ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - บทที่ 336 การเปลี่ยนแปลงในวังหลวง (๒)
เจิ้งมามาถอนหายใจและเหลือบมองจิ่นกุ้ยเฟย แม้เห็นว่าสีหน้าของนางจะไม่ค่อยดีนักแต่เจิ้งมามาก็ไม่ได้ห้ามนาง “หลี่จิ้งเหยียนก่อกบฏและราชสำนักก็ไม่มั่นคง จิ่งขุยก็ใช้เงินของตระกูลจนเกือบหมดและเกลี้ยกล่อมขุนนางทีละคนที่เคยเป็นพรรคพวกของหลี่จิ้งเหยียน กวาดล้างกองกำลังของตระกูลหลี่ที่แฝงอยู่ในเมืองหลวงทั้งหมด จักรพรรดิหนิงได้แต่งตั้งจิ่งขุยเป็นอัครมหาเสนาบดี ครั้งแรกที่เขาประกาศราชโองการ จิ่งขุยไม่ยอมรับและบอกว่าลูกสาวของเขาทำให้องค์หญิงหยุนชางและจิ้งอ๋องขุ่นเคืองใจ ตอนนี้ยังถูกขังอยู่ในคุก เขาทำเช่นนี้เพื่อขอให้จักรพรรดิปล่อยลูกสาวของเขาออกมาเท่านั้น”
หยุนชางหัวเราะเยาะ นางกล่าวเสียงเย็นว่า “ดังนั้นเสด็จพ่อจึงปล่อยจิ่งเหวินซีออกมาแล้วยังเชิญจิ่งขุยให้ขึ้นดำรงตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี บางทีเขาอาจจะอนุญาตให้ลูกสาวของเขาเข้าวังมาเป็นนางสนมหรือแม้กระทั่งฮองเฮาใช่หรือไม่?” ยิ่งหยุนชางพูดในใจนางก็ยิ่งรู้สึกโกรธ
จิ่นกุ้ยเฟยเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะจับมือหยุนชางและส่ายหัวยิ้มๆ “ชางเอ๋อร์ แม่ไม่สนใจเรื่องพวกนี้หรอก แม่มีเจ้าและตอนนี้มีเฉินซี แค่นี้ก็พอแล้ว”
นิ้วมือของหยุนชางสั่นระริก “เป็นชางเอ๋อร์เองที่ทำให้เสด็จแม่ต้องเหนื่อยไปด้วย หากตอนที่อยู่ที่เมืองเฟิ่งไหลชางเอ๋อร์ไม่ได้ใช้อารมณ์ชั่ววูบก็คงไม่ทำให้เป็นเช่นนี้” ประกายเย็นชาในดวงตาของนางยิ่งรุนแรงขึ้น “เกรงว่าจิ่งขุยคนนี้คงจะไม่ใช่คนไร้สมอง เขาขอร้องให้เสด็จพ่อปล่อยตัวจิ่งเหวินซี แต่กลับบอกว่าเพราะชอบจิ้งอ๋องและทำให้หม่อมฉันขุ่นเคืองใจจึงได้ถูกขังคุก แต่กลับไม่ได้เอ่ยว่านางจิตใจโหดเหี้ยมและเกือบจะพรากชีวิตของเฉินซีไปแล้ว” เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ หยุนชางก็มองไปที่จิ่นกุ้ยเฟย เมื่อเห็นท่าทางของนางดูหดหู่ลงเล็กน้อยนางก็นึกขึ้นได้ว่า เสด็จแม่ของนางอุ้มท้องเฉินซีจนคลอดมากว่าสิบเดือน แม่ลูกย่อมผูกพัน จิ่งเหวินซีทำกลับเฉินซีเช่นนั้น เสด็จแม่ต้องเกลียดนางแน่ แต่ตอนนี้เสด็จพ่อกลับ…
หยุนชางยืนขึ้นและกล่าวว่า “เสด็จแม่ ให้หยุนชางนำท่านและเฉินซีเข้าไปอยู่ในจวนจิ้งอ๋องสักระยะเถอะเพคะ”
เมื่อจิ่นกุ้ยเฟยได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะออกมา นางลูบหัวของหยุนชางแล้วเอ่ยว่า “เด็กโง่ ไม่มีเหตุผลใดที่แม่จะไปอาศัยที่จวนจิ้งอ๋อง นอกจากนั้นหนึ่งเดือนหลังจากนี้ก็จะมีพระราชพิธีแต่งตั้งฮองเฮา ฝ่าบาทมอบหมายให้แม่เป็นคนจัดการเรื่องนี้ ช่วงนี้แม่ยุ่งมากไปไหนไม่ได้หรอก”
เมื่อครู่หยุนชางเพียงเดาเท่านั้น แต่เมื่อได้ยินจิ่นกุ้ยเฟยพูดเช่นนี้ ในใจของนางก็ยิ่งโมโห ตอนที่จิ่งเหวินซีทำเรื่องเช่นนั้น เห็นได้ชัดว่าเสด็จพ่อก็อยู่ด้วย เหตุใดท่านพ่อจึงแต่งตั้งนางเป็นฮองเฮา?
