ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - บทที่ 342 เพลิงไหม้ในพระราชวังชีอู๋
จิ้งอ๋องเมื่อได้ยินดังนั้น จึงอดมิได้ที่จะขมวดคิ้ว ดึงมือของหยุนชางออกมา พร้อมยิ้มแล้วพูดว่า “พอแล้ว เจ้าจักตื่นเต้นไปใย พี่สาวจิ่งเป็นคนของจักรพรรดิที่พามา เจ้าเป็นถึงพระชายาของจิ้งอ๋อง ต้องต้อนรับแขกให้ดี มิต้องห่วงหรอก ในสายตาของข้าไม่มีคนอื่นเลย นอกจากเจ้าเพียงคนเดียว ”
หยุนชางจึงถอนสายตาออกมา ทว่าอารมณ์ยังมิค่อยดีเท่าใด
จิ่งเหวินซีพลางเหลือบตามองจักรพรรดิอย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นว่าจักรพรรดิมิได้แสดงสีหน้าอันใดออกมา จึงขบริมฝากพร้อมกับพูดว่า “หม่อมฉันเพียงแต่ได้ยินมาว่าท่านอ๋องได้รับบาดเจ็บ จึงมาเยี่ยมพระองค์พร้อมกับองค์จักรพรรดิ หวางเฟยรู้สึกขุ่นเคืองอันใดต่อหม่อมฉันหรือไม่ หากหม่อมฉันทำอะไรผิดพลาดไป หม่อมฉันขอประทานอภัยด้วยเพคะ”
“ให้อภัย ? ” หยุนชางพลางมองไปยังจิ่งเหวินซีด้วยรอยยิ้ม จึงเงียบไปชั่วครู่ พร้อมพูดออกมาว่า “พี่สาวจิ่งโปรดวางใจ. ท่านอ๋องได้รับบาดเจ็บ เปิ่นหวางเฟยต้องอยู่ในวังเพื่อดูแลอยู่แล้ว ข้าไม่มีเวลามาสนใจเรื่องพวกนี้หรอก เพียงแต่ว่าคราวหน้าหากพี่สาวจิ่งเห็นท่านอ๋องของข้าแล้วละก็ หวังว่าท่านจะควบคุมสายตาของท่านให้ดีเล่า”
จักรพรรดิหนิงพลันขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนที่จิ่งเหวินซีจะพูดขึ้น จึงลุกขึ้นยืน พร้อมบอกว่า “หากเจ้ามิเป็นอันใดแล้ว เจิ้นคงต้องขอตัวกลับวังก่อน”
หยุนชางพลางยิ้มเล็กน้อย จึงรีบร้อนลุกขึ้นมาว่า “ชางเอ๋อร์น้อมส่งเสด็จพ่อ ” จิ้งอ๋องพลันโค้งตัวทำความเคารพบนตั่ง “น้อมส่งจักรพรรดิ”
เมื่อจักรพรรดิพาจิ่งเหวินซีออกไปแล้ว ผ่านไปเพียงชั่วครู่ เสียงฝีเท้าพลันเดินออกไปไกลแล้ว จึงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เสด็จพ่อไม่ไว้ใจท่านจริง ๆ เมื่อครู่หม่อมฉันยังเห็นว่าเขาเอามือลูบไปมาบนผ้าห่มของท่าน คงจะตรวจสอบดูว่าเป็นดั่งที่พวกเราพูดไปหรือไม่ ว่าท่านนอนสลบอยู่บนเตียงเพิ่งฟื้นขึ้นมา อีกทั้ง เมื่อตอนที่หม่อมฉันตั้งใจให้สาวใช้ทำถ้วยยาหก เสด็จพ่อยังซักถามสาวใช้ถึงเวลาต้มยาด้วย เกรงว่าท่านคงสงสัยว่าเราเพิ่งจะเตรียมการหรือเปล่า “
จิ้งอ๋องพลางยิ้มด้วยความขมขื่น จึงเงยหน้าไปจับใบหน้าที่อ่อนโยนของหยุนชาง “ตอนนี้สถานะของข้าเพียงสูงกว่าเดิมเล็กน้อย ทำให้เจ้าต้องลำบากเสียแล้ว ”
หยุนชางพลางยิ้มขึ้นที่มุมปาก มิได้เอ่ยอันใดออกมา ทว่าในใจกลับเต็มใจที่จะทำให้”มิรู้ว่าเสด็จพ่อมาหาท่านต้องการที่จะพูดคุยเรื่องอะไร เกรงว่ามีหม่อมฉันและจิ่งเหวินซีขวางอยู่ จึงมิได้พูดออกมา เสด็จพ่อคงกลัวว่า หากให้หม่อมฉันกับจิ่งเหวินซีออกมา หม่อมฉันและจิ่งเหวินซีคงจะได้มีเรื่องกันเป็นแน่ ” เมื่อหยุนชางพูดจบ แววตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“อ๋อ ” เมื่อจิ้งอ๋องเห็นหยุนชางหัวเราะออกมาดังนั้น ภายในใจรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก “เมื่อครู่ที่หวางเฟยพูดว่า ท่านอ๋องของข้า ทำให้เปิ่นหวางดีใจยิ่งนัก”
