรูเหลือน้อย เป็นโอกาสที่ดีที่จะไล่โจมตี ยังไม่ถึงเวลาพักผ่อน” เขาพูดพลางมองทหารองครักษ์ด้านข้าง “ทหาร ไปเชิญแม่ทัพหลินมาพบข้า” แล้วเขาก็ออกจากกระโจมไป
หลิ่วหยินเฟิงเดินช้าลง เงยหน้าขึ้นและโค้งตัวให้ฮวากั๋วกงแล้วจึงเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ข้าก็เคยอยู่ในกองทัพของกั๋วกงมาชั่วระยะเวลาหนึ่ง ตอนนั้นยังอายุน้อยนัก กั๋วกงได้สอนอะไรข้ามากมาย ข้าคิดถึงมาก กั๋วกงมักระมัดระวังคำพูดและการกระทำมาตลอด แต่เรื่องนี้ท่านออกจะรีบร้อนไปเล็กน้อยทำให้องค์รัชทายาทไม่พอพระทัย เหตุใดกั๋วกงจึงได้ทำเช่นนี้ โลกใบนี้เป็นของคนหนุ่มสาวไปเสียแล้ว หากเรื่องเช่นนี้ยังไม่เข้าใจเกรงว่าจิ้งอ๋องจะไม่คู่ควรกับความรับผิดชอบยิ่งใหญ่ที่ท่านต้องการมอบหมาย เหตุใดกั๋วกงจึงยังต้องลำบากเช่นนี้อยู่อีกเล่า… ”
ฮวากั๋วกงปิดตาลงอย่างช้าๆ และยิ้มด้วยความขมขื่น “ช่างเถอะๆ ในเมื่อหยินเฟิงเอ่ยเช่นนี้แล้ว ข้าจะทำย่างไรได้? ข้ายังคงเชื่อในความสามารถของเขา แต่ข้าคงคิดมากไปแล้วจริงๆ”
หลิ่วหยินเฟิงชะงักร่างไปเล็กน้อย กระตุกยิ้มที่มุมปากแล้วจึงเดินออกจากกระโจมไป
องค์รัชทายาทสั่งการทหารในค่ายด้วยตนเองเพื่อตามโจมตีกองทัพหนิง หลินอวี่ย่อมไม่กล้าทัดทาน เมื่อมีคนจำนวนมาก แพไม้ไผ่จึงทำเสร็จได้อย่างรวดเร็ว ในตอนบ่ายก็ทำไปได้มากแล้ว หลิ่วหยินเฟิงสั่งให้คนที่คุ้นเคยกับน้ำลงไปในน้ำเพื่อต่อแพไม้ไผ่ให้เชื่อมกันเป็นสะพานที่กว้างมาก ทหารเริ่มข้ามแม่น้ำบนสะพานแพไม้ไผ่มา
ทางเหนือของแม่น้ำจิ้ง มีภูเขามากมายเป็นลูกคลื่น แม้ว่าภูเขาจะไม่สูงนักแต่ก็มีต้นไม้มากมายปกคลุมอย่างหนาแน่น เหมาะสำหรับการอำพรางตัว เมื่อกองทัพของแคว้นเซี่ยข้ามแม่น้ำมา ลูกธนูจำนวนมากก็ลอยออกจากป่าเข้าหาพวกเขาที่ยังอยู่บนสะพาน มีคนบาดเจ็บล้มตายมากมายในทันใด
เซี่ยโหเหยียนสีหน้าเย็นเยียบ “ข้ามแม่น้ำต่อไป ทัพเซี่ยหกแสนห้าหมื่นของข้า ข้าไม่เชื่อว่าจะยิงได้ทั้งหมด หลังจากข้ามแม่น้ำแล้วข้าจะจุดไฟเผาภูเขาทำให้พวกมันหนีไปไหนไม่ได้!”
แต่หลังจากที่ข้ามแม่น้ำมาได้แล้ว กองทัพแคว้นเซี่ยก็ประสบความสูญเสียอย่างหนัก เดิมมีทหารหกแสนห้าหมื่นนาย แต่สูญเสียไปเกือบหนึ่งแสนนาย หลิ่วหยินเฟิงคาดเดาว่าในกองทัพมีลูกศรสำรองไม่มากนัก เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็คงแทบไม่เหลือแล้ว