ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - บทที่ 340 ค่ำคืนหวานยามเข้าหอ (๒)
หยุนชางหน้าแดง นางก้มหน้าอย่างลังเลเล็กน้อย “ชางเอ๋อร์นั้น ตอนที่เราแต่งงานกัน ในหีบสินสอดที่เสด็จแม่เตรียมให้มีหนังสือเล่มหนึ่งเขียนเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ มามาก็เคยสอนไว้…”
หยุนชางกัดริมฝีปากและช้อนตาขึ้น “เช่นนั้นให้ชางเอ๋อร์เป็นคนปรนนิบัติท่านอ๋องเถอะเพคะ เพียงแต่นี่เป็นครั้งแรก เกรงว่าเราทั้งคู่จะรู้สึกทรมานเล็กน้อย อดทนครู่หนึ่งก็จะดีขึ้นเอง”
จิ้งอ๋องฟังนางพูดเรื่องเช่นนี้ด้วยท่าทางสงบ สีหน้าของเขากลับยิ่งแย่ลง เขาแค่นเสียงเย็น “หีบนั่นอยู่ไหน?”
หยุนชางมองจิ้งอ๋องอย่างแปลกใจและไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงถามเช่นนี้ แต่นางก็ยังชี้ให้เขาดู จิ้งอ๋องดึงผ้าห่มออกพลิกตัวลุกขึ้นจากเตียงและเดินไปเปิดหีบออก หลังจากค้นดูของในหีบอยู่สักพัก เขาก็พบหนังสืออยู่ข้างในจริงๆ
จิ้งอ๋องเปิดม้วนหนังสือออกดู สีหน้าของเขาดูไม่แน่ใจ ตอนนี้หยุนชางเข้าใจแล้วว่าเขาตั้งใจจะทำอะไร หน้าของนางแดงระเรื่อ นางซุกหน้าลงในผ้าห่ม ในใจกลับรู้สึกอบอุ่นอย่างยิ่ง
ไม่นานหลังจากนั้นนางก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้น มีน้ำหนักทิ้งตัวลงบนเตียง จิ้งอ๋องขึ้นมาบนเตียงแล้ว เขาเลิกผ้าห่มขึ้น ก่อนที่หยุนชางจะทันตั้งตัว เขาก็กดหยุนชางไว้ใต้ร่างของเขาแล้ว หยุนชางมองเขาอย่างตะลึงงันแต่กลับเห็นคิ้วของเขาขมวดมุ่นและมีสีหน้าแปลกประหลาด ผ่านไปครู่หนึ่งจึงได้ยินเขาพูดว่า “ข้าดูรูปท่าทางในหนังสือช่างประหลาดนัก เกรงว่าเจ้าจะรู้สึกไม่สบาย ได้ยินมาว่าครั้งแรกของผู้หญิงจะเจ็บปวดมาก ข้าไม่อยากทำให้เจ้าเจ็บ ข้าเพียงปรารถนาให้เจ้าอยู่เคียงข้างข้าไปนานๆ ข้าคิดว่าข้าคงจะตกหลุมรักเจ้าแล้วจริงๆ เจ้าเต็มใจจะฝากชีวิตเจ้าไว้กับข้าหรือไม่? ข้าจะไม่มีวันทำให้เจ้าผิดหวัง…”
หยุนชางนิ่งไปอยู่นาน แต่สุดท้ายนางก็ไม่อาจระงับความแสบร้อนที่ปลายจมูกไว้ได้ ดวงตาของนางพร่ามัว ไม่นานหยดน้ำตาก็ไหลลงมา หยุนชางเห็นชายผู้ไม่เคยหวั่นไหวแม้เผชิญหน้ากองทัพศัตรูในสนามรบแต่กลับทำอะไรไม่ถูกยามเห็นน้ำตาของนางและเอ่ยปากกับนางอย่างกระวนกระวาย “หากเจ้ากลัวเจ็บข้าก็ไม่ต้องการแล้ว อย่าร้องไห้เลย…”
“ตกลง…” หยุนชางได้ยินตนเองกระซิบแผ่วเบาแต่แฝงแววหนักแน่นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
“เจ้าว่าอะไรนะ?” จิ้งอ๋องตะลึง ดวงตาของเขาเปล่งประกายสุกใสและเอ่ยอย่างระมัดระวัง “ชางเอ๋อร์ เจ้าว่าอะไรนะ?”