หยุนชางจึงส่งสายตาฟาดฟันใส่จิ้งอ๋อง พลางลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปยังข้างนอก เพิ่งจะกลับมาถึงเมืองหลวงได้ไม่นาน นางมีมีเรื่องที่ต้องจัดการอีกมากมาย วันที่จะประกาศพระราชกฤษฎีของจิ่งเหวินซีก็ใกล้เข้ามาแล้ว
ในวันนั้น หลังจากปิดผนึกพระราชกฤษฎีกาของจิ่งเหวินซี พระราชกฤษฎีกาจึงถูกประกาศติดอยู่ที่เสาห้าแห่งในเมืองหลวง ผ่านไปไม่นาน ข่าวเรื่องพี่สาวตระกูลจิ่ง จิ่งเหวินซีถูกแต่งตั้งให้เป็นฮองเฮาจึงเป็นที่พูดถึงอย่างรวดเร็วภายในเมืองหลวง
เมื่อหยุนชางได้ฟังรายงานแล้ว พลางอมยิ้มเพียงเล็กน้อย มิได้ส่งเสียงอะไรออกมา รอยยิ้มพลันปรากฏขึ้นในแววตาของเธอ เกรงว่าจิ่งเหวินซีนางคงจะชื่นอกชื่นใจในตนเองเป็นอย่างมาก มิทันได้คาดคิดเลยว่า เมื่อนางสามารถขึ้นไปอยู่บนที่สูงแล้ว หากวันใดวันหนึ่งตกลงมา คงจะเจ็บมากมิใช่น้อย
เมื่อถึงเวลาอ่านตำราจึงอ่านตำรา. เมื่อถึงเวลารับสำรับอาหารก็ทานอาหาร แท้จริงแล้วนางอยากไปเดินเที่ยวรอบวังดูบ้าง หากแต่เมื่อคืนจิ้งอ๋องรังแกนางเสียทั่วรางไม่มีแรง เกรงว่าจะโดนเสด็จแม่รู้สึกถึงความไม่ปกตินี้ แผนเข้าวังของหยุนชางจึงถูกพับเก็บไป
ทุกอย่างดำเนินไปอย่างปกติ ทว่าหลังจากทานอาหารค่ำเสร็จแล้ว ยังมิทันได้ดับเทียนพักผ่อน จิ้งอ๋องจึงขึ้นมานอนบนเตียงโดยเร็ว สายตาเต็มไปด้วยความแวววับ พลางจ้องมองไปยังหยุนชาง
หยุนชางเมื่อถูกจ้องมองอย่างนั้น ใบหน้าพลันเห่อร้อนขึ้นมา รู้สึกหมดหนทางเล็กน้อย จึงหยิบอาภรณ์ตัวใหญ่มาสวม พร้อมนอนลงบนตั่ง พลางพูดด้วยน้ำเสียงอู้อี้ว่า “ท่านอ๋องอย่ามายุ่งกับหม่อมฉันเลย. คืนนี้หม่อมฉันยังต้องรอจดหมายที่ส่งมา”
จิ้งอ๋องเลิกคิ้วขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความลังเลเล็กน้อย ทว่าเพียงเสียเวลาไปยังมิถึงหนึ่งเค่อ จิ้งอ๋องยังคงจับจ้องไปยังสตรีที่นอนอ่านตำราอยู่บนตั่ง แสงไฟสลัว ๆ ที่สะท้อนถึงใบหน้าที่อ่อนหวานของสตรี กลับทำให้ดูน่าหลงใหลเป็นอย่างยิ่ง ในใจของจิ้งอ๋องพลันเต้นดัง จึงยกผ้าห่มจากเตียงขึ้นมา ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ดูเหมือนหวางเฟยจะชอบตั่งนี้มากกระมัง แม้ตั่งจะเล็กไปนิด ทว่ากลับน่าสนใจเป็นอยากมาก เพียงแต่ ”
คำพูดยังไม่ทันจบ ทว่าเขากลับสะกดกั้นอารมณ์แทบไม่ไหว หยุนชางตกใจเป็นอย่างมาก พลางตะโกนออกมาว่า “ปีศาจ” ยังมิทันจะพูดได้ครบประโยคก็
ภายในห้องอบอุ่นราวกับวสันตฤดู
ทว่าภายในราชวังนั้น คืนนี้คงไม่สงบสุขเท่าใดนัก
“ตู้ม ! ตู้ม! ตู้ม !” ทันทีที่เสียงทั้งสามเสียงถูกตีขึ้น ทหารยามจึงตะโกนเรียกขึ้นมาว่า”อากาศแห้งแล้ง. โปรดระวังฟืนไฟด้วย ” เมื่อพูดจบ ทหารยามอีกคนพลันหาวออกมา เมื่อกวาดสายตาไปมอง พลันเห็นกองเพลิงที่พระราชวัง เขาเหมือนกับถูกปลุกขึ้นมาทันที แขนขาพลันอ่อนยวบยาบพร้อมคุกเข่าลงบนพื้น พลางเคาะฆ้องส่งสัญญาณในมือนับไปถ้วน พร้อมตะโกนเสียงดังว่า “พระราชวังไฟไหม้ พระราชวังไฟไหม้แล้ว”
ผู้คนมากมายในพระราชวังถูกปลุกด้วยเสียงร้องเตือน พร้อมทั้งคนในวังหลวงเช่นกัน
จักรพรรดิหนิงเพิ่งจะแก้ไขฎีกาเสร็จ จึงถูกปลุกขึ้นมาในสภาพงัวเงีย พลางได้ยินน้ำเสียงร้อนรนของผู้คุมในวังหลวงว่า “จักรพรรดิ จักรพรรดิ พระราชวังชีอู๋เกิดเพลิงไหม้พะยะค่ะ !”
