ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - บทที่ 338 แต่งตั้งจิ่งเหวินซีเป็นฮองเฮา
ทุกคนในห้องตกตะลึงไปเมื่อได้ยินเช่นนี้ จักรพรรดิหนิงเหลือบมองหยุนชางที่มีสีหน้าเรียบเฉยแล้วจึงหันไปมองจิ่นกุ้ยเฟยก็เห็นว่านางก็ดูตกใจเช่นกัน เขาเงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงหันกลับมา “ชางเอ๋อร์…”
แต่จิ้งอ๋องพูดแทรกขึ้นมาอย่างกะทันหัน “ข้าไม่ต้องการชายารอง”
หยุนชางเม้มริมฝีปากแล้วจับมือของจิ้งอ๋อง “แม่นางจิ่งหลงรักท่านมานานหลายปี ถ้าจะว่าไปแล้วหม่อมฉันก็ไม่แย่งของรักของคนอื่นมา แม่นางจิ่งก็มีรูปโฉมงดงามอย่างมาก ท่ามกลางหญิงสาวในเมืองหลวงนางก็นับว่าไม่เลวเลย…”
ก่อนที่คำพูดนั้นจะจบลง จิ้งอ๋องก็ขัดขึ้น “แล้วอย่างไร?”
“หือ?” หยุนชางมองจิ้งอ๋องอย่างตกตะลึงราวกับว่านางยังตามไม่ทัน
จิ้งอ๋องยิ้มเย็น “ต่อให้นางดีแค่ไหนแล้วอย่างไร? มีคนมากมายในโลกนี้ที่สวยกว่านาง คนที่รักข้าก็มีอีกมาก หรือข้าควรแต่งงานกับพวกนางทั้งหมดเลยหรือ?” หลังจากหยุดไปสักพัก เขาก็ค่อยๆ กระตุกยิ้มมุมปาก “ข้าเคยสัญญากับเจ้าแล้วว่าในชาตินี้ข้าจะมีเจ้าเพียงคนเดียว แม้ว่าคนอื่นจะดีเพียงใดก็ไม่เกี่ยวกับข้า”
หยุนชางรู้อยู่แล้วว่าเขาจะตอบเช่นนี้ แต่นางก็อดไม่ได้ที่จะยืนนิ่งพร้อมความยินดีจางๆ ที่ผุดขึ้นในใจ
จักรพรรดิหนิงตกใจอีกครั้งแล้วจึงรีบกล่าวว่า “ในเมื่อเจ้าไม่ต้องการแต่งงานกับนาง ข้าก็จะไม่บังคับ แม่นางจิ่งยังรออยู่ที่ตำหนักฉินเจิ้ง เจิ้นจะไปดูก่อน”
หยุนชางพยักหน้าและย่อกายถวายพระพรน้อมส่งจักรพรรดิหนิงออกไป ในใจนางยิ้มเย็น เสด็จพ่อของนางทำร้ายเสด็จแม่เช่นนี้ได้อย่างไร? ไม่น่าแปลกใจเลยที่สิบกว่าปีที่แล้วเสด็จแม่จะเชิญตนเองเข้าสู่ตำหนักเย็น ในชาติที่แล้วนางก็ได้รับความอัปยศอดสูเช่นนี้เช่นกัน นางจึงสามารถเข้าใจความเจ็บปวดในใจของจิ่นกุ้ยเฟยได้
“เสด็จแม่…” หยุนชางเอ่ยพึมพำ
จิ่นกุ้ยเฟยเพียงยิ้มบางๆ “ชางเอ๋อร์ เจ้ากลับมาแม่ก็มีความสุขมากแล้ว ตอนนี้แม่มีเจ้าและเฉินซี สวรรค์ก็กรุณาแม่มากแล้ว เจ้าเพิ่งกลับมา รีบกลับจวนไปพักผ่อนกับจิ้งอ๋องเถอะ”
หยุนชางพยักหน้าเล็กน้อยและช่วยพยุงจิ้งอ๋องออกไป หยุนชางขมวดคิ้วและไม่พูดอะไรเลยตลอดทาง
เมื่อกลับถึงจวนก็รีบสั่งให้เฉี่ยนอินไปสืบเรื่องของจิ่งเหวินซีมาโดยละเอียดแล้วจึงกลับเข้าไปในห้อง จิ้งอ๋องนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเก้าอี้ เขานั่งหลังตรงและไม่เงยหน้าขึ้นมองแม่ได้ยินเสียงหยุนชางที่เดินเข้ามา
หืม? หยุนชางขมวดคิ้ว เมื่อไม่กี่วันมานี้ เนื่องด้วยอาการบาดเจ็บของจิ้งอ๋องหยุนชางจึงได้ดูแลเขามาตลอด ความสัมพันธ์ของทั้งสองดีขึ้นกว่าเดิมมาก แต่วันนี้เกิดอะไรขึ้นอีก?
