ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - บทที่ 334 กลับถึงเมืองหลวง
องครักษ์ลับมองดูหยุนชางด้วยความงงงวย หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็พาหมอเข้าไปในห้อง ก็เห็นใบหน้าของจิ้งอ๋องก็มีรอยยิ้มเช่นกัน จนทำให้องครักษ์ลับผงะไปครู่หนึ่ง และพูดว่า “ท่านอ๋อง ให้ท่านหมอตรวจดูอาการบาดเจ็บของท่านเถอะขอรับ”
จิ้งอ๋องพูด “อืม” เบาๆ และหมอก็รีบเข้าไป ตรวจอย่างละเอียด…
จิ้งอ๋องก็ฟื้นแล้ว และความเร็วของการกลับเมืองหลวงก็เร็วขึ้นเล็กน้อย อย่างที่จิ้งอ๋องกล่าวไว้ ไม่เป็นไร ย่อมมีทางออกเสมอ หยุนชางครุ่นคิด รอยยิ้มผุดขึ้นจากมุมปากของนาง ดวงตาของนางจับจ้องไปที่หนังสือ แต่ไม่ได้พลิกหน้าใหม่เลย
จิ้งอ๋องที่อยู่ข้างกายก็พิงผนังรถม้า หลับตาพักผ่อน ในรถม้ามีบรรยากาศที่อบอุ่น
“ท่านอ๋อง พระชายา เรากำลังจะเข้าเมืองแล้วขอรับ” เสียงขององครักษ์ลับดังมาจากด้านนอก หยุนชางลืมตาขึ้น ยกม่านหน้าต่างขึ้น และมองออกไปข้างนอก มาถึงประตูเมืองหลวงแล้วจริงๆ ทั้งๆที่เตรียมใจไว้แล้ว แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะกังวล
ทหารที่ประตูเมืองกำลังตรวจสอบผู้คนที่เดินเข้าออกเมือง รถม้าหยุดและรอ เฉี่ยนอินเปิดประตูและปีนขึ้นไป พร้อมกับหนาวเย็น “หิมะนี้ก็จริงๆเลย ตอนที่กำลังเร่งเดินทางตกหนักมาก ตอนนี้เรากำลังจะถึง กลับหยุดลงแล้ว”
หลังจากพูดจบ เห็นว่าจิ้งอ๋องกำลังพักผ่อน จึงรีบทำเสียงให้เบาลง และถามเบาๆว่า “พระชายา เราจะกลับไปที่จวนจิ้งอ๋องก่อนหรือเพคะ?”
หยุนชางครุ่นคิดสักครู่ พยักหน้าเล็กน้อย “เดินทางมาก็เหนื่อยแล้ว กลับไปที่จวนจิ้งอ๋องพักผ่อนสักวันก่อนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยเข้าวังไปถวายพระพรเสด็จพ่อและเสด็จแม่ การเข้าเฝ้าโดยสภาพนี้ นับว่าเป็นการดูหมิ่นเล็กน้อย”
เฉี่ยนอินพยักหน้า และหันพูดไปทางนอกรถม้า “ลั่วอี้ เรากลับไปที่จวนกันก่อน”
คิดว่าคงเป็นเพราะองครักษ์ลับได้แจ้งที่จวนแต่เนิ่นๆ หลังจากลงจากรถม้า ก็เห็นพ่อบ้านรออยู่ที่ประตู เมื่อเห็นจิ้งอ๋องลงจากรถ เขาก็รีบไปพยุงจิ้งอ๋องกับลั่วอี้ “ก่อนหน้านี้พระชายาส่งข่าวกลับมา บอกว่าท่านอ๋องได้รับบาดเจ็บ ทำเอาข้าน้อยเป็นห่วงมากเลยขอรับ”
จิ้งอ๋องยิ้ม หันไปมองหญิงสาวที่ลงจากรถม้า และรอให้นางลงจากรถม้าแล้วก็จับมือนาง หันไปทางพ่อบ้าน “ไม่เป็นไร แค่บาดเจ็บเล็กน้อย”
พ่อบ้านก็เป็นคนฉลาด จากการกระทำง่ายๆของจิ้งอ๋องและหยุนชางที่ลงจากรถม้า เขาก็สามารถเห็นอะไรบางอย่าง รอยยิ้มที่มีความสุขบนใบหน้า “ขอรับ ขอรับ ท่านอ๋องและพระชายากลับมาก็ดีแล้วขอรับ จวนได้ทำความสะอาดแล้ว เพิ่งจะผ่านปีใหม่ แม้ว่าท่านอ๋องและพระชายาจะไม่อยู่ในจวน แต่ข้าน้อยยังคงจัดเตรียมอย่างดี ทำให้ดูรื่นเริงเล็กน้อย อาหารก็เตรียมพร้อมแล้วขอรับ ระหว่างทาง เกรงว่าท่านอ๋องและพระชายาคงจะมิได้ทานอาหารดีๆสักมื้อ และคงมิได้พักผ่อนดีๆเลย”
“ลำบากพ่อบ้านแล้ว” หยุนชางยิ้มเล็กน้อย และพยุงจิ้งอ๋องเดินเข้าไปในจวน
“มีพระราชโองการ…” แต่ก่อนที่จะเข้าประตูจวน ก็ได้ยินเสียงที่เล็กแหลมจากระยะไกล เสียงที่มีความคุ้นเคยเล็กน้อย ฝีเท้าของหยุนชางชะงักเล็กน้อย รอยยิ้มบนใบหน้าก็ดับลง สันนิษฐานว่าเสด็จพ่อได้ส่งคนมาติดตามแผนการเดินทางแล้ว นี่เพิ่งจะเข้าเมือง ยังไม่ทันได้ประตูจวน ก็มีพระราชโองการมาแล้ว
หยุนชางหันศีรษะ เห็นหัวหน้าเจิ้งกำลังขี่ม้ามา แต่เขาไม่ได้ถือผ้าไหมสีเหลืองไว้ในมือ หัวหน้าเจิ้งลงจากหลังม้าข้างรถม้า เดินไปทางหยุนชางและจิ้งอ๋อง แววตาของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ท่านอ๋อง พระชายา…”
จิ้งอ๋องพยักหน้าเล็กน้อย “หัวหน้าเจิ้งคือนำพระราชโองการของเสด็จพี่มาหรือ?”
