ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - บทที่ 328 หยุนชางสมานใจไพร่พล
“เฉี่ยนอิน” หยุนชางหันไปมองเฉี่ยนอิน “เจ้าพาทหารไป……” ยังพูดไม่ทันจบ หยุนชางก็หยุดชะงักลงกลางคัน เฉี่ยนอินเป็นเพียงสาวใช้ จะควบคุมกองกำลังกว่าแสนนายนี้ได้อย่างไร อีกอย่าง หลิ่วหยินเฟิงเชี่ยวชาญตำราพิชัยสงคราม แต่เฉี่ยนอินไม่รู้อะไรเลยแม้แต่น้อย หากพลาดท่าให้หลิ่วหยินเฟิงแล้วล่ะก็ คงไม่มีทางรอดชีวิตออกมาได้แน่
“พระชายา……” เฉี่ยนอินมองมาที่หยุนชางด้วยความสงสัย
ช่างเถอะ ช่างเถอะ หยุนชางกัดฟันแล้วขึ้นไปบนหลังม้า นางประกาศเสียงกร้าว “ทหารทุกท่านทุกนายเชิญพักผ่อนลงตรงนี้ รอดูสถานการณ์กันไปก่อน ประเดี๋ยวข้าจะกลับมา” พูดจบก็ควบม้าลงเขาไป
ณ ป่าทึบบริเวณตีนเขา ทหารกลุ่มหนึ่งยังคงยืนเฝ้ายามกันอย่างแข็งขัน
“ทหารฝ่ายศัตรูใช้วิธีนี้มาล่อลวงทหารของเรา หากพวกท่านเจอแบบนี้เข้า ไม่เท่ากับว่าเราหลงกลศัตรูเข้าหรือ?” หวังชงร้อนใจ
ผู้ช่วยแม่ทัพพยักหน้า “แต่ว่า ท่านแม่ทัพ ข่าวลือนั่นข่มขวัญทหารของเราไปไม่น้อยเลย พวกทหารแคว้นเซี่ยพากันปล่อยข่าวไปทั่วว่าจิ้งอ๋องเป็นองค์ชายแห่งแคว้นเซี่ย หากเป็นเช่นนั้นจริง งั้นพวกเราจะไม่…เสียแรงอุทิศตัวทำทุกอย่างลงไปแต่กลับต้องสูญเปล่าหรอกหรือ?”
“ท่านพูดอะไร จิ้งอ๋องจะไปเป็นองค์ชายแห่งแคว้นเซี่ยได้อย่างไร?” หวังชงโต้ตอบ
ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าของม้าก็ได้ดังเข้ามาใกล้ หวังชงรีบลุกขึ้นยืน “ทหารทุกนายจงเตรียมพร้อม”
เหล่าทหารที่กำลังพักผ่อนพลันลุกขึ้นเตรียมพร้อมตามคำสั่ง พวกเขาถือปืนยาวเดินลาดตระเวนไปตามบริเวณโดยรอบ แล้วก็ได้พบกับคนผู้หนึ่งพร้อมม้าสีน้ำตาล 1 ตัวกำลังมุ่งหน้ามา คนบนหลังม้าสวมชุดสีขาวงาช้าง คลุมผ้าคลุมสีขาว
“นั่นมันใต้เท้านี่!” หวังชงมองไปข้างหน้า เขาโล่งใจ ในเมื่อใต้เท้ามาแล้ว แสดงว่าคงจะมีวิธีบางอย่างกลับมาด้วย
หยุนชางโบกมือให้หวังชง นางขี่ม้าเข้ามากลางวงเหล่าทหารแล้วเอ่ยขึ้นว่า “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร?”
เหล่าทหารไม่เข้าใจว่าเหตุใดหยุนชางจึงถามเช่นนั้น ต่างมองหน้ากันไปมา พักหนึ่ง จึงมีคนตอบเสียงเบาๆว่า “เป็นใต้เท้ากำกับการขอรับ”
หยุนชางพยักหน้าและส่งยิ้มให้ นางเอ่ยอย่างอ่อนโยนแต่ชัดถ้อยชัดคำขึ้นว่า “แต่ว่า ข้าหาใช่เป็นเพียงใต้เท้ากำกับการเท่านั้น ข้ายังมียศศักดิ์อย่างอื่นด้วย ข้าคือชายาของจิ้งอ๋อง และเป็นองค์หญิงแห่งแคว้นหนิง!”
เมื่อพูดจบ ก็มีเสียงผู้คนซุบซิบกันดังขึ้น เสียงนั้นเซ็งแซ่จับศัพท์ไม่ได้
หยุนชางวางหน้านิ่ง นางเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่ดังพอจะกลบเสียงเซ็งแซ่ ณ ตรงนั้น “หลายๆคนรู้ว่าข้าเป็นใต้เท้ากำกับการ แต่ไม่รู้ว่าข้าเป็นชายาจิ้งอ๋อง และยังเป็นองค์หญิงแห่งแคว้นหนิง มีหลายคนตั้งคำถาม สตรีเช่นข้า เหตุใดจึงมาเผชิญภยันตรายอยู่ท่ามกลางสนามรบเช่นนี้? เช่นนั้นข้าขอถามพวกเจ้ากลับบ้าง เดิมทีพวกเจ้าสามารถเลือกใช้ชีวิตปกติธรรมดาๆได้ เหตุใดจึงมาปรากฏกายอยู่ในสนามรบเช่นนี้?”
