ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - บทที่ 349 พบเจอสหายเก่า
จิ้งอ๋องยิ้มพลางเหลือบมองนาง แล้วจึงหันไปหาเฉียนยินแล้วพูดว่า “เพียงแค่เฝ้าดูนางก็พอ แล้วจึงเรียกให้องครักษ์เงามาฆ่านางแทน เช่นนั้นจักสามารถลดจำนวนคนไปเฝ้าได้ จิ่งขุยผู้นี้แม้จะรู้เท่าทันสถานการณ์ แต่เขาจะไม่ก่อกบฏเพื่อบุตรสาวของตนเองอย่างแน่นอน เพียงแค่ป้องกันไม่ให้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปก็พอ อีกทั้งจิ่งเหวินซีก็ไม่สามารถสร้างปัญหาอะไรได้มากนัก”
เฉียนยินได้ยินดังนั้น ร่างกายสั่นเทา จึงรีบร้อนกล่าวว่า”นู๋ปี๋จะรีบไป จะไปเดี๋ยวนี้ เจ้าค่ะ”
เมื่อกำลังพูดอยู่นั้นก็พลางเดินถอยหลังไปยังประตูด้วย ปากพลางบ่นงุบงิบว่า “สามีภรรยาคู่นี้ช่างแปลกเสียจริง สมแล้วที่พวกเขาคือจิ้งอ๋องและพระชายาจิ้งอ๋อง หากไม่รู้มาก่อนหน้านั้น จะต้องเข้าใจว่าพวกเขาเป็นคู่สามีภรรยาจอมมารอย่างแน่นอน”
แม้ว่าเสียงจะไม่ดังมากนัก หากแต่ทุกคำพูดนั้นคู่สามีภรรยาจอมมารในห้องนั้นได้ยินทั้งหมดเลยทีเดียว หยุนชางร้องไม่ออก พลางกระแอมออกมา เพื่อเตือนให้สาวใช้ไให้ด้ยิน เมื่อสาวใช้ข้างนอกได้ยินแล้ว พลางอุทานออกมาว่า “ตายแล้ว ข้าถูกจับได้เสียแล้ว” จึงรีบร้อนเดินจากไป
พลางเห็นพ่อบ้านเดินเข้ามารายงานว่า “หวางเฟย บุตรสาวตระกูลหวังขอเข้าพบพะยะค่ะ”
บุตรสาวตระกูลหวัง? หยุนชางพลันตกตะลึงไปสักพัก พลันนึกขึ้นมาได้ว่าหวังจินเหยียนหรือ ? หยุนชางรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก หวังจินเหยียนนับเป็นสหายในชาตินี้ที่หาได้ยากคนหนึ่ง จึงรีบร้อนตอบกลับว่า “รีบเรียกให้เข้ามาเร็ว”
ขณะที่พูดอยู่นั้น พลันได้ยินเสียงของหวังจินเหยียนดังเข้ามาว่า “หวางเฟย ข้ามาพบท่านแล้ว” เสียงพลันมาถึงก่อนเจ้าตัวเสียอีก พลันตกใจที่เห็นจิ้งอ๋องยืนอยู่ข้างประตู จึงรีบร้อนกล่าวทักทายว่า “ท่านอ๋อง ” การแสดงออกเต็มไปด้วยความเคารบนอบน้อม
หยุนชางได้เห็นดังนั้น รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก ในเมืองหลวงแห่งนี้ หวังจินเหยียนมิเคยทำความเคารพผู้ใดเฉกเช่นนี้มาก่อน แม้แต่จะเป็นเสด็จพ่อก็ตาม ก็ยังไม่เคยเห็นนางทำความเคารพด้วยความนอบน้อมเช่นนี้ จิ้งอ๋องเมื่อเห็นหวังจินเหยียนเดินเข้ามานั้น พลางพยักหน้ารับเล็กน้อย “ข้าจะกลับไปที่ห้องก่อน”
หยุนชางพลันตอบรับ พลางบอกให้พ่อบ้านเดินออกไปส่งจิ้นอ๋อง พร้อมหันมายิ้มให้กับหวังจินเหยียน “เจ้ากลับมาถึงเมืองหลวงตั้งนานแล้ว เหตุใดเพื่องจะมาพบข้ากัน ?”