“เสด็จพ่อของเจ้า…” เสียงของจิ่นกุ้ยเฟยแผ่วเบา “ในราชสำนักเพิ่งเกิดความปั่นป่วน ทางเหนือและใต้ก็กำลังมีเรื่องรบรากัน ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการทำให้ราชสำนักสงบลง…”
หยุนชางฟังคำที่จิ่นกุ้ยเฟยพูดออกมาอย่างไม่ทุกข์ร้อน ในใจของนางก็ราวกับถูกราดลงด้วยน้ำเย็นดับโทสะนั้นไป นางมองจิ่นกุ้ยเฟยอย่างงุนงง เมื่อครู่ตอนที่อยู่ในตำหนักฉินเจิ้งก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ตอนนี้ความรู้สึกนั้นยิ่งมากขึ้นขึ้น
เสด็จแม่… แม้จะอยู่ในตำหนักเย็นเป็นเวลากว่าสิบปี หลังนางกลับมาอยู่เคียงข้างเสด็จพ่ออีกครั้งก็ยังมีสายใยความรักบางเบาให้แก่เสด็จพ่อ เพียงแต่เสด็จแม่ไม่เคยรู้ว่าผู้ที่มองอยู่ด้านข้างอย่างมองเห็นอะไรๆ ได้อย่างชัดเจน เมื่อครู่ที่ตำหนักฉินเจิ้งเสด็จแม่แทบจะเห็นเสด็จพ่อไร้ตัวตนและไม่ได้พูดอะไรกับเสด็จพ่อเลย นางคิดไปว่าเสด็จแม่ของนางตื่นเต้นดีใจที่ได้พบนางจึงได้ลืมไป เพียงแต่ว่าตอนนี้เมื่อนางเห็นใบหน้าเรียบเฉยของจิ่นกุ้ยเฟยยามที่เอ่ยถึงเสด็จพ่อ แววตาของนางไม่มีความเศร้าโศกหรือความยินดี จู่ๆ หยุนชางก็รู้สึกได้ว่าบางทีครั้งนี้เสด็จพ่ออาจจะทำร้ายหัวใจของเสด็จแม่ของนางเข้าแล้วจริงๆ ดังนั้นเสด็จแม่จึงได้ปิดกั้นหัวใจเอาไว้
หยุนชางเงียบไปอยู่นาน จากนั้นก็หายใจเข้าลึกและหายใจออกช้าๆ พร้อมพยักหน้า “เสด็จแม่ ชางเอ๋อร์รู้ว่าท่านเจ็บปวดและคงจะไม่สนใจแล้ว แต่ข้าจะไม่ยอมให้จิ่งเหวินซีได้มีโอกาสนั่งลงบนตำแหน่งฮองเฮาแน่ และหากนางจะได้นั่งบนตำแหน่งนั้น ข้าก็จะลากนางลงมาเอง ผู้หญิงคนนั้นอันตรายเกินไป ตอนนี้นางมีจิ่งขุยคอยสนับสนุนนาง ชางเอ๋อร์กังวลว่านางจะทำร้ายท่านและเฉินซี ชางเอ๋อร์จะไม่ยอมให้ใครมาคุกคามความปลอดภัยของเสด็จแม่และน้องชายของข้าแน่”
หยุนชางได้ความสงบคืนมาแล้ว จิ่นกุ้ยเฟยเงยหน้าขึ้นมองหยุนชางอย่างงุนงงอยู่นานก่อนจะพูดว่า “แล้วแต่เจ้าเถิด ตอนนี้ชางเอ๋อร์มีความคิดเป็นของตนเองแล้ว”
เมื่อหยุนชางดื่มชาไปอีกสองสามถ้วยและสงบลงอย่างสมบูรณ์แล้ว จิ่นกุ้ยเฟยจึงมองสีหน้าหยุนชางและเอ่ยเสียงกระซิบ “ที่เจ้าเขียนมาในจดหมายในวันนั้นเป็นเรื่องจริงหรือ? จิ้งอ๋องเป็น…”
หยุนชางชะงักไปแล้วจึงเข้าใจความหมายของจิ่นกุ้ยเฟย หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งนางจึงพยักหน้า “เพคะ ท่านอ๋องเป็นโอรสของจักรพรรดิแคว้นเซี่ยจริงๆ ลูกชาย เมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว อดีตฮองเฮาของจักรพรรดิเซี่ยได้ติดตามเขามาที่สนามรบด้วย แต่ปรากฏว่านางตั้งครรภ์ขึ้นในสนามรบ เพราะในสงครามนั้นอันตรายมากแต่ก็เกรงว่าระหว่างทางกลับไปจะเจออันตรายจึงได้ตั้งครรภ์อยู่ในค่าย แต่คิดไม่ถึงว่าศัตรูจะเข้าโจมตี นางจึงได้ตกหน้าผา…”
