ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - บทที่ 353 ความรู้สึกที่ถูกเก็บงำ
แม้ว่าหยุนชางจะแปลกใจเล็กน้อย แต่นางก็ทราบดีว่า หากตอนนี้ตนแสดงสีหน้าที่ไม่ควรแสดงออกมา คนที่อยู่ตรงหน้าตนต้องสงสัยอย่างแน่นอน หยุนชางรู้สึกโชคดีในใจที่ตนมิได้พาเฉี่ยนอินมาด้วย หากว่าเฉี่ยนอินก็อยู่เช่นกัน เช่นนนั้นก็หลีกเลี่ยงไม่ได้แล้วล่ะ
“หือ? ชางเอ๋อร์ คุณ… คุนชายท่านนี้กำลังเรียกเจ้าหรือ?” จิ้งอ๋องหันไปหาหยุนชาง แววตาของเขามีความสงสัยเล็กน้อย
หยุนชางเองก็เงยหน้าขึ้นด้วยความงุนงงและมองไปที่ชายในชุดสีกรมนั้น จากนั้นจึงกล่าวพร้อมขมวดคิ้ว “อย่าบอกนะว่าท่านพี่ลืมชื่อของข้าไป?”
เหมือนว่าเขาจะตกตะลึงกับคำว่า “สามี” ของหยุนชาง สักพักเขาจึงยิ้มขึ้นมา “ไม่ใช่เพราะว่าข้านั้นลืมชื่อของท่านฮูเหรินไป แต่สายตาของคุณชายท่านนี้ลึกซึ้งเกินไป ยากที่ข้าจะไม่คิดมาก แสดงว่าคุณชายท่านนี้คงจำผิดคนกระมั้ง”
เมื่อได้ยินบทสนทนาระหว่างชายหญิงที่มีรูปลักษณ์สง่าโดดเด่นเช่นนี้ ชายชุดกรมก็ตกตะลึง ความรู้สึกขมขื่นก็บังเกิดในใจขึ้นมา ก็จริง แม้ว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้านั้นจะมีรูปลักษณ์คล้ายคลึงกับคนนั้น แต่นางเป็นผู้หญิง อีกทั้ง บุคลิกของนางไม่เหมือนคนนั้นเลยแม้แต่น้อย คนหนึ่งดูอ่อนโยนและน่าหลงใหล อีกคนหนึ่งสง่าผ่าเผยดั่งไม้ไผ่ที่งดงาม
เขายิ้มอย่างขมขื่น ชายชุดกรมรู้สึกผิดหวังขึ้นมาอย่างสุดซึ้ง ตั้งแต่ครั้งนั้นที่เขาจากไปพร้อมกับกองทหารของตน และเมื่อกลับมา ค่ายกลนอกลานนั้นถูกแก้จนหมด ลุงหลิ่วเสียชีวิต และชายที่มักสวมชุดขาวสีพระจันทร์ก็หายตัวไป เขาสั่งให้คนไปสืบอยู่แถวเรือนของคนนั้นเป็นเวลานาน แต่ก็ไม่เคยพบว่ามีใครกลับมาที่นั่น บางที คนคนนั้นอาจจะไม่อยู่แล้วก็เป็นได้
“ขออภัยขอรับ ข้าจำผิดคนขอรับ” ชายในชุดสีกรมละสายตากลับมาแล้วก้มหน้าลงพร้อมกล่าวด้วยเสียงเฉยเมย
หยุนชางพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็เดินขึ้นชั้นบนพร้อมกับจิ้งอ๋องไป
มีเสียงของหญิงสาวดังมาจากชั้นล่าง “หยินเฟิง…ไปกันเถอะ ทำไมเจ้าช้าเช่นนี้” ชายในชุดสีกรมก็เร่งฝีเท้า แต่ก็หยุดลงหลังจากเดินผ่านหยุนชางไป เขาหันกลับไปมองหญิงสาวที่งดงามนี้ด้วยแววตาที่สงสัยเล็กน้อย เหตุใด… กลิ่นบนตัวนางจึงเหมือนกับกลิ่นของเซียวหยุน……….
