ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - บทที่ 355 ท้าทาย
หยุนชางคาดไม่ถึงว่าจักรพรรดิหนิงจะผลักนางออกมา นางตะลึงครู่หนึ่ง จิ้งอ๋องยื่นมือออกมาบีบฝ่ามือของนาง จากนั้นหยุนชางจึงยิ้มเล็กน้อย แล้วยกแก้วสุราและเหยือกสุราบนโต๊ะขึ้นมา เดินอ้อมโต๊ะเตี้ยข้างหน้าไป เดินไปที่กลางห้องโถง และคำนับจักรพรรดิหนิง จากนั้นจึงยกแก้วสุราขึ้นอมยิ้มและมองไปที่ชายที่มีรอยแผลเป็นบนใบหน้า ซึ่งมองแสดงสีหน้าไม่ชัดเจน “ชางเอ๋อร์ดื้อรั้นเองเพคะ จึงทำให้แคว้นเซี่ยและแคว้นหนิงนั้นได้สูญเสียทหารจากการสู้รบไปจำนวนมาก ชางเอ๋อร์ขอไถ่โทษด้วยการดื่มสามแก้วเพคะ เพื่อเป็นการปลอบโยนวิญญาณของเหล่าทหารจำนวนมาก และหวังว่าจากนี้ไปจะไม่มีสงครามอีก”
ชายคนนั้นมองดูนางอย่างเงียบๆ เขาเลิกคิ้วขึ้น แววตาของเขาเปลี่ยนทิศทางไป หยุนชางมองไปตามทิศทางที่เขากำลังมอง จึงทราบว่าเขากำลังมองไปที่จิ้งอ๋อง นางขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็ได้ยินจักรพรรดิแคว้นเซี่ยใช้เสียงที่ได้ยินแค่สองคนนั้นกล่าวว่า ” ชิงเหยียนนั้นได้อภิเษกสมรสกับภรรยาที่ดีเชียวนะ”
หยุนชางตกตะลึง จึงรู้สึกตัวได้ว่าชิงเหยียนที่เขากล่าวถึงนั้นคือจิ้งอ๋อง
ดวงตาของหยุนชางจับจ้องไปที่จักรพรรดิแคว้นเซี่ย แต่ทันใดนั้นก็เห็นว่าเขายกมือขึ้นอย่างกะทันหันและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พระชายาจิ้งอ๋องนั้นกล้าหาญอย่างมาก”
หยุนชางมองไม่ออกว่าเขาแสดงสีหน้าอย่างไร นางตกตะลึงครู่หนึ่ง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นและดื่มสุราในแก้วจนหมดสิ้น จากนั้นก็เทอีกสองแก้วแล้วดื่มอย่างไม่ลังเล เสียงปรบมือดังขึ้น หยุนชางยิ้มและโค้งคำนับจักรพรรดิหนิง แล้วจึงหันหลังกลับสู่ที่นั่งของตน เมื่อนางเงยหน้าขึ้น ก็เห็นแววตาของหลิ่วหยินเฟิงที่อยู่ฝั่งตรงข้ามนั้นเผยความตะลึงและโกรธเคืองออกมา
อาจจะเป็นเพราะว่าโกรธที่ตนไปหลอกเขา หยุนชางคิดในใจแต่มิได้สนใจ นางก้มหน้าลงและกินอาหารที่อยู่ตรงหน้าตน นางคิดในใจว่า อาหารจานนี้สดชื่นอย่างมาก ไม่รู้ว่าทำมาจากอะไร ประเดี๋ยวนี้คงต้องไปถามหัวหน้าเจิ้งแล้วล่ะ
ขณะที่กำลังกินอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะเย้ยดังขึ้น จากนั้นก็เป็นเสียงที่พูดภาษาแคว้นหนิงออกมาแปลกๆดังขึ้น ” ก่อนหน้านี้ได้ข่าวมาตลอดว่าพระชายาจิ้งอ๋องนั้นเป็นผู้หญิงอ่อนแอ ไม่คาดคิดว่าท่านจะสามารถเข้าสู้สนามรบได้ ผู้ชายแคว้นหนิงไม่สามารถรบสงครามได้แล้วหรือ? สิ่งที่น่าแปลกใจกว่านั้นก็คือ แคว้นเซี่ยนนั้นถูกผู้หญิงจัดการจนหมดหนทางสู้อย่างนั้นหรือ ฮ่าฮ่า…”
หยุนชางเงยหน้าขึ้นและมองไปตามทางที่เสียงดังขึ้น นางก็พบเห็นชายผิวคล้ำกำลังกล่าว เขาดูอ้วนเล็กน้อย แววตาของเขาดูถูกเหยียดหยาม หยุนชางมองดูชุดของบริวารที่คุกเข่าอยู่ข้างหลังเขา จากนั้นก็ทราบตัวตนของคนผู้นั้นแล้ว องค์ชายใหญ่ของแคว้นเย้หลาง ชางเจียคังหนิง หยุนชางมองไปข้างหลังชางเจียคังหนิงอีกที นางไม่พบหัวจิ้ง นางจึงคาดเดาอยู่ในใจ และได้คำตอบมา แม้ว่างานเลี้ยงนี้จะไม่ใช่งานเลี้ยงขนาดใหญ่เช่นไร แต่ตอนนี้หนิงหัวจิ้งเป็นเพียงนางสนม จึงไม่สามารถมาออกงานได้
หยุนชางเห็นว่าสีหน้าของจักรพรรดิหนิงค่อนข้างแย่ นางจึงหยิบชาบนโต๊ะขึ้นมาพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “องค์ชายใหญ่ทรงดูถูกผู้หญิงเช่นนี้ หรือว่าท่านจะทรงโปรดผู้ชายหรือ?”