“เพื่อปราบศัตรูขอรับ” “เพื่อขับไล่พวกแคว้นเซี่ยให้ออกไปจากแคว้นหนิงขอรับ” “เพื่อปกป้องรักษาแผ่นดินเกิดขอรับ” ……
มีคำตอบมากมายหลายอย่าง
หยุนชางยิ้ม “คำตอบของข้าก็เป็นดังเช่นพวกเจ้า แคว้นเซี่ยเป็นศัตรูของพวกเรา ตอนนี้พวกเขาลุกล้ำเข้ามาในเขตแดนของเรา หากพวกเราไม่มาเฝ้าระวังอยู่ที่นี่ สักวัน ดินแดนของพวกเราก็คงต้องถูกยึดครองโดยแคว้นเซี่ย ครอบครัวของพวกเราจะต้องตกเป็นเบี้ยล่างคนแคว้นเซี่ย ข้าคือองค์หญิงฮุ่ยกั๋ว ตอนที่ข้าอายุได้ 8 ขวบ แคว้นหนิงประสบปัญหาความแห้งแล้ง ข้าได้ขอพรให้แผ่นดินเกิดความอุดมสมบูรณ์ ให้ฟ้าฝนตกต้องตามฤดูกาล เพื่อการนี้ 7-8 ปีต่อมาข้าจึงได้รับบัญชาจากสวรรค์ ให้กลายเป็นคนอ่อนแอและมักป่วยกระเสาะกระแสะ แต่ข้า หาได้ฟังคำคนรอบข้างไม่ ข้าหันหลังให้กับชีวิตสุขสบายในพระราชวัง มุ่งหน้ามายังชายแดน เฉกเช่นเดียวกันกับพวกเจ้า เพื่อปกป้องรักษาแผ่นดินเกิด เพื่อขับไล่พวกแคว้นเซี่ยให้ออกไปจากแคว้นหนิง สวามีของข้า ก็คือจิ้งอ๋องผู้เป็นวีรบุรุษในใจของทุกคน หลายปีมานี้ เขาตรากตรำทำหน้าที่รักษาดินแดนเพื่อความผาสุขของบ้านเมือง ความโหดร้ายท่ามกลางสนามรบเป็นเช่นไรเชื่อว่าทุกคนคงเข้าใจดี จิ้งอ๋องอุทิศตน ยอมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายถึงเพียงนี้ พวกเจ้ายังจะยึดถือข่าวลือจากแคว้นเซี่ยนั่นให้มาครอบครองจิตใจตนเองอยู่อีกหรือ?”
หยุนชางกวาดสายตามองไปยังเหล่าทหารที่กำลังยืนก้มหน้า นางวางสีหน้าเคร่งขรึม “ข้าเป็นถึงองค์หญิงแห่งแคว้นหนิง ชีวิตของข้าขออุทิศให้กับแคว้นหนิง หากต้องสูญสิ้นแคว้นหนิงไปข้าก็ขอยอมตาย เวลานี้ ข้าขอถามพวกเจ้าเพียงคำเดียว ในยามที่แคว้นเซี่ยก้าวล้ำมาในแผ่นดินของพวกเรา ไล่ล่าสังหารพี่น้องของพวกเรา พวกเราควรสู้สุดใจใช่หรือไม่?”
“สู้! สู้! สู้!” เสียงตอบดังขั้นเกรียวกราว
หยุนชางพยักหน้า แล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อทุกท่านต่างก็เห็นว่าพวกเราสมควรที่จะสู้อย่างสุดใจ พวกเราก็ไม่ควรลุ่มหลงกลลวงของศัตรู จงร่วมมือร่วมใจกันเอาชนะศึกสงครามในครั้งนี้ให้จงได้ พวกแคว้นเซี่ยยกเอาวีรบุรุษของเราไปเป็นเครื่องมือ พวกเราจะให้อภัยไม่ได้โดยเด็ดขาด! หากภายในกองทัพมีผู้ปล่อยข่าวลืออีก จะโดนลงโทษด้วยวินัยทางทหาร มีใครในที่นี้ขัดข้องหรือไม่?”
“ไม่มีขอรับ!”