จักรพรรดิหนิงได้ยินดังนั้น พลันได้สติขึ้นมา จึงลุกขึ้นนั่งด้วยความเร่งรีบ พลางสั่งให้คนนำอาภรณ์มาเปลี่ยน พร้อมรีบร้อนเรียกหัวหน้าเจิ้งให้เตรียมตัว พร้อมทั้งรีบออกไปยังพระราชวังชีอู๋
จักรพรรดิหนิงเมื่อมาถึงยังพระราชวังชีอู๋แล้วนั้น พลันเห็นว่าพระราชวังชีอู๋นั้นเต็มไปด้วยกองเพลิงเสียแล้ว จักรพรรดิหนิงพลันขมวดคิ้วขึ้นมา พลางหันไปถามหัวหน้าองครักษ์เงาว่า “มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ? ทำไมพระราชวังชีอู๋จึงเกิดเพลิงขึ้นมาได้ ?”
หัวหน้าองครักษ์เงาเงียบไปครู่หนึ่ง จึงคุกเข่าลงต่อหน้าจักรพรรดิหนิงว่า “เป็นกระหม่อมที่ไม่ดูแลให้ดี เชิญจักรพรรดิลงโทษพะยะค่ะ”
“ลงโทษ ?” จักรพรรดิหนิงพลางยิ้มเย็น ๆ ออกมา พลันยกเท้าถีบไปยังหัวหน้าองครักษ์เงาผู้นั้น “หากเจ้าต้องการรับโทษ จงรอจนกว่าเพลิงจะสงบลงเสียก่อน ยังมิไปอีกหรือ ? ”
ทันใดนั้น พลันได้ยินเสียง “ปั้ง” ดังออกมา หลังคาของห้องโถงใหญ่ของพระราชวังชีอู๋ก็พังทลายลงมา เสก็ดไฟพลันกระเด็นออกมาทั่วทุกที่ หัวหน้าเจิ้งรีบร้อนจูงมือจักรพรรดิหนิงให้ล้าถอยออกมา “จักรพรรดิ ที่นี่อันตรายมากพะยะค่ะ ท่านควรกลับไปยังตำหนักฉินเจิ้นเสียก่อน กระหม่อมจะรั้งรออยู่ที่นี่ รอจนกว่าเพลิงจะสงบลงท่านค่อยเสด็จมาอีกที จะเป็นการดีกว่านะพะยะค่ะ”
สีหน้าของจักรพรรดิหนิงพลันเปลี่ยนไปอยู่นาน จึงพยักหน้ารับคำ พลางหันกลับมาถามว่า “จิ่นกุ้ยเฟยอยู่ที่ใด ? ”
หัวหน้าเจิ้งมิเข้าใจว่าทำไมจักรพรรดิหนิงถึงถามคำถามนี้ขึ้นมา ทว่าก็รีบร้อนให้ขันทีไปยังวังจิ่นซิ่ว
จักรพรรดิหนิงจ้องมองไปยังพระราชวังชีอู๋อยู่นาน ก่อนที่จะก้าวเดินอีกครั้งเพื่อกลับไปยังตำหนักฉินเจิ้ง เมื่อกลับมายังตำหนักฉินเจิ้งได้ไม่นาน ก่อนหน้านั้นจึงสั่งให้คนไปตามจิ่นเฟยให้มาหา “รายงานจักรพรรดิ คืนนี้ท่านชายน้อยต้องเย็นเข้า จิ่นกุ้ยเฟยจึงเรียกหมอหลวงให้มาดูอาการเจ้าชาย ทว่าท่านชายน้อยร้องให้มิหยุด จนถึงตอนนี้ก็ยังมิสงบลง อีกทั้งนอกจากจิ่นกุ้ยเฟยแล้วก็มิให้ผู้อื่นเข้าใกล้อีกด้วย จิ่นกุ้ยเฟยจึงไม่สามารถมาเข้าเฝ้าได้พะยะค่ะ”