ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - บทที่ 341 จักรพรรดิหนิงเยี่ยมไข้
ทว่าหยุนชางยังมิทันจะได้ล้มตัวนอนลงบนเตียง กลับถูกจิ้งอ๋องที่นั่งอยู่บนเตียงกระชากตัวเข้ามาในอ้อมกอด พลางกระพริบตาเบา ๆ “ชางเอ๋อร์. เจ้าอยากเข้ามาในใจข้างั้นหรือ ? ”
หยุนชางขบเม้นริมฝีปากด้วยความโกธร ท่านปู่ท่านนี้เกรงว่าจะเป็นบุคคลตีสองหน้าเป็นแน่ เกรงว่าเขาคงจะเรียนมาจากหวังจิ้นฮวนกระมัง
เมื่อจิ้งอ๋องเห็นหยุนชางมิได้พูดอะไรออกมา จิ้งอ๋องจึงสวมกอดหยุนชางเบาๆ พร้อมยิ้มออกมา สายตาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย “เป็นข้าที่ใจร้อนเกินไป มิคิดว่าร่างกายเจ้าจะบอบช้ำได้ขนาดนี้ ”
หยุนชางกัดริมฝีปากด้วยความขมขื่น พลางได้ยินเสียงเคาะประตูเบา ๆ จากข้า
งนอกดังเข้ามา เสียงพ่อบ้านพลันดังขึ้นมาว่า “ท่านอ๋องพะยะค่ะ. จักรพรรดิมีพระราชโองการเรียกให้ท่านเข้าเฝ้าพะยะค่ะ”
หยุนอารมณ์ไม่ดีเป็นอย่างมาก เมื่อได้คำพูดดังกล่าวจึงขึ้นเสียงใส่ว่า “จะไปเข้าเฝ้าได้อย่างไรกัน ตอบกลับไปว่าบาดแผลท่านอ๋องฉีกขาด พลันหมดสติไปแล้ว ”
ความเงียบเกิดขึ้นทั้งภายในและภายนอกของห้อง เมื่อผ่านไปชั่วครู่จิ้งอ๋องจึงเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเลิกลั่กว่า “เจ้าก็บอกกับคนในวังตามที่หวางเฟยพูดเถอะ ”
พ่อบ้านตอบรับด้วยน้ำเสียงทุ้ม ๆ หยุนชางพลางสูดลมหายใจออกมา กลับคิดได้ว่าเมื่อครู่นางใช้อารมณ์มากเกินไปหรือไม่ ใบหน้าที่แดงกร่ำพลันลุกขึ้น จึงเดินไปนั่งยังเก้าอี้ข้าง ๆ พลางเงียบไม่พูดไม่จา
จิ้งอ๋องจึงหัวเราะออกมาเบา ๆ เดินไปข้างหลังพร้อมสวมกอดหยุนชาง “ไม่โกธรแล้วหรือ? ”
หยุนชางพลันถอนหายใจมิได้เอ่ยอันใดออกมา เมื่อจิ้งอ๋องเห็นว่าอาภรณ์ของนางบางไปนิด เกรงว่านางจะเป็นหวัดได้ จึงรีบหยิบเสื้อคลุมมาให้นางสวมใส่ทันที
หยุนชางพลันกัดริมฝีปากพร้อมทั้งกระซิบเบา ๆ ว่า “เมื่อครู่หม่อมฉันให้พ่อบ้านปฏิเสธไป จะมิมีปัญหาอะไรใช่หรือไม่? หากเสด็จพ่อต้องการพูดคุยอะไรบางอย่างกับท่านเล่า ? ”
จิ้งอ๋องยิ้มพลางเดินไปนั่งตรงข้ามหยุนชาง สายตาที่จ้องมองเต็มไปด้วยความอ่อนโยน”ไม่เป็นอันใดหรอก เจ้ามิได้พูดแล้วหรอกหรือ ? เป็นเพราะว่าบาดแผลข้าฉีกขาดจึงหมดสติไป. ทำให้ไม่สามารถเข้าเฝ้าได้ หากจักรพรรดิชั่งใจสักนิด. ก็ไม่ควรจะทำให้ข้าเสียหน้า. ถ้าเจ้ารู้สึกกลัวขึ้นมา ก็จงเตรียมตัวให้พร้อม เกรงว่าอีกชั่วครู่ จักรพรรดิคงจะมาหาเป็นแน่ ? ”
“อื้ม” หยุนชางเงียบไปชั่วครู่ พลันนึกขึ้นมาได้ว่า ตอนนี้สถานะของจิ้งอ๋องมีความพิเศษอยู่ เสด็จพ่อต้องระวังเขาเป็นแน่. เมื่อกลับมาถึงเมืองหลวงเขาก็สลบไปเนื่องจากบาดแผลที่ฉีกขาด เมื่อเสด็จพ่อสงสัยในตัวเขาแล้วก็จะต้องมาหาเขาเพื่อพิสูจน์ว่าจิ้งอ๋องสลบไปจริงหรือไม่