หยุนชางเอียงคอและยิ้มกว้าง โอกาสที่จะได้เห็นจิ้งอ๋องผู้ยิ่งใหญ่และน่าเกรงขามเต็มไปด้วยความเงอะงะเช่นนี้นับว่าหาได้ยากยิ่ง
“ข้าบอกว่าตกลง ข้าเต็มใจ” แม้ว่าในใจนางจะรู้สึกขบขันเล็กน้อย แต่นางก็ยังคงพูดซ้ำอีกครั้งและรอยยิ้มก็ยิ่งเย้ายวนขึ้น
เมื่อจิ้งอ๋องได้ยินเช่นนั้นมุมปากของเขาก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม เขาโน้มตัวลงประทับริมฝีปากลงบนริมฝีปากของนาง เขาค่อยๆ ทำตามที่เห็นในหนังสือไปอย่างช้าๆ แล้วโน้มตัวไปกระซิบที่ข้างหูของหยุนชางว่า “คงจะเจ็บเล็กน้อย ชางเอ๋อร์ เจ้าอดทนหน่อยนะ”
เขาพูดพลางยืดตัวและดันร่างเข้ามา
ความหฤหรรษ์กำจายไปทั่วห้อง
เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อหยุนชางตื่นขึ้น นางก็รู้สึกรวดร้าวไปทั้งตัว จิ้งอ๋องตื่นแล้ว หยุนชางนอนอยู่บนเตียงโดยไม่ยอมลุกขึ้น นางหลับตาแล้วกลิ้งอยู่บนเตียงครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ดังแว่วมาจากข้างเตียง ร่างกายของหยุนชางแข็งทื่อ เมื่อลืมตาขึ้นนางก็เห็นเฉี่ยนอินยืนอยู่ข้างเตียงพร้อมรอยยิ้มกว้างและสายตาล้อเลียน
หยุนชางอ้าปากหวอและรีบสัมผัสร่างกายของนางอย่างรวดเร็ว ยังดีที่แม้ว่าเมื่อคืนนี้จิ้งอ๋องจะเป็นดังสัตว์ร้าย ถึงจะเป็นประสบการณ์ครั้งแรกของนาง เขาก็ทำซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ยังดูแลจัดการใส่เสื้อผ้าแทนนาง ตัวของนางก็แห้งสบาย เสื้อผ้าก็ใส่เรียบร้อย
เฉี่ยนอิน… คงไม่รู้ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นใช่หรือไม่? หยุนชางหรี่ตาและแอบคาดเดากับตนเอง
แต่นางกลับเห็นเฉี่ยนอินยิ้มกว้างไม่หุบและหยิบไข่ไก่ออกมาจากด้านหลัง “พระชายาลุกขึ้นมากินไข่แดงเถอะเพคะ เช้านี้ท่านอ๋องให้คนต้มไข่เยอะแยะแล้วแจกให้ข้ารับใช้ทุกคน หม่อมฉันได้ยินว่าเมื่อครู่ท่านพ่อบ้านเพิ่งออกจากจวนไป ดูเหมือนเขาจะเอาไข่ต้มไปส่งให้เหล่าคนที่มีสัมพันธ์อันดีกับท่านอ๋อง”
“แค่กๆ…” หยุนชางแทบจะพ่นน้ำออกมา ในแคว้นหนิงมีธรรมเนียมว่าเมื่อชายหญิงแต่งงานกันและหลังเข้าหอแล้วฝ่ายชายพอใจกับฝ่ายหญิงคนนั้นมาก เขาจะต้มไข่เพื่อแจกจ่ายให้คนใช้ในจวน เหล่าญาติและมิตรสหายซึ่งเป็นการอธิษฐานขอพรให้มีลูก จิ้งอ๋องทำเช่นนี้ทุกคนในจวนก็ต้องรู้แล้วน่ะสิว่าเมื่อคืนนี้เกิดอะไรขึ้นระหว่างพวกเขา?
แย่แล้ว หากเสด็จพ่อเสด็จแม่และคนอื่นเช่นจิ่งเหวินซีเหล่านี้รู้เข้าย่อมไม่ดีแน่?
