ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - บทที่ 325 หยุนชางนำทัพหนุนมาช่วยจิ้งอ๋อง
หลังจากพูดจบ เขาก็มองไปที่หยุนชางอีกครั้งด้วยสายตาที่ไม่ชอบใจเล็กน้อย “ในเมื่อท่านรู้ถึงตัวตนของเขาอยู่แล้ว ทำไมจึงยังรั้นแต่งงานกับเขาอีก? ฐานะของท่านไม่มีประโยชน์สำหรับเขาเลย”
หยุนชางยกถ้วยชาขึ้นมาแล้วเป่าฟองในถ้วยชาด้วยรอยยิ้มจางๆ ที่มุมปาก “มีสิ่งหนึ่งที่ฮวากั๋วกงเอ่ยผิดไป ไม่ใช่ข้าดื้อรั้นที่จะแต่งงาน แต่เป็นท่านอ๋องเองที่ไปขอเสด็จพ่อแต่งงานกับข้า นอกจากนี้ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าไม่มีประโยชน์ต่อเขา? เกรงว่าฮวากั๋วกงจะสับสนแล้ว หรือว่าจะเป็นการดีที่สุดที่ท่านอ๋องจะแต่งงานกับผู้หญิงที่ทำได้เพียงปักผ้า? หึ…” หยุนชางจิบชาแล้ววางถ้วยน้ำชาลงอย่างกะทันหัน นางยืนขึ้น “ข้ายังมีธุระสำคัญอยู่ไม่สะดวกอยู่ดื่มชากับฮวากั๋วกงต่อ ตอนนี้เมืองจิ้งหยางเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น ฮวากั๋วกงอยู่ในค่ายเถอะ ข้าจะให้คนคอยมารับใช้ท่าน หากท่านต้องการสิ่งใดก็สามารถบอกพวกเขาได้”
เมื่อฮวากั๋วกงได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก เมื่อเขาว่าหยุนชางกำลังจะจากไป เขาก็รีบลุกขึ้นยืนแล้วพูดอย่างโกรธเคือง “เจ้า… ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง… คิดจะกักบริเวณข้าไว้ในค่ายงั้นหรือ? เชื่อหรือไม่ ข้าจะให้ลั่วชิงเหยียนหย่ากับเจ้า!”
หยุนชางได้ยินเช่นนี้นางก็ชะงักฝีเท้าลง เมื่อฮวากั๋วกงเห็นเช่นนั้นก็นึกว่านางกลัวเสียแล้ว ดวงตาของเขาเบิกขึ้นเล็กน้อยอย่างมีชัย แต่กลับได้ยินเสียงเยาะเย้ยจากหยุนชาง “เฮอะ! ไม่ต้องบอกว่าตอนนี้จิ้งอ๋องยังเป็นจิ้งอ๋องแห่งแคว้นหนิง ต่อให้เขาไม่ใช่อ๋องแล้ว เขาจะไม่ฟังคำของท่านแล้วหย่ากับข้าหรอก เมื่อเห็นว่าตอนนี้เขาอยู่ในสถานการณ์ที่อันตราย แต่กลับยังมีท่าทีสบายๆ ราวกับไม่เกี่ยวกับตน ท่านต่างหากที่ไม่คู่ควรเป็นตาของเขา” นางพูดแล้วเปิดประตูกระโจมออกไป
ในกระโจมฮวากั๋วกงกระทืบเท้าเล็กน้อย “นังตัวดี!” เขาเดินไปรอบๆ กระโจมสองสามรอบแล้วจู่ๆ ก็หยุดเดินพร้อมรอยยิ้มขมขื่น “ใช่สิ ข้าไม่คู่ควรจะเป็นตาเลยจริงๆ” หลังจากหยุดไปชั่วครู่ เขาก็พึมพำอีกครั้ง “ยัยเด็กนั่นนิสัยค่อนข้างคล้ายเขาเลยทีเดียว อีกทั้งยังเฉลียวฉลาดอีกด้วย” เขาหรี่ตาลงและนั่งลงบนเก้าอี้แล้วค่อยๆ ถอนหายใจออกมา