หัวหน้าเจิ้งยิ้ม จ้องมองไปที่จิ้งอ๋อง และเขาพบว่าจิ้งอ๋องเกือบจะทิ้งร่างเอนตัวพิงหยุนชาง สายตาของเขาผงะเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะอีกครั้ง “เป็นคำสั่งของฝ่าบาท ฝ่าบาททรงกังวลพระทัยความปลอดภัยของพระองค์ทั้งสอง ทรงทราบว่าท่านอ๋องและพระชายากลับมายังเมืองหลวงแล้ว จึงได้ให้หม่อมฉันส่งพระราชโองการ ให้ท่านอ๋องและพระชายาเข้าวังเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
หยุนชางขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย “ตามหลักแล้ว พวกข้าควรที่จะเข้าวังทันที แต่ทว่าเดินทางมาอย่างเร่งรีบ ยังมิมีเวลาทานข้าวเลย รู้สึกหิวเล็กน้อย อีกทั้งสภาพของพวกข้าในตอนนี้ มันจะไม่เป็นการดีเลย ต้องของรบกวนหัวหน้าเจิ้ง กลับไปที่วังทูลเสด็จพ่อว่า หลังจากพวกข้าทานอาหารเสร็จ เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจะเข้าวัง”
หัวหน้าเจิ้งมองไปที่ทั้งสอง เมื่อเห็นว่าแววตาทั้งสองเผยความเหน็ดเหนื่อยจริงๆ เสื้อผ้าก็ชุดสีขาวเรียบๆ อีกทั้งหยุนชางยังสวมชุดของผู้ชาย เขาพยักหน้า “เช่นนั้นหม่อมฉันจะกลับวังไปทูลรายงานพ่ะย่ะค่ะ…”
จิ้งอ๋องก็พยักหน้าอย่างสุภาพ “เช่นนั้นต้องขอรบกวนหัวหน้าเจิ้งแล้ว”
หัวหน้าเจิ้งยิ้ม แล้วหันหลังขึ้นหลังม้า โค้งมือไปทางหยุนชางและจิ้งอ๋อง จากนั้นมุ่งหน้าไปยังวังหลวง
หยุนชางขมวดคิ้ว รู้สึกไม่มีความสุขเล็กน้อย หลังจากเงียบสักพัก ก็หันศีรษะไปทางจิ้งอ๋องและพูดว่า “เข้าไปกันก่อนเถิด”
จิ้งอ๋องพยักหน้าและเข้าไปในจวนพร้อมกับหยุนชาง
แม้ว่าหัวหน้าเจิ้งจะกลับวังทูลรายงานต่อจักรพรรดิหนิง แต่หยุนชางและจิ้งอ๋องก็ไม่กล้าที่จะชักช้า พวกเขาเพียงแค่เปลี่ยนเสื้อผ้าและทานอะไรเล็กน้อยแล้วก็รีบเข้าวัง
จักรพรรดิหนิงกำลังรอพวกเขาอยู่ที่ห้องโถงตำหนักฉินเจิ้ง เมื่อหัวหน้าเจิ้งเห็นพวกเขาทั้งสองเดินมา เขาก็รีบเข้าไปต้อนรับเสด็จ “ท่านอ๋องและพระชายาเชิญเข้าด้านใน ฝ่าบาททรงรอนานแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หยุนชางเงยหน้าขึ้นและเหลือบมองจิ้งอ๋องเล็กน้อย จิ้งอ๋องยิ้มเล็กน้อย จับมือนาง และทั้งสองเข้าไปในตำหนักฉินเจิ้งด้วยกัน จักรพรรดิหนิงกำลังอ่านฎีกา เห็นทั้งคู่เข้ามา เขาเงยหน้าขึ้นและมองไปที่ทั้งสองอยู่ครู่หนึ่ง ทั้งสองยืนอยู่หน้าโต๊ะทรงงานของจักรพรรดิหนิง คำนับทำความเคารพ จักรพรรดิหนิงยิ้มและตรัสว่า “ชิงเหยียนกับหยุนชางมากันแล้วหรือ ลุกขึ้นเถิด”
หลังจากตรัสแล้วพระองค์ก็เหลือบไปที่จิ้งอ๋องอีกครั้ง “ได้ยินมาว่าจิ้งอ๋องได้รับบาดเจ็บสาหัส ร่างกายของเจ้าดีขึ้นหรือยัง” หลังจากถาม ก็ทรงตรัสด้วยเสียงอันดัง “มานี่ ยังไม่ยกเก้าอี้มาให้จิ้งอ๋องอีก”