“หยินเฟิง… หยินเฟิง…” เสียงเรียกจากด้านล่างเริ่มเร่งรีบมากขึ้น และชายในชุดสีกรมก็รับหันกลับไปพร้อมลงไปข้างล่าง
หลังจากที่จิ้งอ๋องและหยุนชางเข้าไปในห้องด้วยกันแล้ว จิ้งอ๋องก็ยิ้มและเอ่ยปาก”หยินเฟิง? หลิ่วหยินเฟิงหรือ?”
หยุนชางพยักหน้า นางเดินไปนั่งตรงที่นั่งข้างหน้าต่าง แล้วหันหน้ามองออกไปทางหน้าต่าง แล้วพบว่ามีเกวียนม้าจอดอยู่ที่ทางเข้าของหอยวี่หมั่น มีหญิงสาวที่มีเสน่ห์น่าหลงใหลยืนอยู่ข้างเกวียนม้า เขาดูเหมือนจะ โกรธความชักช้าของหลิ่วหยินเฟิงเมื่อสักครู่นี้ หลิ่วหยินเฟิงหันหลังให้กับหยุนชาง หยุนชางจึงมองไม่เห็นสีหน้าของเขา
ราวกับว่าเขารับรู้ถึงการจ้องมองของหยุนชาง ทันใดนั้นหลิ่วหยินเฟิงก็หันกลับมาอย่างกะทันหัน เขาจึงได้สบตากับหยุนชางอย่างกะทันหัน หยุนชางยิ้มอย่างไม่เร่งรีบ แล้วจ้องมองไปที่หญิงสาว คนนั้น จากนั้นก็ละสายตาออกไป
“ดูเหมือนว่า หลิ่วหยินเฟิงนั้นยังไม่ลืมฮูเหรินนะ ข้าได้ข่าวว่าหลิ่วหยินเฟิงโปรดผู้ชาย ตอนอยู่ในค่ายฮูเหรินก็แต่งกายเป็นชายมาโดยตลอด ไม่คาดคิดว่าจะทำให้หลิ่วหยินเฟิงนั้นหลงใหลเพียงนี้ ฮูเหรินช่างมีเสน่ห์เสียจริง…” จิ้งอ๋องสังเกตหยุนชางอยู่ตลอดเวลา เมื่อเห็นนางนั่งลง ก็ทราบแล้วว่านางกำลังมองไปที่หลิ่วหยินเฟิง แม้ว่าเขาจะทราบว่าหยุนชางไม่มีทางมีใจให้หลิ่วหยินเฟิงอย่างแน่นอน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหึงนาง
หยุนชางหันไปมองจิ้งอ๋อง แล้วจึงถอนหายใจเบา ๆ “ข้าเทียบกับท่านพี่มิได้หรอก เมื่อตอนที่ข้าแต่งกายเป็นหญิงนั้น ไม่เคยมีใครแสดงความโปรดปรานต่อข้าเลย แต่เมื่อแต่งกายเป็นชายนั้นกลับเป็นที่สนใจมากกว่า เพียงแต่การดึงดูดความสนใจของชายที่มีความโปรดปรานผู้ชายด้วยกันมานั้น ก็ถือว่าข้าล้มเหลวเป็นอย่างมากแล้ว แต่ท่านพี่นั้นเนื้อหอมมาโดยตลอด ข้ากลับมาที่เมืองหลวงไม่ถึงหนึ่งปี ตั้งแต่เวินหยูอวี้จนถึงจิ่งเหวินซี แต่ละคนนั้นรักใคร่ท่านพี่เป็นอย่างมาก อีกทั้งนี่เป็นเพียงบางส่วนที่ข้าทราบเท่านั้น ส่วนคนที่ข้าไม่ทราบนั้นไม่รู้มีอีกเท่าไหร่…………”