หวังจินเหยียนพลางยิ้มแห้ง ๆ แล้วเดินไปนั่งลงข้างหยุนชาง “แต่เดิมมิใช่ว่าข้าไปขอร้องจักรพรรดิอาสาออกไปรบหรือ ? อีกทั้งยังโชคดีได้เป็นผู้ช่วยของจิ้งอ๋องอีก จึงได้แต่ติดตามจิ้งอ๋องไปทั่วทุกที่ ทั้งตามไปเก็บเสนาบดีหลี่และท่านอ๋องแคว้นเซี่ย ตลอดทางนำทัพไปด้วยความเร่งรีบ. ข้าเหนื่อยมากราวกับกระดูกข้าจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ เมื่อกลับมายังเมืองหลวงก็มิได้ไปไหนเลย จึงได้แต่รักษาตนเองอยู่เกือบเดือน”
“เจ้าบาดเจ็บหรือ ? ที่ใดกัน ? ” ขณะที่พูดก็กวาดสายตามองไปมา เมื่อเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาของนางแล้ว ไม่เหมือนผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเลยสักนิดเดียว
หวังจินเหยียนริมฝีปากพลันกระตุกเล็กน้อย “ท่านอ๋องของเจ้านั้น ข้ามิรู้ว่าเขาทำได้อย่างไรกัน พระเจ้า ความเร็วในการเดินทัพนั้นทำให้ข้าทึ่งจริง ๆ ไม่พักเลยแม้แต่วินาทีเดียว ในกองทัพมีข้าคนเดียวที่เป็นสตรี พวกเขายังดูแลข้าเป็นอย่างดี อีกทั้งยังให้ม้าข้ามาตัวนึง. หากแต่เมื่อข้ากลับมายังเมืองหลวงแล้ว ราวกับขาของข้ามิได้เป็นของข้าอีกต่อไป ทั่วข้าเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ ”
พูดไปพลางส่ายหัว “ข้าเชื่อในตัวท่านอ๋องของเจ้าจริง ๆ เมื่อสู้รบก็อยู่แต่แนวหน้าตลอด เหล่าทหารกำลังพักผ่อนอยู่นั้น เขากลับเรียกนายพลทั้งหลายเข้าประชุม ราวกับมนุษย์เหล็กมิปาน ที่เขาได้ชื่อว่าเป็นเทพเจ้าแห่งสงครามนั้น เป็นเรื่องจริงมิได้ปรุงแต่งเลยแม้แต่น้อย ”
หยุนชางพลางยิ้มเล็กน้อยออกมา ภายในใจรู้สึกภูมิใจในตัวเขาเป็นอย่างมาก แม้ว่าผู้ที่หวังจินเหยียนจะชมอยู่คือจิ้งอ๋อง หากแต่ภายในใจของนางกลับรู้สึกได้รับเกียรติ “เกรงว่าเรื่องที่เขาทำตอนอยู่ในสนามรบนั้นสาเหตุจะเกิดจากข้า ข้ามิได้รับการยินยอมจากเขาให้ไปออกรบเมืองคังหยาง”
หวังจินเหยียนได้ยินดังนั้น พลางมองหยุนชางด้วยแววตาเคือง ๆ ชั่วครู่ จึงเปลี่ยนมาเป็นน้ำเสียงที่ตื่นเต้นว่า “ข้าได้ยินเรื่องหวางเฟยที่ชายแดนมาว่ากล้าหาญยิ่งนัก สามารถทำให้กองทัพที่หน้าภูมิใจของแคว้นเซี่ยกับกุนซือหลิ่วได้รับความพ่ายแพ้บ้าง ข้ามิเคยรู้เลยว่าเจ้ามีความสามารถขนาดนั้น เจ้าปกปิดข้าเสียมิดชิดเชียว. ตอนนี้มันถูกเปิดเผยหมดแล้ว เช่นนั้นมาลองประลองฝีมือกับข้าเป็นเช่นไร ?”