จิ้งอ๋องพูดอย่างเร่งรีบ “หมดสติไประยะหนึ่ง แต่ตอนนี้แผลค่อยๆหายดีแล้ว เพียงแต่ว่าก็ยังเจ็บอยู่ ขาก็ใช้ไม่ค่อยถนัด แม้แต่ตอนเดินก็ยังต้องให้คนคอยพยุง ตอนนี้ราวกับเป็นคนพิการแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหนิงได้ยินก็ผงะชั่วครู่ แล้วตรัสอีกครั้งว่า “เช่นนั้นต้องรีบตามหมอหลวงมาตรวจ อาการบาดเจ็บนี้ปล่อยทิ้งไว้ไม่ได้ ถ้าปล่อยทิ้งไว้ส่งผลเสียต่อร่างกายเกรงจะไม่ดี” หลังจากนั้นเขาก็เรียกหัวหน้าเจิ้งเข้ามา สั่งให้ไปตามหมอหลวงมา
จิ้งอ๋องไม่ได้ปฏิเสธ ขอบพระทัยด้วยรอยยิ้ม
หยุนชางหันสายตามองทั้งคู่ รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย นางคิดว่าเสด็จพ่อคงจะทรงโกรธเกรี้ยวอย่างกับฟ้าพิโรธแน่ แต่ไม่คิดว่า ทั้งคู่ต่างดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย พวกเขาเข้ากันได้ไม่ต่างจากแต่ก่อน…
ความกังวลในใจของนางเพิ่มมากขึ้น แต่นางลืมไปว่า เสด็จพ่อของตนเป็นราชาของแผ่นดิน และจิ้งอ๋องก็เป็นเทพแห่งสงครามที่น่าเกรงขามสำหรับศัตรู คนสองคนนี้จะเปิดเผยอารมณ์ที่แท้จริงอย่างง่ายดายได้อย่างไร ผู้ที่ยิ่งปกปิดได้ดี ยิ่งอันตราย นางเดาไม่ออกจริงๆว่าพวกเขาคิดอะไรกันอยู่…
สายพระเนตรของจักรพรรดิหนิงหันไปหาหยุนชาง มีความอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย ยิ้มให้หยุนชางและตรัสว่า “ครั้งนี้ชางเอ๋อร์ได้หน้าได้ตามีชื่อเสียงเลยนะ ได้ยินมาว่าตอนที่อยู่เมืองคังหยางและเมืองจิ้งหยาง เจ้าเป็นผู้ที่นำทัพทหาร บุกโจมตีจนกองทัพเซี่ยพ่ายแพ้ เจิ้นได้รับฎีกาหลายฉบับจากเหล่าแม่ทัพ ซึ่งต่างก็ยกย่องชางเอ๋อร์ เจิ้นไม่ทราบเลยว่า ชางเอ๋อร์มีความสามารถเยี่ยงนี้ ซึ่งทำให้เจิ้นตกใจพอควร”
หยุนชางหัวเราะเมื่อได้ยิน “เสด็จพ่อถูกเหล่าแม่ทัพหลอกแล้วเพคะ หม่อมฉันเป็นองค์หญิง และเป็นพระชายา ใครจะกล้าให้หม่อมฉันออกศึกสังหารศัตรูเองได้ล่ะเพคะ นี่เป็นคำพูดเหลวไหลในค่ายทหาร แม่ทัพที่ชายแดนล้วนเป็นทหารผ่านศึกที่มีประสบการณ์ และมีความคิดของตนเอง แน่นอนว่าสังหารศัตรูจนได้รับชัยชนะต้องเป็นความดีความชอบของเหล่าทหารที่ไปรบ หม่อมฉันมิกล้ารับความดีความชอบนี้เพคะ แม่ทัพเหล่านี้ขึ้นฎีกาสรรเสริญหม่อมฉันเยี่ยงนี้ เป็นเพราะคิดว่าหม่อมฉันเป็นเป็นพระราชธิดาของเสด็จพ่อ ประจบสอพลอเล็กน้อย ถ้าเสด็จพ่อทรงพอพระทัย ก็จะทรงประทานรางวัลพวกเขา เสด็จพ่อโปรงอย่าได้หลงอุบายพวกเขาง่ายๆนะเพคะ แม่ทัพเหล่านี้ ฉลาดแกมโกงเหลือเกิน”