คำพูดที่พูดออกมานั้นไม่อ่อนโยน ทำให้คนที่อยู่ในงานนั้นล้วนตกตะลึงอย่างมาก แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
ชางเจียคังหนิงขมวดคิ้วและตะโกนเสียงดัง เขาอาจจะพูดเป็นภาษาแคว้นเย้หลาง หยุนชางไม่ค่อยได้ยินในสิ่งที่เขากล่าว เพียงแค่เห็นว่าสีหน้าของจิ้งอ๋องนั้นแย่ลงเล็กน้อย คงมิใช่คำพูดที่ดียิ่งนักหรอก
จิ้งอ๋องเยาะเย้ยอย่างเย็นชา หยุนชางไม่เห็นว่าจิ้งอ๋องลงมืออย่างไร จากนั้นก็ได้ยินชางเจียคังหนิงร้องเสียงดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน เมื่อทุกคนมองไปก็เห็นว่ามีมีดปักอยู่บนโต๊ะตรงหน้าชางเจียคังหนิง ด้วยเหตุที่มีแขกมาจากแคว้นอื่นๆ จักรพรรดิหนิงได้สั่งให้เตรียมขาแกะย่างมาโดยเฉพาะ เดิมทีมีดเล็กเล่มนั้นวางอยู่บนโต๊ะสำหรับให้แขกตัดเนื้อ แต่ตอนนี้มันกลับปักอยู่บนโต๊ะ และยังคงสั่นอยู่เล็กน้อย
ทุกคนตกตะลึง จากนั้นก็ได้ยินเสียงที่ไร้อารมณ์ของจิ้งอ๋องดังขึ้น “ข้าไม่ชอบให้ใครมาดูหมิ่นพระชายาของข้าอยู่แล้ว หากว่าเจ้ากล้าพูดจาเหลวไหลเช่นนั้นอีก คราวหน้ามีดเล่มนั้นก็คงจะเสียบอยู่ที่ปากของเจ้า”
ร่างกายของชางเจียคังหนิงสั่นเล็กน้อย เขาทราบดีว่าจิ้งอ๋องมิได้พูดเล่น ความหวาดกลัวก็ปรากฏอยู่ในใจของเขา เหตุใดเขาจึงลืมไปว่าผู้หญิงคนนั้นนอกจากจะเป็นองค์หญิงแห่งแคว้นหนิงแล้ว นางยังเป็นพระชายาจิ้งอ๋องอีกด้วย…………..
หลังจากนั้นไม่นาน ชางเจียคังหนิงจึงจะได้สติคืนมา เขามองไปที่จักรพรรดิหนิง ” ฝ่าบาทขอรับ นี่คือวิธีการต้อนรับแขกของแคว้นหนิงหรือ?”
สีหน้าของจักรพรรดิหนิงก็ดูแย่ลงเล็กน้อย แต่เขามองไปที่ชางเจียคังหนิง และกล่าวอย่างช้าๆว่า ” องค์ชายใหญ่เองก็กล่าวแล้วว่า เป็นการ…ต้อน…รับ….แขก”
ชางเจียคังหนิงสัมผัสได้ถึงความหมายที่ไม่เป็นมิตรในคำพูดของจักรพรรดิหนิง จึงกล่าวอย่างโกรธแค้น ” ข้าไปจี้จุดอ่อนของพวกเจ้าใช่หรือไม่? จึงโกรธแค้นอย่างมากน่ะสิ!” หลังจากพูดจบแล้วเขาก็ลุกขึ้นยืนและเดินจากไป
แต่ยังเดินไม่ถึงประตูตำหนัก เขาก็หยุดลงและก้าวถอยหลังกลับเข้ามา ทุกคนแปลกใจ เมื่อมองไป พวกเขาเห็นผู้หญิงคนหนึ่งถือดาบอยู่ในมือแล้ววางบนคอของชางเจียคังหนิง และเดินตรงมาด้านหน้า ชางเจียคังหนิงจึงต้องถอยหลังทีละก้าวเพื่อหลีกเลี่ยงมาบาดเจ็บ
ทุกคนยังไม่เข้าใจสถานการณ์ตรงหน้า พวกเขาก็ได้ยินหยุนชางหัวเราะขึ้นมา “ข้ารู้สึกว่าองค์ชายใหญ่ควรอธิบายสิ่งที่ตนกล่าวมาให้ชัดเจนก่อนจะจากไปจะดีกว่า ไม่เช่นนั้นปวงประชาจะคิดว่าข้อเท็จจริงเป็นไปตามที่เขาพูด ในเมื่อองค์ชายใหญ่ดูหมิ่นผู้หญิงเช่นนี้ เช่นนั้นข้าก็จะทำให้องค์ชายใหญ่นั้นแพ้และยอมรับจากใจจริง สายลับในมือของข้านั้นล้วนเป็นผู้หญิง เจ้าเลือกได้ตามสบาย หากว่าเจ้าชนะ เจ้าก็สามารถออกจากตำหนักจิงหลวนนี้ไปได้ แค่หากว่าเจ้าแพ้ละก็………..”
