ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - บทที่ 332 เดินทางกลับ
ผ่านไปประมาณหกหรือเจ็ดวัน พวกเขาก็มาถึงเมืองเฉียนเหยา และเหลือกำหนดการเดินทางเพียงสี่หรือห้าวันก็จะถึงเมืองหลวง ตกดึกก็พักในโรงเตี๊ยมในเมืองเฉียนเหยา ทุกวันนี้ เพื่อความสะดวกในการดูแลจิ้งอ๋อง หยุนชางนอนเบาะเดียวกับจิ้งอ๋องทุกคืน บางทีอาจเพราะนอนในรถม้าเป็นเวลานานในระหว่างวัน พอตอนกลางคืน จิ้งอ๋องไม่ได้มีอาการง่วงนอนเลย ได้ยินเสียงตีเกราะเคาะไม้บอกเวลาจากด้านนอกอย่างเลือนลาง พิเลยเที่ยงคืน จิ้งอ๋องได้ยินเสียงเบาๆ ที่ดูเหมือนจะดังมาจากหลังคา ราวกับว่ามีใครบางคนกำลังเหยียบอยู่บนนั้น
แต่แค่เสียงเบาๆ ก็กลับสู่ความสงบอีกครั้ง จิ้งอ๋องฟังการเคลื่อนไหวรอบๆสี่ด้าน เพียงครู่เดียว เขาก็ได้ยินเสียงหน้าต่างถูกผลักเปิด จิ้งอ๋องขมวดคิ้วเล็กน้อย ดูเหมือนอีกฝ่ายมีจำนวนไม่น้อย อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกใจ องครักษ์ลับข้างหยุนชางไปไหน?
ขณะที่เขากำลังคิดอยู่ ทันใดนั้น เขาก็สังเกตเห็นว่าคนข้างๆตัวเขาเหยียดมือใต้ผ้าห่ม โอบกอดร่างของเขา จิ้งอ๋องถอนหายใจด้วยความโล่งอก คิดว่าหยุนชางคงถูกความเคลื่อนไหวนั่นทำให้ตื่น แต่เขากลับลืมไปว่า วิทยายุทธของหยุนชางก็ไม่ด้อย
เมื่อได้ยินเสียงลมพัดมา คนข้างก็โอบกอดเขาอย่างรวดเร็ว พลิกตัว พยุงเขาแล้วลุกขึ้นยืน “ไม่ทราบว่าเป็นยอดฝีมือจากที่ไหน แล้วเหตุใดถึงมาเยี่ยมตอนดึก?”
“เจ้าเป็นใคร? ทำไมถึงมีวิทยายุทธ? ไม่ใช่ว่าจิ้งอ๋องหมดสติ มีเพียงพระชายาที่เป็นแค่หญิงสาวอยู่ข้างๆหรือ?” มีเสียงหนึ่งดังขึ้น เสียงของเขามีความเยือกเย็น
รู้ว่าเขาคือจิ้งอ๋อง รู้ความเคลื่อนไหวของพวกเขา เกรงว่ามันไม่ใช่การปล้นธรรมดา เกรงว่าจะเป็นนักฆ่าที่ใครบางคนจ้างมา แต่เขามีศัตรูมากมาย ไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของผู้ใด
แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ให้โอกาสหยุนชางได้ตอบ หันหลังแล้วใช้ดาบแทงเข้ามา หยุนชางโอบกอดจิ้งอ๋องแล้วก้าวถอยหลัง และมีชายชุดดำเพิ่มมาอีกหลายคนข้างหน้า
“เก็บพยานปากไว้คนหนึ่ง” หยุนชางพูดอย่างเฉยเมย แต่นางก็ไม่ลืมดึงเสื้อคลุมข้างๆมาคลุมให้กับจิ้งอ๋อง
เสียงการต่อสู้ดังขึ้น มีเสียงหัวเราะจากชายเสียงที่เยือกเย็นผู้นั้นดังมา “สมแล้วที่เป็นองครักษ์ลับในตำนานเก่งกาจจริงๆ แต่ว่า ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ของหอชิงอีของเราเสมอไป”
หอชิงอี หน่วยนักฆ่าที่เก่งกาจในตำนาน ถ้าลงมือ จะไม่กลับไปมือเปล่า