เมื่อจิ้งอ๋องได้ยินเช่นนี้เขาก็หัวเราะลั่นออกมา จนทำให้หยุนชางหงุดหงิดเล็กน้อย แล้วจึงหยุดหัวเราะ แต่แววตาของเขายังคงมีร่องรอยของรอยยิ้มหลงเหลืออยู่อย่างเห็นได้ชัด “ยากนักที่ฮูเหรินจะหึงท่านพี่คนนี้ ท่านพี่คนนี้มีความสุขอย่างมาก แต่ทว่าฮูเหรินขอรับ แม้ว่าหญิงสาวที่โปรดปรานข้าจะมีอยู่มาก แต่ฮูเหรินมิต้องเป็นกังวล ยังไงซะ ถึงมีหญิงสาวที่รักใคร่ข้ามากมาย แต่ข้าก็อภิเษกสมรสกับเจ้าแล้วมิใช่หรือ? หญิงสาวเหล่านั้นมิอาจเทียบกับเจ้าได้หรอก ฉะนั้นฮูเหรินจึงควรที่จะดีใจเสียมากกว่า”
หยุนชางมีความสุขมากเมื่อได้ยินเขาเรียกตนว่าฮูเหริน แทนตัวเองว่าท่านพี่ นางจึงทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย “เช่นนั้นท่านพี่ก็คงเสียเปรียบที่ได้อภิเษกกับผู้หญิงที่ไม่มีใครโปรดปรานเช่นข้า จึงไม่มีใครให้เจ้าได้เปรียบเทียบ”
จิ้งอ๋องอดหัวเราะไม่ได้อีกครั้ง แต่แววตาของเขาดูอ่อนโยนอย่างมาก เจ้าเด็กบื้อนี่ นางก็ไม่ทราบหรอกว่านางน่าหลงใหลเช่นไร เมื่อก่อนนั้นเป็นเพราะนางจงใจที่จะซ่อนตัวเองไว้ แกล้งทำเป็นอ่อนแอขี้โรค อีกทั้งยังแกล้งไม่มีความสามารถใดๆอีก และแม้แต่ใบหน้าอันงดงามของนางก็ถูกนางปกปิดเอาไว้ และแน่นอนจึงไม่มีใครทราบว่านางเป็นเช่นไร หากมิใช่เพราะว่าตนตกกับดักของนางในครั้งนั้น ตนก็คงไม่มีวันสนใจนางอย่างแน่นอน
บัดนี้ความสามารถและความงดงามของนางได้ปรากฏต่อหน้าทุกคนทีละเล็กทีละน้อย อีกไม่นาน นางก็ไม่สามารถปกปิดความงดงามของนางได้อีกต่อไป เมื่อถึงเวลานั้นผู้ชายที่ตกหลุมรักนางก็จะมีมากจนล้น เมื่อครุ่นคิดแล้ว เขาเองนั่นแหละที่ได้เปรียบ
แต่ตอนนี้ เขาจะไม่บอกสิ่งเหล่านี้กับผู้หญิงที่แอบหงุดหงิดตัวเองอยู่ตรงหน้าตนอย่างแน่นอน
หยุนชางเองก็ไม่ได้ครุ่นคิดอยู่กับเรื่องนี้นานจนเกินไป จากนั้นนางก็เริ่มครุ่นคิดเรื่องอื่นๆ จักรพรรดิแคว้นเซี่ยคงจะเพิ่งผ่านชายแดนหนิงเซี่ยมา และจะใช้เวลาพอสมควรกว่าจะมาถึงเมืองหลวงนี้ แต่ทว่าเหตุใดหลิ่วหยินเฟิงจึงปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้? แล้วเขามาพร้อมใคร? ตามหลักการแล้ว เรื่องการแต่งตั้งฮองเฮานั้นมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขามากนัก แล้วเขามาที่นี่เพื่อการอันใดกันหรือ?