“พระชายา ทหารในค่ายศัตรูบาดเจ็บล้มตายไปกว่าสามหมื่นแปดพันคน ยอมแพ้หนึ่งหมื่นสองพันคน เสบียงถูกเผาทิ้งเหลือไว้เพียงเก้าพันต้านเท่านั้น” รองแม่ทัพกล่าว
หยุนชางพยักหน้า “ทำได้ดีมาก ถอนกำลัง”
เมื่อนางกลับมาที่ค่ายเฉี่ยนอินก็กำลังรออยู่ในกระโจม เมื่อเห็นหยุนชางกลับเข้ามาแล้ว นางก็รีบรับเสื้อคลุมที่หยุนชางยื่นให้และเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ตอนที่หม่อมฉันได้ยินเสียงก็รู้ว่าพระชายากลับมาแล้ว น้ำร้อนเตรียมไว้พร้อมแล้วเพคะ กิ่งไม้และเกลือก็เตรียมไว้พร้อมแล้ว ในช่วงสองสามวันมานี้พระชายาไม่ได้พักผ่อนเลย ดังนั้นท่านอาบน้ำอุ่นแล้วพักผ่อนสักครู่เถอะ หม่อมฉันได้ยินอาจารย์ชิงชางบอกว่าพอพระชายากลับมาก็ไม่มีอะไรให้ทำแล้ว อย่างน้อยก็ต้องรอหลังรุ่งสางจึงจะเคลื่อนไหวได้ อีกสองชั่วยามนี้พระชายานอนหลับพักผ่อนสักหน่อยเถอะ”
หยุนชางเหนื่อยมาก นางจึงพยักหน้าและหันหลังเดินอ้อมฉากกั้นไปถอดเสื้อผ้าแล้วนั่งลงในอ่าง ถอนหายใจออกมาอย่างสบายใจและรู้สึกโล่งใจขึ้นเล็กน้อย พรุ่งนี้หลังจากที่พวกเขารู้ว่าเสบียงถูกทำลายไปแล้ว เกรงว่าจะเข้าโจมตีภูเขาเพราะหากยืดเยื้อเวลาออกไปพวกเขาก็จะแย่ คิดว่าหลิ่วหยินเฟิงจะต้องมาชำระบัญชีแน่ แน่นอนว่านางเข้าใจในความจริงข้อนี้ พรุ่งนี้นางต้องตื่นแต่เช้าและหวังว่าทัพหนุนจะมาถึงเร็วขึ้น
หยุนชางคิดในใจ นางเอนกายพิงอ่างและผล็อยหลับไป
เฉี่ยนอินเห็นหยุนชางเข้าไปอยู่นานและไม่ออกมาเสียที หลังฉากกั้นก็ไม่มีเสียงใดๆ จึงรีบเข้าไปดูและเห็นว่าหยุนชางพิงอ่างน้ำหลับอยู่ ศีรษะของนางเอียงไปด้านข้าง เฉี่ยนอินตกตะลึงและรีบก้าวเข้าไปนำหยุนชางออกมาเช็ดร่างกายของนางให้แห้ง และสวมเสื้อคลุมที่สะอาดก่อนที่จะห่มผ้าห่มให้นาง
เพียงแต่หลังจากนอนหลับไปเพียงชั่วยามกว่าๆ ก็มีเสียงแว่วมาจากภายนอกว่ามีคนขอพบทั้งยังแฝงไปด้วยแววร้อนรน “พระชายาตื่นแล้วหรือยัง?”
เฉี่ยนอินรีบนำบุคคลนั้นเข้ามาแล้วจึงอ้อมไปดูหลังฉากกั้นก็กลับเห็นว่าหยุนชางได้ลืมตาขึ้นแล้วและพูดขึ้นด้วยเสียงแหบแห้ง “เกิดอะไรขึ้น?”
“ทัพเซี่ยเริ่มโจมตีแล้ว วันนี้ทิศทางลมเปลี่ยนกะทันหัน ลมเหนือพัดมา กองทัพเซี่ยจุดไฟแต่ไฟไม่ได้ลุกลามไปเพียงทำให้เกิดหมอกควันหนาทึบเท่านั้น เมื่อหมอกควันหนาถูกลมพัดก็ลอยเข้าไปในป่าและภูเขา!”