“ไม่รู้ผู้ใดกันที่ต้องการซื้อชีวิตของเรา และข้าจะไม่ถามว่านายท่านที่จ่ายเงินคือผู้ใด แต่ข้ายินดีจ่ายสิบเท่าของราคานั้น ซื้อหอชิงอีเพื่อฆ่าคนที่วางคำสั่ง” เสียงของหยุนชางที่ดูนิ่งสงบ ราวกับว่าคนที่กำลังเผชิญหน้าเป็นเพียงคนทั่วไปเท่านั้น
“ถ้าท่านสามารถมีชีวิตรอดมาออกใบสั่งและจ่ายเงินให้สำเร็จได้ เราจะรับงานนี้” พูดจบ อีกฝ่ายก็พุ่งมาข้างหน้า
องครักษ์ลับเข้ารับมือ พึ่งแสงสลัวจากหน้าต่างดูสถานการณ์ หยุนชางขมวดคิ้วเล็กน้อย ชายคนนั้นไม่ได้โกหก องครักษ์ลับตกเป็นรองจริงๆ
ไม่นานประตูก็ถูกผลักเปิด เฉี่ยนอินที่พักอยู่ห้องข้างๆ ได้ยินการเคลื่อนไหว นางเดินเข้ามาจากด้านนอก และนางยังไม่ทันได้สวมชุดให้เรียบร้อย “พระชายา หม่อมฉันพาท่านและท่านอ๋องไปก่อนเพคะ”
หยุนชางพยักหน้า พยุงจิ้งอ๋องและต้องการจะเดินออกไป แต่ได้ยินเสียงกระทบกับอากาศจากข้างหลัง “จะหนีไปไหน”
“พระชายาระวัง…” เสียงของเฉี่ยนอินส่งมา
หยุนชางหลบได้ เฉี่ยนอินกำลังจะเข้ามาช่วย แต่ถูกนักฆ่าสองคนมาขวาง ขังไว้ในห้อง หยุนชางพิงราวบันไดที่ประตู มองดูชายสวมหน้ากากที่ใช้ดาบกำลังจะเข้ามาจู่โจม กอดจิ้งอ๋องและหลบได้อีกครั้ง วิทยายุทธของชายผู้นั้นนับได้ว่าเก่งกาจ และทุกกระบวนท่านั้นโหดเหี้ยม เชี่ยวชาญในการจู่โจม หากลำพังแค่หยุนชางคนเดียว ก็อาจสามารถต่อสู้กับเขาได้ ไม่น่าจะแพ้ แต่ตอนนี้ยังต้องดูแลลั่วชิงเหยียนที่หมดสติข้างๆนาง เป็นการยากที่จะหลบ อีกทั้งนางไม่มีอาวุธอยู่ในมือ จึงมีความเสียเปรียบ
ดาบที่กระทบกับลมพุ่งเข้ามาอย่างแรง หยุนชางก้าวถอยหลังสองก้าว และกำลังจะหลบ แต่ไม่คิดว่าด้านหลังเป็นบันได หยุนชางไม่ทันสังเกต ก้าวในอากาศ ทรงตัวไม่ได้ และทำให้ตกลงสู่พื้น แต่นางยังคงกอดจิ้งอ๋องไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
“พระชายา ระวัง!” เฉี่ยนอินสังเกตเห็นสถานการณ์ เมื่อเห็นหยุนชางที่ตกลงไปที่ทางบันได นางตกใจ ต้องการรีบไปช่วยนาง แต่ถูกนักฆ่าขวางไว้ เฉี่ยนอินใช้มือสกัดดาบ หันไปโจมตี แต่ก็ยังช้าไปหนึ่งก้าว
ในขณะนี้เอง คนในอ้อมแขนของหยุนชางก็ลืมตาขึ้นทันที เอื้อมมือออกและโอบเอวของหยุนชางไว้ จากนั้นตีลังกากลับ และยืนบนพื้นดินชั้นล่าง เพียงเพราะเขาเพิ่งฟื้น ร่างกายของเขาก็ยังควบคุมไม่ได้เต็มที่ ประกอบกับอาการบาดเจ็บที่ร่างกาย พลังปราณยังไม่สามารถใช้ได้ทั้งหมด หลังจากลงสู่พื้น ก็ยังเดินเซถอยหลังไปหลายก้าวถึงจะยืนนิ่งได้
หยุนชางตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง หันไปมองคนข้างๆ มองไปในดวงตาสีเข้มคู่หนึ่ง ในความมืด นางมองไม่เห็นสีหน้าของคนที่อยู่ข้างตัวนาง
“ชางเอ๋อร์…” ชายคนนั้นเปิดปากของเขา เสียงของเขายังคงแหบเล็กน้อย แต่ดวงตาของหยุนชางแดงก่ำโดยไร้เหตุผล