“พรวด ” หยุนชางอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา พลางยื่นมือไปแตะที่หัวคิ้วของหวังจินเหยียน “มิแปลกใจเลยที่เจ้าเล่าว่า ขอเข้าร่วมกองทัพของพ่อเจ้าแล้ว พวกเขาจะไม่อนุญาต. บุตรสาวที่วันวันคิดแต่เรื่องรบราฆ่าฟันนั้น อนาคตจะแต่งออกไปได้อย่างไร ”
หวังจินเหยียนพลันหัวเราะออกมา “ไม่สำคัญหรอก ว่าจะได้แต่งหรือไม่แต่ง ชีวิตคนเราช่างแสนสั้น ได้ทำในสิ่งที่ตนเองชอบเป็นเรื่องที่ดีกว่า”
หวังจิ้นเหยียนพยายามอย่างมากที่จะกระตุ้นหยุนชางให้มาประลองกับตน หยุนชางไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ พลางกลับไปที่ห้องเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์เป็นชุดที่บางเบา พลางพาหวังจินเหยียนไปยังสนามประลอง แม้จะเป็นเพียงครั้งแรกที่หยุนชางมาลานประลองเช่นนี้ เป็นสนามที่เปิดโล่ง สองข้างล้วนแต่เต็มไปด้วยอาวุธของกองทัพ หยุนชางจึงเลือกอาวุธที่นางถนัดมือมากที่สุดคือกริช หากแต่หวังจินเหยียนเลือกแส้
ทั้งสองเป็นคนที่คุ้นเคยกันอย่างดี จึงมิได้ทำการอ้อมค้อมแต่อย่างใด จึงเริ่มลงมือด้วยความรวดเร็ว หวังจินเหยียนใช้แส้ได้อย่างยอดเยี่ยม เนื่องจากแส้มีความสะดวกสบายมากกว่าและง่ายต่อการโจมตีระยะไกล หากแต่หยุนชางเก่งในด้านเชิงรุก เพื่อที่จะต่อสู้ระยะประชิดตัวได้นางต้องพยายามใช้กระบวนท่าต่าง ๆ เมื่อประลองกันไปได้ครึ่งชั่วยาม จึงเป็นหยุนชางที่ได้รับชัยชนะ
สายตาของหวังจินเหยียนเต้มไปด้วยความแวววาวระยิบระยับ “ท่านพ่อข้าบอกว่าการใช้แส้ของข้าถือว่าเป็นเลิศ หากแต่ยังพ่ายแพ้ให้กับจ้า ชางเอ่อร์เจ้าเก่งจริง ๆ ”
หยุนชางชอบความตรงไปตรงมาของหวังจินเหยียนเป็นอย่างมาก พลางยิ้มรับว่า “แม้ว่าข้าจะไม่ชอบใช้เวลาไปกับการฝึกการต่อสู้มากนัก เป็นเวลาปีนึงแล้วที่ไม่ได้ฝึกซ้อมเลย หากแต่คนที่ข้าทำสงครามด้วยนั้นล้วนแต่เป็นคนที่โหดเหี้ยม สิ่งที่พวกเขาสอนข้ามิได้ดูดีเลย ไม่หรูหราเสียด้วย หากแต่สามารถใช้การได้จริง”