แม้จะตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แต่นางก็ไม่ได้คิดอะไรมาก พอดีกับที่ข้ารับใช้นำยาที่ต้มเสร็จแล้วส่ง หยุนชางจึงรับและวางชามยาลงบนโต๊ะ “กินยาเถอะ หลังอาหารครึ่งชั่วยามกำลังพอดีเลยเพคะ”
“วางไว้เถอะ” จิ้งอ๋องเอ่ยเสียงเรียบ คิ้วของเขาขมวดเล็กน้อย
หยุนชางรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ น้ำเสียงประหลาดของเขานี่มันอะไรกัน? นางจ้องมองจิ้งอ๋องอยู่ครู่ใหญ่ แต่เขากลับทำเหมือนนางไม่มีตัวตน
หยุนชางเอื้อมมือไปดึงหนังสือในมือจิ้งอ๋อง เมื่อเห็นเขาเงยหน้ามองนางแล้ว นางก็เอาหนังสือไปวางไว้ด้านข้าง “ท่านกำลังเอาแต่ใจอะไรอยู่อีก? หือ?”
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาที่อยู่ด้วยกัน หยุนชางคุ้นเคยกับนิสัยของเขาแล้ว แม้ว่าเขาจะดูโหดเหี้ยมเย็นชาและทำตัวราวกับภูเขาน้ำแข็งร้อยปียามอยู่กับคนนอก แต่เมื่อยามที่อยู่กันเพียงลำพังแล้วเขากลับอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่ง เพียงแต่ท่าทางของเขาตอนนี้ดูราวกับเด็กที่ไม่ได้กินผลไม้เชื่อมน้ำตาลอย่างไรอย่างนั้น
จิ้งอ๋องแค่นเสียงอย่างเย็นชาแล้วดึงหนังสือกลับมา “นี่ควรจะเป็นคำที่ข้าถามเจ้าถึงจะถูก ข้าไปทำอะไรให้เจ้าขุ่นเคืองใจเจ้าจึงได้อยากนำหมาแมวที่ไหนไม่รู้มายัดใส่ในจวนอ๋องของข้า”
หา? หมาแมว? หยุนชางตะลึงงันและนิ่งเงียบอยู่นาน สมองของนางประมวลผลอย่างเชื่องช้า หรือว่าเขาหมายถึงจิ่งเหวินซี? หมาแมวงั้นหรือ เช่นนี้ก็ออกจะไม่ยุติธรรมกับเขาไปเสียหน่อยจริงๆ ตอนนั้นในหัวของนางไม่ได้คิดอะไรมาก แต่คิดวิธีอื่นไม่ออกก็เลยพูดออกไปอย่างขอไปที ที่แท้เขาอารมณ์เสียเรื่องนี้อยู่หรอกหรือ?
หยุนชางเหลือบมองท่าทางของจิ้งอ๋อง เดินไปข้างกายเขาและดึงแขนเสื้อของเขาไว้ เมื่อเห็นจิ้งอ๋องมองนางอย่างดุๆ หยุนชางก็ขมวดคิ้ว “ก่อนที่ท่านอ๋องจะโกรธ ช่วยฟังหม่อมฉันอธิบายก่อนได้หรือไม่?”