หยุนชางครุ่นคิด จึงได้ถามคำถามทั้งหมดที่อยู่ในหัวของตนออกมา จิ้งอ๋องครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงตอบอย่างเฉยเมยว่า “ก่อนหน้านี้หลิ่วหยินเฟิงอยู่ที่ชายแดนอยู่แล้ว ฉะนั้นระยะทางที่เขาเดินทางมาเมืองหลวงจึงสั้นอยู่แล้ว เขาปรากฏตัวที่เมืองหลวงในเวลานี้จึงไม่แปลกกระไร ส่วนหลิ่วหยินเฟิงนั้นมาเพื่อการใดนั้น………..” จิ้งอ๋องหยุดแล้วจึงยิ้มช้าๆพร้อมกล่าว ” หลิ่วหยินเฟิงถือเป็นอาจารย์ขององค์รัชทายาทแห่งแคว้นเซี่ย องค์รัชทายาทแห่งแคว้นเซี่ยนั้นชอบเดินทัพสู้รบอยู่แล้ว ฉะนั้นจึงอยู่ข้างๆหลิ่วหยินเฟิงมาตั้งแต่ยังเด็ก การมาครั้งนี้ของหลิ่วหยินเฟิงคงจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับองค์รัชทายาทแห่งแคว้นเซี่ย อีกทั้ง… ผู้หญิงที่เรียกหลิ่วหยินเฟิงอยู่ด้านล่างนั้น เป็นน้องสาวแท้ๆขององค์รัชทายาทแห่งแคว้นเซี่ย ซึ่งก็คือองค์หญิงจิ่งโยวแห่งแคว้นเซี่ย เป็นไปได้เช่นกันว่าองค์หญิงนั้นดื้อรั้นและขี้เล่น จึงได้เดินทางมาที่เมืองหลวง องค์รัชทายาทแห่งแคว้นเซี่ยทำกระไรนางมิได้ จึงได้บังคับเขาให้ดูแลนาง………..”
“องค์หญิงแห่งแคว้นเซี่ย………”
หยุนชางเงียบไปครู่หนึ่ง แต่กลับนึกถึงเรื่องอื่นขึ้นมา ” เจ้าทราบได้อย่างไรว่านั่นคือองค์หญิงแห่งแคว้นเซี่ย? อีกเรื่องหนึ่ง ก่อนหน้านี้เจ้าคงได้สู้รบกับหลิ่วหยินเฟิงมาก่อนใช่หรือไม่? และเหตุใดหลิ่วหยินเฟิงจึงดูเหมือนไม่รู้จักเจ้าเลย?”
จิ้งอ๋องหัวเราะเบา ๆ เมื่อได้ยินเช่นนี้ ” ข้าทราบว่านางเป็นองค์หญิงแห่งแคว้นเซี่ย เพียงเพราะว่าเมื่อสักครู่ตอนอยู่ชั้นล่างขเก็พบหญิงสาวผู้นั้นแล้ว ตรงเอวของนางมีจี้หยกของราชวงศ์แคว้นเซี่ย ก่อนหน้านี้ข้าเคยได้พบ………” เขาหยุดไปชั่วครู่หนึ่ง แล้วจึงยิ้มออกมาช้าๆ “ข้าเองก็มีหนึ่งชิ้นเช่นกัน ส่วนเรื่องที่หลิ่วหยินเฟิงไม่รู้จักข้านั้น ก่อนหน้านี้ข้าได้รบกับเขาอยู่ครั้งหนึ่งก็จริง แต่ครั้งนั้นข้าเดินทัพอย่างเร่งรีบเป็นเวลาเจ็ดวัน ใบหน้าของข้าเต็มไปด้วยฝุ่น เขาคงไม่ทราบด้วยซ้ำว่าข้าหน้าตาข้าเป็นเช่นไร อีกทั้ง เมื่อสักครู่นั้นเขาเอาแต่จ้องมองเจ้า……………..”
ขณะที่กำลังพูดคุยกัน ก็ได้ยินเสียงของคนกำลังเดินขึ้นชั้นสองดัง “ตูมตูมตูม” เสียงนั้นดูเร่งรีบอย่างมาก เสียฝีเท้าหยุดที่หน้าประตูห้องของหยุนชาง ประตูถูกผลักเปิดอย่างกะทันหัน และคนที่เข้ามานั้นก็คือหลิ่วหยินเฟิงที่ทั้งสองกำลังกล่าวถึง มีสีหน้าของเขาดูเร่งรีบเล็กน้อย ทันทีที่เขาเปิดประตูมา เขาก็จ้องมองไปที่หยุนชางอย่างนิ่งๆ “เจ้าคือเซียวหยุน”