ดูเหมือนนางจะเข้าใจความกังวลของหยุนชาง เฉี่ยนอินยิ้มและดูไข่ในมืออยู่นานพลางกล่าวว่า “แต่พระชายาไม่ต้องกังวลหรอกเพคะ ตอนที่ท่านอ๋องพูดเรื่องไข่ เขาบอกว่าตอนที่เขาเข้าหอกับพระชายาไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง แต่ธรรมเนียมเก่าแก่ไม่อาจละเลยได้ เมื่อตอนนี้กลับมาที่เมืองหลวงแล้วจึงต้องชดเชยเสียหน่อย”
นางรู้สึกได้ถึงสายตาของเฉี่ยนอินที่ทอดลงบนตัวนาง นางจึงเขินอายยิ่งขึ้นไปอีก นางจึงกล่าวเสียงดุ “เฉี่ยนอินเจ้าตัวดี ชอบแกล้งข้านัก ออกไปเลยนะ”
แต่เสียงนั้นกลับฟังดูอ่อนแรงเล็กน้อย เฉี่ยนอินอดไม่ได้ที่จะหัวเราะคิกคัก ผ่านไปครู่ใหญ่ นางจึงยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนนี้พระชายากับท่านอ๋องรักกันดี หม่อมฉันดีใจแทนพระชายามาก พระชายาอะไรๆ ก็ดีไปหมด ทั้งสวย นิสัยดี ความสามารถก็มาก เสียแต่โดดเดี๋ยวไปหน่อยเท่านั้น แต่ตอนนี้ทุกอย่างสมบูรณ์แล้ว เมื่อเช้าพระชายาไม่ได้เห็น ยังไม่ทันรุ่งสาง หม่อมฉันเพิ่งตื่นนอนก็ได้ยินเสียงของท่านอ๋องดังแว่วมา หม่อมฉันคิดว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นจึงรีบวิ่งไปหาและเห็นว่าท่านอ๋องกำลังสั่งให้พ่อบ้านต้มไข่ด้วยหน้าตาเปี่ยมสุข หม่อมฉันไม่เคยเห็นท่านอ๋องเป็นเช่นนั้นมาก่อนเลย”
หยุนชางได้ยินดังก็นึกไปถึงเรื่องเมื่อคืนนี้จึงยอดหัวเราะออกมาไม่ได้ ผู้ชายคนนั้น บางทีก็ไร้เดียงสาจริงๆ
“อะแฮ่ม…” มีเสียงกระแอมเบาๆ ดังแว่วมาจากด้านนอก เป็นเสียงของจิ้งอ๋อง เฉี่ยนอินรีบลุกขึ้นและเหลือบมองหยุนชางยิ้มๆ “หม่อมฉันขอตัวก่อน…”
หยุนชางสาบานได้ว่านางเห็นสายตาของเฉี่ยนอินแฝงไปด้วยการหยอกล้อ
ก่อนที่เฉี่ยนอินจะเดินไปถึงประตู จิ้งอ๋องก็ได้เดินเข้ามาแล้ว เฉี่ยนอินรีบย่อกายทำความเคารพเขา เมื่อหันไปมองก็เห็นเจ้านายตนเองที่อยู่บนเตียงมุดตัวลงไปในผ้าห่มอีกครั้งจึงยิ้มกว้างและหันหลังเดินออกจากห้องไป
จิ้งอ๋องเห็นก้อนขดอยู่บนเตียงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขบขันเล็กน้อย เขาเดินไปที่เตียงแล้วนั่งลง หัวเราะและกระแอมเบาๆ พลางพูดอย่างอ่อนโยน “ชางเอ๋อร์ ยังไม่ตื่นหรือ? เจ้ายังไม่ได้กินข้าวเช้าเลย ตอนนี้ใกล้จะได้เวลาอาหารกลางวันแล้ว เจ้าลุกขึ้นมากินอะไรหน่อยเถอะ”
“หยุนชางขดตัวฟังเสียงนุ่มนวลของจิ้งอ๋องอยู่ในผ้าห่มแล้วจึงถอนหายใจ ช่างเถอะ แทนที่จะนอนขดตัวให้เขาขบขันอยู่เช่นนี้ นางมิสู้ยอมลุกแต่โดยดีจะดีกว่า เมื่อคิดได้เช่นนี้ หยุนชางจึงขานรับ นางเลิกผ้าห่มขึ้นและลุกจากที่นอนอย่างรวดเร็ว แต่เพราะขาของนางไม่มีแรง นางจึงยืนไม่มั่นคงและล้มลงไปด้านข้าง