มีเสียงทะลุผ่านอากาศเหนือศรีษะของนาง และหยุนชางนึกขึ้นได้ว่า ในขณะนี้ยังคงอยู่ในภาวะวิกฤต ดังนั้นนางจึงยืนตัวตรง หันหลังและพุ่งไปที่ชายคนนั้น
เพียงเพราะเมื่อครู่นางต้องดูแลจิ้งอ๋อง ทำให้ไม่สะดวก ตอนนี้ไม่มีอุปสรรค แม้ว่านางไม่มีอาวุธอยู่ในมือ แต่ก็ทำทุกอย่างได้ราบรื่นขึ้นมาก
จิ้งอ๋องอยากจะเข้าไปช่วย แต่อาการบาดเจ็บที่ขาของเขาค่อนข้างหนัก ขนาดที่ว่าแค่ยืนยังรู้สึกเจ็บปวด
โชคดีที่ดูเหมือนหยุนชางมิได้ตกเป็นรอง หยุนชางเคลื่อนไหวได้เร็วมาก คนธรรมดาทั่วไปจะมองไม่เห็นการเคลื่อนไหวของนางเลย เกรงว่าแม้แต่นักฆ่าที่สวมหน้ากากก็ยังถูกนางปั่นจนตาลาย และเฉี่ยนอินที่อยู่ชั้นบนก็สามารถจัดการนักฆ่าได้แล้วคนหนึ่ง จึงมีเวลามองลงมาชั้นล่าง ได้เห็นว่าทั้งสองคนไม่เป็นไร นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก หยิบดาบของนักฆ่าที่ตายไป แล้วโยนให้หยุนชาง “พระชายา รับดาบเพคะ”
หยุนชางพุ่งไปคว้ามันไว้อย่างรวดเร็ว สะบัดร่างของนางไปข้างหลังนักฆ่าที่สวมหน้ากาก และกระโจนแทงดาบลงอย่างหนัก
ดวงตาของชายผู้นั้นเบิกกว้าง รู้สึกยากที่จะเชื่อ ทั้งๆที่ผู้วางคำสั่งบอกว่าพระชายาเป็นหญิงสาวที่อ่อนแอ และไม่เป็นวิทยายุทธแม้แต่น้อย ทำไม…
แววตาของหยุนชางนั้นมีความอาฆาตมากยิ่งขึ้น กระโดดขึ้นไปชั้นบน องครักษ์ลับหลายคนที่ชั้นบนได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นหยุนชางจึงรีบเร่งเข้าไปช่วย โชคดีที่ วิทยายุทธของนักฆ่าที่อยู่ชั้นบนนั้นด้อยกว่าชายสวมหน้ากากมาก ดังนั้นจึงไม่ยากที่จะรับมือ หลังจากนั้นไม่นาน ทุกอย่างก็คลี่คลาย เฉี่ยนอินกำลังจะแทงร่างของนักฆ่าคนสุดท้ายด้วยดาบ แต่ถูกหยุนชางห้ามไว้ “เฉี่ยนอิน หยุดก่อน นำเขาลงไปสอบสวน”
เฉี่ยนอินได้ยิน ก็หยุดมือของนาง พยักหน้า หักมือและเท้าของนักฆ่าอย่างรวดเร็ว แล้วส่งให้องครักษ์ลับที่อยู่ด้านข้าง
หลังจากทั้งหมดนี้ถูกจัดการเสร็จสิ้น หยุนชางนึกขึ้นได้ว่า จิ้งอ๋องได้สติแล้ว เขารีบกลับมารู้สึกตัวและมองลงไปข้างล่าง แต่เห็นจิ้งอ๋องยืนพิงกับกำแพง ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่ตัวของนาง และเห็นนางมองไป เขาเกี่ยวที่มุมปาก ยิ้มให้หยุนชาง ตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
หัวใจของหยุนชางสั่นไหวเล็กน้อย เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเดินไปที่จิ้งอ๋อง จ้องไปที่จิ้งอ๋องเป็นเวลานานแล้วตามด้วยรอยยิ้ม “ฟื้นแล้วจริงๆหรือ”
“ฟื้นแล้ว” จิ้งอ๋องตอบเบาๆ “หลายวันมานี้ ลำบากพระชายาแล้ว”
หยุนชางพยักหน้า “ข้าจะพาท่านขึ้นไปพักผ่อน ท่านเพิ่งฟื้น พักผ่อนให้มากๆจะดีกว่านะเพคะ”