หยุนชางจึงรีบร้อนให้จิ้งอ๋องรีบไปนอนบนเตียง อีกทั้งยังเรียกเฉียนยินให้เข้ามาช่วยนางรวบผมและปักปิ่น พลางให้สังเกตุความเคลื่อนไหวของวังให้ดี จากนั้นจึงลากเก้าอี้มาวางไว้ให้ข้างเตียง พลางหยิบตำราขึ้นมาอ่าน
เพียงผ่านไปแค่ครึ่งชั่วยาม จึงมีเสียงรายงานว่า จักรพรรดิหนิงและจิ่งเหวินซีมาที่วังจิ้งอ๋อง
หยุนชางพลางแหล่ตามองไปยังเฉียนยิน “จิ่งเหวินซี ? ”
เฉียนยินพยักหน้าน้อย ๆ “เพคะ องครักษ์เงาพลันได้ยินมา ก่อนท่ีจักรพรรดิจะปิดผนึกพระราชกฤษฎีกาเสร็จว่า ในวันที่สามเดือนสามจักแต่งตั้งจิ่งเหวินซีขึ้นเป็นฮองเฮา ”
“โอ้ ? ” หยุนชางหรี่ตาลง “มีพระราชกฤษฎีกาลงมาแล้วหรือ ? ”
พดจบ พลันให้เฉียนยินรินชาเข้ามาวางไว้บนโต๊ะ จึงยิ้มอย่างเย็นชาว่า “ดูเหมือนว่าข้าจะต้องคิดหาแผนมารับมือเสียแล้ว เมื่อผนึกพระราชกฤษฎีกาเสร็จ จักต้องส่งไปยังหัวเมืองต่าง ๆ ใช่หรือไม่ ? ”
จิ้งอ๋องพยักหน้าและตอบกลับว่า “คงจะเป็นเช่นนั้น เมื่อพระราชกฤษฎีกาออกมาแล้ว คงจะมีม้าเร็วส่งไปยังหัวเมืองต่างเพื่อประกาศเร็ว ๆ นี้ ”
หยุนชางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จู่ ๆ ก็มีแผนการขึ้นมาในใจ “จิ่งเหวินซีอยากเป็นฮองเฮางั้นหรือ ? ข้าคงมิอาจให้นางได้ในสิ่งที่นางต้องการได้ ” เมื่อพูดจบพลางเรียกองครักษ์มา “สั่งองครักษ์เงาทุกนายให้เฝ้าสังเกตุการณ์ทุกที่ในแคว้นหนิงให้ดี. เมื่อพระราชกฤษฎีกาออกมาแล้ว ให้ลงมือในคืนนั้นได้เลย พวกเจ้า ”
ทันทีที่ออกคำสั่งเสร็จสิ้น องครักษ์พลางกลับไปซ่อนตัวดังเดิม ข้างนอกกลับมีเสียงดังเข้ามาว่า “จักรพรรดิเสด็จ ”
หยุนชางเมื่อได้ยินจึงหันหน้าไปทางประตู พลันเห็นจักพรรดิหนิงเดินเข้ามา พร้อมจิ่งเหวินซีที่สวมอาภรณ์สีแดงทับทิมเดิมตามมาด้านหลัง หยุนชางจึงหรี่ตามอง จิ่งเหวินซีผู้นี้แลเปลี่ยนไปมากจากไม่กี่เดือนก่อน ลักษณะใบหน้าที่ดูโดดเด่นขึ้น
นังปีศาจนี่เปลี่ยนไป หยุนชางพลันครุ่นคิดกับตัวเองในใจ ทว่าใบหน้ากลับมิได้เปลี่ยนสี “เสด็จพ่อมาแล้ว”
จักรพรรดิหนิงพยักหน้ารับ พลางมองไปยังบนเตียงที่จิ้งอ๋องนอนอยู่ สีหน้าพลันเปลี่ยนเล็กน้อย “เจิ้นได้ยินมาว่า บาดแผลจิ้งอ๋องฉีกขาดพลันหมดสติไป เจิ้นเป็นห่วงยิ่งนักจึงมาเยี่ยมไข้”
จิ้งอ๋องได้ยินดังนั้น จึงมองไปยังหยุนชางด้วยแววตาสับสน พลันหันกลับมาพูดว่า “เสด็จพี่รู้ได้เช่นไร ? เป็นเพราะกระหม่อมหยอกล้อกับชางเอ๋อร์ จึงทำให้บาดแผลฉีกขาด กระหม่อมถึงกับเป็นลมเพราะความเจ็บปวดเลยทีเดียว ตอนนี้หม่อมฉันฟื้นขึ้นมาแล้ว คงมิเป็นอันใดมาก ”
เมื่อจักรพรรดิหนิงได้ยินดังนั้น จึงเหลือบไปมองหยุนชางที่ใบหน้าขึ้นสี พลางเดินไปนั่งลงที่ข้างเตียงพร้อมกับหัวเราะออกมา “ชางเอ๋อร์หยอกล้อเจ้าเสีย จนเคยชิน หากแต่บาดแผลเจ้าก็ต้องได้รับการฟื้นฟู อย่างไรก็ต้องดูแลร่างกายตนเองให้ดีเสียก่อน”