“แล้วเช่นนี้จะแน่ใจได้อย่างไรว่าจิ้งอ๋องเป็นโอรสของจักรพรรดิเซี่ยจริงๆ? อย่างไรก็ผ่านมานานมากแล้ว อดีตฮองเฮาก็สวรรคตไปนานแล้ว” จิ่นกุ้ยเฟยเงียบไปครู่หนึ่งแต่ก็ยังคงสงสัยอยู่บ้าง
หยุนชางส่ายหัว “ชางเอ๋อร์ก็ไม่รู้ แต่ฮวากั๋วกงแห่งแคว้นเซี่ยยืนยันว่าท่านอ๋องเป็นโอรสของอดีตฮองเฮา ฮวากั๋วกงเป็นพ่อของอดีตฮองเฮา เกรงว่าคงจะไม่ผิดแน่ อีกทั้งฮวากั๋วกงเคยไปหาท่านอ๋องเพื่อยืนยัน ชางเอ๋อร์เอ่ยเรื่องนี้กับเขาหลายครั้งและเขาก็ยอมรับอย่างเงียบๆ”
“เป็นเช่นนี้นี่เอง…” จิ่นกุ้ยเฟยพึมพำ “แล้วเจ้าจะทำอย่างไร? ตอนนี้เสด็จพ่อของเจ้ารู้เรื่องนี้แล้ว ด้วยนิสัยของเขาแล้วจะต้องไม่ยอมปล่อยไปแน่ ครั้งนี้แคว้นเซี่ยทำให้เขาสูญเสียครั้งใหญ่แล้วเขายังมารู้ตัวตนของจิ้งอ๋องในเวลานี้อีก…”
สายตาของหยุนชางฉายแววกังวลแต่นางเพียงเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร ท่านอ๋องคงมีวิธีรับมือแล้ว…”
จิ่นกุ้ยเฟยมองหยุนชางอยู่นานก่อนจะกล่าวว่า “หากจิ้งอ๋องไปแคว้นเซี่ย เจ้าจะทำอย่างไร?”
หยุนชางยิ้มบางๆ “ในเมื่อชางเอ๋อร์แต่งงานกับเขาแล้ว เขาอยู่ที่ไหนข้าย่อมต้องตามเขาไปทุกที่ เสด็จแม่ไม่ต้องกังวล ข้าไม่ใช่สตรีอ่อนแอ อย่างไรก็ไม่ลำบากแน่”
เมื่อจิ่นกุ้ยเฟยได้ยินหยุนชางกล่าวเช่นนั้น ความกังวลในใจของนางก็จางลงเล็กน้อยแล้วจึงหัวเราะขึ้น “เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านตาของเจ้ามาที่เมืองหลวง ข้าเล่าเรื่องของเจ้าให้เขาฟังจึงได้รู้ว่าช่วงเวลาที่เจ้าไม่ได้อยู่ในวังเจ้าช่างมีชีวิตที่เต็มไปด้วยสีสัน ท่านตาของเจ้าเคยเป็นมหาราชครูมาก่อน เขาจึงมักมีความหยิ่งทระนงในตนเอง แต่เขากลับยกย่องชมเชยเจ้าอยู่หลายครั้ง ข้าคิดว่าเจ้าต้องยอดเยี่ยมเป็นอย่างมากแน่ แม่เองก็วางใจได้”
หยุนชางได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะ “ตอนที่ยังอยู่ข้างกายของท่านตา ชางเอ๋อร์ซุกซนยิ่งนัก ทำให้ท่านตาลำบากไม่น้อยจึงต้องพูดให้ข้าดูดีเสียหน่อย เพราะเกรงว่าหากชางเอ๋อร์ไม่พอใจแล้วจะไปเล่นงานเขา”
“เจ้านี่…” จิ่นกุ้ยเฟยเอื้อมมือมาจิ้มลงบนหน้าผากของหยุนชางพลางหัวเราะแล้วส่ายหน้า “ท่านตาของเจ้าอยู่ที่เมืองหลวงเพียงไม่กี่วันก็ไปเสียแล้ว บอกเพียงว่าเจ้ามีบางอย่างที่ต้องให้เขาไปทำและยังพาฉินยีไปด้วย เจ้าสั่งให้ท่านตาของเจ้าไปทำอะไรหรือ?”
“หยุนชางได้ยินจิ่นกุ้ยเฟยเอ่ยถึงเรื่องนี้ก็นึกขึ้นได้ “เฮ้อ ลืมไปเลยว่าชางเอ๋อร์ขอให้ท่านตาไปทำธุระสำคัญเรื่องหนึ่ง ตอนนี้ยังบอกเสด็จแม่ไม่ได้ แต่อีกสักพักเสด็จแม่ก็จะได้รู้เพคะ”