จิ้งอ๋องเหลือบมองหยุนชางและทำเสียงขึ้นจมูก “เจ้าอธิบายมาเถอะ ข้าอาจจะฟังหรือไม่ฟังก็ได้”
หยุนชางได้ยินเช่นนั้นก็อดหัวเราะไม่ได้ นิสัยถือดีเช่นนี้ไม่รู้ว่าได้มาได้อย่างไร แต่หากมีลูกน้องมาเห็นเข้า ไม่รู้ว่าจะทำให้ตกใจได้ขนาดไหน
“อืม เรื่องเป็นเช่นนี้ หม่อมฉันไม่ชอบจิ่งเหวินซีเป็นอย่างมาก ตอนที่อยู่ที่เมืองเฟิ่งไหลท่านก็เป็นว่าข้าและนางเข้ากันไม่ได้ราวกับน้ำกับไฟ ต้องโทษที่ข้าไม่ได้จัดการนางให้เด็ดขาดจึงทำให้มีปัญหามาถึงตอนนี้ จิ่งขุยพ่อของนางช่วยเสด็จพ่อทำให้ราชสำนักสงบหลังการก่อกบฏของหลี่จิ้งเหยียนแล้วยังช่วยค้นหาตำแหน่งกำลังลับของตระกูลหลี่ออกมาได้ทีละแห่งๆ ได้ทำความดีความชอบเป็นอย่างมาก ตอนนี้จิ่งขุยได้รับการแต่งตั้งเป็นอัครมหาเสนาบดีและเสด็จพ่อยังคิดจะยกให้นางเป็นฮองเฮา ยิ่งไปกว่านั้นเสด็จพ่อยังขอให้เสด็จแม่จัดการเตรียมพิธีแต่งตั้งฮองเฮาด้วย เกรงว่านี่คงจะเป็นความคิดของจิ่งเหวินซีด้วยเช่นกัน หากจิ่งเหวินซีได้ขึ้นเป็นฮองเฮา ต่อไปเสด็จแม่และเฉินซีก็คงจะต้องลำบากแน่ หม่อมฉันจะไม่ปล่อยให้เป็นเช่นนั้นแน่ วันนี้หม่อมฉันเพียงต้องการลองเชิงเสด็จพ่อเท่านั้น จึงได้จงใจพูดเช่นนั้นต่อหน้าเสด็จพ่อ…”
เมื่อเห็นว่าจิ้งอ๋องไม่ได้พลิกหน้าหนังสืออยู่นาน หยุนชางก็ยกมุมปากขึ้นยิ้มและกล่าวต่อ “ท่าทางของเสด็จพ่อหน้านี้ท่านก็เห็นแล้ว ไม่รู้ว่าจิ่งเหวินซีให้เขากินยาอะไรให้เสด็จพ่อกิน หากไม่ได้กำจัดจิ่งเหวินซีออกไป ชางเอ๋อร์ก็รู้สึกไม่สบายใจ”
จิ้งอ๋องเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เจ้าต้องการให้แม่ของเจ้าเป็นฮองเฮาหรือ?”
“หือ?” หยุนชางชะงักไปชั่วครู่ “ไม่ได้งั้นหรือ?”
จิ้งอ๋องส่ายหัวเล็กน้อย “ไม่ได้ เจ้าอาศัยอยู่ในวังมานานขนาดนั้นยังไม่ชัดเจนอีกหรือ ตำแหน่งฮองเฮาเป็นเป้าหมายในการแก่งแย่ง เหล่าหญิงสาวเหล่านั้นในวังแต่ละคนวางใจไม่ได้เลย หากแม่ของเจ้าขึ้นเป็นฮองเฮา ไม่แน่ว่าจะโดนแผนร้ายอะไรบ้าง นิสัยของนางไม่เหมาะกับการเป็นฮองเฮา”
หยุนชางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ยอมรับว่าสิ่งที่จิ้งอ๋องพูดนั้นไม่ผิดเลย “แต่ข้าก็ไม่อาจให้จิ่งเหวินซีขึ้นเป็นฮองเฮา ฮองเฮาไม่ใช่เสด็จแม่ก็ไม่เป็นไร แต่จะเป็นผู้หญิงที่คิดทำร้ายเสด็จแม่ไม่ได้”
“หากเจ้าไม่ชอบใจนักก็จัดการเสีย เพียงแค่รักษามือให้สะอาดก็เป็นพอแล้ว” จิ้งอ๋องกลับไปอ่านหนังสืออีกครั้ง ในขณะที่หยุนชางกำลังคิดว่าจะจัดการจิ่งเหวินซีอย่างไรให้มือนางไม่สกปรกก็ได้ยินเสียงของจิ้งอ๋องดังขึ้น “เพราะเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ เจ้าเอาข้ามาเป็นโล่หรือ? เจ้าได้คิดดูแล้วหรือไม่ หากเสด็จพ่อของเจ้ายอมรับคำขอของเจ้าจริงๆ เจ้าจะทำอย่างไร?”
หยุนชางตกตะลึง นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมจึงวกกลับมาที่เรื่องนี้อีก?
เมื่อเห็นสีหน้าของจิ้งอ๋องยังไม่ดีขึ้น หยุนชางก็อ้ำอึ้งอยู่นาน เมื่อเห็นว่าสีหน้าของจิ้งอ๋องยิ่งแย่ลงไปอีก หยุนชางก็รีบเอ่ยขึ้น “หากเสด็จพ่อตกปากรับคำ หม่อมฉันก็จะไปถลกหนังนางที่จวนสกุลจิ่งเอง คนที่ทำร้ายท่านต้องปล่อยไปไม่ได้อยู่แล้ว!”
“…” มือของจิ้งอ๋องสั่นเล็กน้อย “คำเช่นนี้ใครๆ ก็พูดได้” แต่มุมปากของเขากลับยกขึ้นเล็กน้อย