หยุนชางพยักหน้า นางหันกลับไปมองหวังชง “แม่ทัพหวัง เรื่องนี้คงต้องลำบากท่านแล้วนะ”
พูดจบ หยุนชางก็เดินไปอีกทางที่มีทหารอยู่ นางพูดปลุกใจไพร่พลในทำนองเดียวกัน เวลาผ่านไปราวชั่วยามกว่า หยุนชางเริ่มรู้สึกเจ็บคอพูดต่อไม่ไหวแล้ว ในใจนางพะวงแต่เพียงจิ้งอ๋อง นี่ก็ผ่านมานานแล้ว ไม่รู้ป่านนี้จิ้งอ๋องจะเป็นอย่างไรบ้าง
หยุนชางรีบกลับมายังปากถ้ำ เฉี่ยนอินรีบเข้ามารับ “พระชายา สายลับรายงานมาว่าได้ยินเสียงการต่อสู้ดังออกมาจากส่วนลึกของภูเขาเพคะ”
หยุนชางขมวดคิ้ว นางไม่มีเวลาแม้แต่จะดื่มน้ำสักอึก นางรีบเรียกรวมไพร่พลมุ่งหน้าไปยังส่วนลึกของภูเขาหยุนจินในทันที
ดูตามร่องรอยที่สายลับทิ้งไว้ ตามทางเดินเต็มไปด้วยซากศพของทหารแคว้นเซี่ยและทหารแคว้นหนิง หยุนชางไม่มีกะจิตกะใจจะมาสนใจว่าฝ่ายใดตายไปมากกว่ากัน นางได้แต่กวดขันให้ไพร่พลด้านหลังเร่งฝีเท้าให้เร็วยิ่งขึ้น
ยิ่งเดินเข้าไปลึกๆ ก็ยิ่งรู้สึกหนาวสะท้าน หยุนชางห่มเสื้อคลุมเอาไว้แน่น เดินมาได้ราวๆ 1 ชั่วยามแล้ว ตลอดทางพบเจอแต่ซากศพ ไม่ได้ยินเสียงสู้รบเล็ดลอดออกมาเลยแม้แต่น้อย
“พระชายาเพคะ!” หยุนชางได้ยินเสียงเฉี่ยนอินร้องเรียกมาจากด้านหน้า นางพาคนไปเดินตรวจตราเส้นทางล่วงหน้า หยุนชางเห็นนางหน้าซีดเผือด ในใจก็รู้สึกหวาดหวั่นอยู่ไม่น้อย “มีอะไรหรือ?”
“พระชายาเพคะ หม่อมฉันได้พบกับ……ศพของสายลับคนสนิทของท่านอ๋องเพคะ” เฉี่ยนอินรายงานเสียงแผ่ว
หยุนชางมือสั่นเทา ไม่รู้ว่านี่คือข่าวดีหรือข่าวร้าย ยังโชคดีที่นั่นไม่ใช่ศพของลั่วชิงเหยียน แต่ว่า สายลับคนสนิทของจิ้งอ๋องมีวิชาพลางกายชั้นยอด การที่จะปรากฏตัวออกมาแต่ละครั้งก็ต่อเมื่อจิ้งอ๋องตกอยู่ในอันตรายร้ายแรงเท่านั้น สายลับคนนั้นตายเสียแล้ว……นี่มันหมายความว่า จิ้งอ๋องไม่ใช่แค่ตกอยู่ในอันตรายธรรมดาทั่วไป แต่เป็นอันตรายที่ถึงแก่ชีวิต
“เดินไปข้างหน้าต่อไป!” หยุนชางสั่งเสียงกร้าว นางขี่ม้านำหน้าไป ไม่ว่าจะอย่างไร นางต้องการที่จะได้พบกับจิ้งอ๋อง ไม่ว่าจะเป็น……หรือว่าตาย……
กองซากศพเริ่มปรากฏน้อยลงเรื่อยๆ แต่หยุนชางหาได้สบายใจขึ้นแม้แต่น้อย แต่กลับทวีความร้อนรนมากขึ้นเรื่อยๆ นางกลัวว่า ข้างกายจิ้งอ๋องในเวลานี้จะเหลือคนของเขาอยู่ด้วยเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
หลังจากนั้นไม่นาน ก็เริ่มได้ยินเสียงเล็ดลอดเข้ามาบ้าง หยุนชางรีบร้องถาม “เฉี่ยนอิน ได้ยินไหม? ได้ยินเสียงการต่อสู้หรือยัง?”
เฉี่ยนอินพยายามเงี่ยหูฟัง แต่ก็ได้ยินเพียงเสียงม้าวิ่งและเสียงชุดเกราะเสียดสีกับร่างกาย นางส่ายหน้า “หม่อมฉันยังไม่ได้ยินเลยเพคะ”
หยุนชางยังคงไม่ลดละ นางมุ่งหน้าเดินทางต่อไปเรื่อยๆ เสียงการต่อสู้ก็ดังชัดมากขึ้นเรื่อยๆ
“พระชายา หม่อมฉันได้ยินแล้ว หม่อมฉันได้ยินแล้วเพคะ” เฉี่ยนอินตะโกนเสียงดัง
หยุนชางพยักหน้า นางแทบอดใจรอต่อไปไม่ไหว นางฟาดแส้เข้าที่ตัวม้า เพื่อเร่งม้าให้พุ่งทะยานไปข้างหน้าโดยเร็วที่สุด
“พระชายา รอเหล่าทหารด้วยเพคะ” เฉี่ยนอินร้องเรียกอยู่เบื้องหลัง แต่หยุนชางกลับไม่ได้ยินเสียแล้ว