“แพ้แล้วจะเป็นเช่นไร?” สีหน้าของชางเจียคังหนิงนั้นแย่มาก
หยุนชางหัวเราะคิกคัก “พระราชพิธีแต่งตั้งฮองเฮากำลังจะมาถึงในไม่ช้านี้ เดิมทีนี่เป็นเรื่องที่ดีอย่างมาก องค์ชายใหญ่นั้นตั้งใจมาแสดงความยินดี ข้ารู้สึกขอบคุณอย่างมาก แต่หากตั้งใจสร้างปัญหาก็อย่าโทษ ว่าข้านั้นใจร้ายแล้วกัน หากว่าเจ้าแพ้ ข้าก็จะไม่กดดันองค์ชายใหญ่ เพียงแค่เชิญให้องค์ชายใหญ่นั้นออกจากแคว้นหนิงก็เพียงพอ งานเลี้ยงพระราชวังของแคว้นหนิงนั้นมิใช่สถานที่ที่หมาแมวที่ไหนก็เข้ามาก่อความวุ่นวาย”
เมื่อได้ยินหยุนชางเปรียบเทียบเขากับหมาแมว ชางเจียคังหนิงก็โกรธเคืองเป็นอย่างมาก เขากล่าวด้วยความไม่สบอารมณ์ “ประลองก็ประลอง ชางเจียคังหนิงจะกลัวเจ้าหรือ? เพียงแต่ข้าจะไม่ประลองฝีมือกับเหล่าสายลับอะไรนั่นหรอก หากจะประลองข้าจะประลองกับเจ้า”
หยุนชางได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกช่วยไม่ได้ เหตุใดคนที่ชอบประลองฝีมือกับนางจึงมีมากมายเช่นนี้กันนะ อันดับแรกก็ฉีหล่าง ตอนนี้มีชางเจียคังหนิงเพิ่มเข้ามาอีก
“เช่นนั้นหรือ? เราจะประลองด้านไหนกันหรือ? เล่นขิม หมากรุก การประดิษฐ์ตัวอักษร และการวาดภาพ?” หยุนชางเลิกคิ้วและใช้ผ้าเช็ดปากเบาๆ เพื่อปกปิดความไม่แยแสของตนเอาไว้
ชางเจียคังหนิงหัวเราะอย่างเย็นชาและหันไปมองจักรพรรดิแคว้นเซี่ย “โอ้ ผู้หญิงคนนี้เอาชนะพวกเจ้าด้วย ขิม หมากรุก การประดิษฐ์ตัวอักษรและการวาดภาพอย่างนั้นหรือ?” หลังจากพูดจบแล้วเขาก็หันกลับมา ” หากจะแข่งก็แข่งยิงธนู พวกขิม หมากรุก การประดิษฐ์ตัวอักษร และการวาดภาพอะไรนั่น มันเป็นของที่ผู้หญิงเล่นกัน”
หยุนชางไม่คัดค้าน ดังนั้นจึงสั่งคนไปเตรียม
เป้าลูกศรทั้งสองถูกตั้งขึ้นอยู่ที่หน้าประตูตำหนัก นางกำนัลนำธนูมาวาง หยุนชางอมยิ้ม “องค์ชายใหญ่เพคะ เจ้าเริ่มก่อนหรือข้าเริ่มก่อน?”
ชางเจียคังหนิงกล่าวด้วยความไม่สบอารมณ์ และหมดความอดทนเล็กน้อย ” แคว้นหนิงของเจ้ามักจะเน้นเรื่องสตรีมาก่อนมิใช่หรือ? เจ้าเริ่มก่อนแล้วกัน ข้ากลัวว่าเจ้าเห็นฝีมือการยิงธนูของข้าแล้วเจ้าจะตกตะลึงจนมิกล้าประลอง”