หยุนชางลุกขึ้นยืนจากเบาะนอนทันที “พกวเจ้าไปสืบมาว่าทัพหนุนยังอยู่อีกไกลแค่ไหน? สั่งลงไปให้กองทัพเตรียมพร้อมออกเดินทาง”
ด้านนอกมีเสียงขายรับหนักแน่น เฉี่ยนอินรีบหาเสื้อผ้ามาให้หยุนชางสวมใส่แล้วกล่าวว่า “เกรงว่าวันนี้จะเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือด พระชายานำสายลับไปด้วยเถิด”
หยุนชางยิ้มและส่ายหัว “ไม่เป็นไร ข้าไม่เป็นไรหรอก เจ้าไปหาทัพหนุน ข้าจะส่งสัญญาณบอกตำแหน่งให้เจ้ารู้ได้ทุกเมื่อ หากทัพหนุนมาแล้วให้เจ้าพาพวกเขามาหาข้าให้เร็วที่สุด ทัพใหญ่ของเราตอนนี้อยู่ที่ฝั่งเหนือของแม่น้ำ หากจะข้ามแม่น้ำก็ต้องใช้วิธีเดียวกับทัพเซี่ยเท่านั้น โชคดีที่เมื่อวานเราได้เก็บแพที่ทัพเซี่ยใช้สร้างสะพานมาไว้เป็นจำนวนมากบวกกับที่เราทำเองเพิ่มก็มีพอประมาณแล้ว แต่ทัพหนุนอยู่ฝั่งใต้น่าจะเร็วกว่าเราเล็กน้อย”
เฉี่ยนอินไม่เต็มใจเล็กน้อยและพึมพำเสียงเบา “ทุกครั้งก็ไม่ยอมให้หม่อมฉันอยู่ข้างกาย”
“โดยธรรมชาติแล้วก็ควรจะเป็นเช่นนี้ ข้ารู้ว่าฝีมือการต่อสู้ของเจ้าร้ายกาจมาก ดังนั้นเจ้าจึงควรไปหาทัพหนุนมากกว่า หากข้าตกอยู่ในอันตราย เจ้าจะสามารถมาช่วยเหลือข้าได้สะดวก หากเป็นพวกที่ดูกำยำแต่มีพละกำลังน้อย ข้าวางใจไม่ได้ ชีวิตข้าอยู่ในกำมือของเจ้าแล้ว” หยุนชางกล่าวเบาๆ
“นั่นก็จริง” เฉี่ยนอินหัวเราะเบาๆ
หลังจากแต่งตัวเสร็จแล้ว หยุนชางก็รีบออกจากกระโจมไป กองทัพด้านนอกรวมพลกับเสร็จแล้ว หยุนชางขึ้นหลังม้าแล้วกล่าวเสียงดังว่า “ออกรบได้”
สะพานถูกสร้างขึ้นเสร็จแล้ว เพราะค่ายที่พวกเขาอยู่ค่อนข้างไกลจากที่ที่กองทัพเซี่ยอยู่ บวกกับกองทัพเซี่ยมัวสนใจแต่การจัดการกับลั่วชิงเหยียน แต่ไม่ได้แบ่งกองกำลังมาเพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาข้ามแม่น้ำมาทุกอย่างจึงได้ราบรื่น
เพียงแต่ยังไม่ได้ร่องรอยของกองทัพเซี่ย หยุนชางจึงร้อนใจเล็กน้อย อย่างไรทัพหนึ่งแสนนายของนางก็มีคนไม่มากคงจะทำอะไรไม่ได้มากนัก
“ใต้เท้า ท่านดูนั่น เป็นสัญญาณของทัพหนุน” รองแม่ทัพที่อยู่ด้านข้างนางพูดด้วยน้ำเสียงยินดี
หยุนชางเงยหน้าขึ้นและเห็นควันลอยขึ้นจากภูเขาไกลๆ นั่นเป็นสัญญาณที่ตกลงกันไว้กับทัพหนุน ในใจนางจึงรู้สึกสงบลงเล็กน้อย
“ใต้เท้า เราควรส่งสัญญาณให้ทัพหนุนมาสมทบหรือไม่?” รองแม่ทัพกล่าวขึ้นอีกครั้ง
หยุนชางคิดใคร่ครวญครู่หนึ่งแล้วโบกมือ นางดึงขลุ่ยหยกออกจากเอวแล้วเป่า ไม่นานก็ได้ยินเสียงตอบจึงหันไปพูดกับรองแม่ทัพว่า “ไม่ต้อง เฉี่ยนอินพบทัพหนุนแล้ว หากเราจุดควันเพิ่ม ตำแหน่งของเราจะถูกเปิดเผย หากทัพเซี่ยรีบมาเกรงว่าเราจะเสียเปรียบ เราจะรอที่นี่ให้เฉี่ยนอินพาทัพหนุนมา”
รองแม่ทัพเกาหัวแล้วยิ้ม “ข้าน้อยมัวแต่คิดว่าจะติดต่ออย่างไร แต่ลืมไปเสียได้ว่าจะเป็นการบอกตำแหน่งแก่ศัตรู เช่นนั้นทัพหนุนไม่อันตรายมากหรือขอรับ?”
“ตำแหน่งของทัพหนุนอยู่ค่อนข้างไกลจากทัพเซี่ย ยามที่ทัพเซี่ยจะไปถึงทัพหนุนก็คงได้ไปจากตรงนั้นไกลแล้ว ป่าที่พวกเราอยู่ค่อนข้างทึบเอื้อต่อการซ่อนตัว” หลังพูดจบนางก็สั่งให้กองทัพหยุดพักรอทัพหนุนพลางตามหาชาวบ้านและทหารทัพหนิงเพื่อส่งข่าวรอให้พวกเขาตอบ