หยุนชางพลันเห็นมือของจักรพรรดิหนิงลูบคลำไปยังผ้าห่ม สีหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย แววตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนลง สีหน้าของหยุนชางพลันเย็นลง ดูเหมือนว่า เสด็จพ่อจะสงสัยจิ้งอ๋องจริง ๆ ยังโชดดีที่ที่นอนของตนยังมีความอบอุ่นเหลืออยู่ในผ้าห่ม มิเช่นนั้น เกรงว่าความลับคงจะถูกเปิดเผยออกมาเสียแล้ว
“ต้องไปตามหมอหลวงมาดูแล้ว เจิ้นออกมาจากวังด้วยความรีบร้อน จึงลืมพาหมอหลวงมาดูอาการเจ้าเสียได้ หากข้ากลับถึงวังเมื่อใด จักรีบเรียกให้หมอหลวงมาดูอาการพร้อมนำโอสถมาให้เจ้า ”
จิ้งอ๋องพยักหน้ายิ้มรับ “ขอบพระทัยเสด็จพี่แล้ว”
เมื่อพูดจบ สาวใช้พลันเดินถือถ้วยยาเข้ามา ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นจักรพรรดิหนิงสวมเสื้อคลุมมังกรสีเหลืองแล้ว ทั่วร่างพลันสั่นไปหมด พลางได้ยินเสียงดังออกมา “เพล้ง” ถ้วยยาเมื่อตกสู่พื้นจึงแตกออกมาเป็นเสี่ยง ๆ สติสาวใช้พลันกลับมาอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียง ทั่งร่างพลันสั่นเทาพร้อมคุกเข่าลงบนพื้น ” ขอประทานอภัยจักรพรรดิ ขอประท่านอภัยท่านอ๋อง ขอประทานอภัยพระชายา นู๋ปี๋. นู๋ปี๋เพิ่งได้เห็นพระพักต์องค์จักรพรรดิเป็นครั้งแรกจึงตื่นเต้น นู๋ปี๋จะไปต้มยามาให้ใหม่อีกครั้ง”
สายตาทุกคนมองไปยังถ้วยชาที่แตกออก หยุนชางขมวดคิ้วลงสีหน้าพลันเปลี่ยนไป
จักรพรรดิหนิงหัวเราะออกมา พร้อมพูดว่า “มิเป็นอันใด เจ้าลุกขึ้นมา หากแต่ยาเจ้าจักต้องต้มใหม่ มิรู้ว่าต้มเพียงหนึ่งครั้งเจ้าจะต้องใช้เวลาเท่าไหร่กัน ? ”
ร่างกายของสาวใช้ยังคงสั่นเทา เมื่อได้ยินคำถามจากจักรพรรดิหนิงที่ถามมาแล้วนั้น จึงตอบด้วยน้ำเสียงที่ตะกุกตะกักว่า “ท่าน ท่านอ๋อง ต้องใช้ไฟต้มเพียงครึ่งชั่วยาม ต้องต้ม ต้มเพียงสองครั้ง ใช้เวลาหนึ่ง หนึ่งชั่วยาม ? ”
จิ้งอ๋องพลันถอนหายใจออกมา “ลงไปต้มยาเถิด ข้าเพิ่งจะฟื้นขึ้นมา หากจะดื่มยาช้าหน่อยก็คงมิเป็นไร ”
สายใช้พลันโค้งกายย่อลง และรีบร้อนเดินจากไป หยุนชางจึงบ่นออกมาอย่างไม่พอใจว่า “สาวใช้พวกนี้ทำอันใดมิรู้จักระมัดระวัง แม้แต่ถ้วยชาก็ยังถือไม่อยู่ เฉียนยินเจ้าลงไปคุมหน่อยเถิด ”
เฉียนหยินรับคำสั่ง พร้อมโค้งกายถอยออกไป
หยุนชางจึงมองไปจิ่งเหวินซีที่ยืนอยู่ข้างเตียง อีกทั้งยังจ้องมองไปยังจิ้งอ๋องด้วยสายตาเป็นมัน นางจึงขมวดคิ้วลงว่า “ร่างกายท่านอ๋องมีอะไรผิดไปหรือ เหตุใดพี่สาวจิ่งถึงมองแต่จิ้งอ๋องเล่า ? ”
สายตาของหยุนชางเต็มไปด้วยความเย็นชา ราวกับสิงโตที่กำลังจะเตรียมตัวจู่โจม เพียงนึกถึง วิธีที่จะจัดการนางได้แล้ว ทว่าต้องรอให้ในใจเสด็จพ่อรู้สึกระแวงในตัวจิ่งเหวินซีเสียก่อน ดังนั้นนางจึงเน้นย้ำถึงความรักกาลก่อนของจิ่งเหวินซีที่มีต่อจิ้งอ๋อง