หวังจินเหยียนพลางพยักหน้ารับ “อื้ม ข้าชอบใช้แส้เพราะว่าเมื่อสะบัดแส้ขึ้นนั้นดูสวยงามเป็นอย่างมาก ทั้งมีความแข็งทั้งอ่อน แต่ดูเหมือนว่าตรงนี้จะเป็นจุดอ่อนของข้า ” เมื่อหวังจินเหยียนพูดจบ พลันนึกขึ้นมาได้เรื่องหนึ่ง จึงเข้ามากระซิบกระซาบกับหยุนชางว่า “ข้าได้ยินเรื่องของจิ่งเหวินซีที่มีปัญหากับเจ้าแล้ว ข้าจะบอกความลับให้เอาหรือไม่ ”
หยุนชางเมื่อได้ฟังเสียงกระซิบของหวังจินเหยียนแล้ว ดวงตาวาววับ หวังจินเหยียนพลันยิ้มแล้วเดินออกห่างจาหยุนชางสองก้าว หยุนชางรีบร้อนถามว่า “นี้เรื่องจริงงั้นหรือ ? ”
หวังจินเหยียนปรากฏรอยยิ้มในดวงตาขึ้นมา พลางหยักหน้ารับคำ “แม้ว่าจะไม่ใช่ข้าที่เห็นด้วยตัวเอง แต่ว่าสาวใช้ในจวนตระกูลจิ่งนั้นเคยเห็นพวกเขาสองคน หากแต่กลับถูกทำให้เป็นใบ้เสียแล้ว จิ่งเหวินซีแต่เดิมต้องการทำให้นางตาย หากแต่สาวใช้ผู้นั้นฉลาดเป็นกรด จึงลอบหนีออกมาได้ ข้าที่มาเจอนางรู้สึกสงสารยิ่งนักจึงพานางกลับมาด้วย เลยรับรู้เรื่องนี้เข้าโดยบังเอิญ แต่เดิมข้าก็มิใช่คนที่จะมาพูดเรื่องอะไรลับหลังคนอื่น หากแต่เมื่อได้ยินผู้คนพูดถึงข่าวลือขึ้นมาว่าจิ่งเหวินซีลอบทำร้ายท่านชายน้อย และยังโลภอยากได้ท่านอ๋องของเจ้าอีก ข้าจึงคิดว่า จะดีกว่าถ้าเล่าให้เจ้าฟัง เจ้าจะไปทำเช่นไรแก้แค้นอย่างไรนั้นเป็นเรื่องของเจ้าแล้ว”
หยุนชางยิ้มพร้อมพยักหน้าลงว่า “ขอบคุณเหยียนเอ่อร์ที่นำข่าวดีมาให้ฉัน หากเจ้ามีเวลาเมื่อใด ข้าจะส่งบัตรเชิญไปให้ท่าน พร้อมทั้งพาท่านไปหาของอร่อยที่หอยวี่หมั่นกินกัน”
หวังจินเหยียนยิ้มจนคิ้วโค้งตามไปด้วย “ถ้าเช่นนั้นข้าจะรอ ” พูดจบ จึงกล่าวอำลาพร้อมออกไปจากจวนจิ้งอ๋อง
เมื่อหยุนชางนึกถึงสิ่งที่หวังจินเหยียนพูดนั้น พลางเรียกเฉียนยินเข้ามา พร้อมถามว่า “ครั้งก่อนที่เรียกให้เจ้านำคนไปลอบฆ่าจิ่งเหวินซี ยังมิได้ลงมือใช่หรือไม่ ?”
เฉียนยินเหม่อไปสักพัก พลางถอนหายใจออกมาว่า “หวางเฟยเหนียงเหนียง พระจันทร์ขึ้นตอนกลางคืนวันที่มีแรงลมคือคืนสังหาร. กลางวันสว่างไสวเช่นนี้ นู๋ปี๋จะกล้าลงมือได้อย่างไร ? ”
“เช่นนั้นก็ดี” หยุนชางพลันกระตุกยิ้มมุมปาก พลางเคาะมือเบา ๆ ลงบนโต๊ะ “ไว้ชีวิตจิ่งเหวินซีก่อน”