ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - บทที่ 356 จักรพรรดิเซี่ย
หยุนชางก้มศีรษะลงและหัวเราะ ราวกับนางได้ยินเรื่องตลกที่สุด ทุกคนมองไปทางหยุนชาง แต่เห็นนางค่อยๆ ยกมือขึ้นรับคันธนู และค่อยๆลูบคันธนูด้วยมือ
“องค์ชายใหญ่แห่งแคว้นเย้หลางชอบรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า รู้ว่าท่านเชี่ยวชาญวิชายิงธนู และถนัดการยิงลูกธนูสามดอกพร้อมกันที่สุด แต่องค์ชายกลับเลือกการยิงธนูมาแข่งขัน” หยุนชางไม่คิดว่า หลิ่วหยินเฟิงจะเป็นผู้ที่เอ่ยปากพูดก่อน ในขณะที่กล่าวโทษชางเจียคังหนิง เขาได้ส่งข้อความบางอย่างกับหยุนชางอย่างลับๆ
หยุนชางหยิบลูกธนูขนนกขึ้นจากถาด ดึงคันธนูด้วยรอยยิ้ม และใส่ลูกธนู แต่ถือคันธนูด้วยมือข้างหนึ่ง และยื่นมือออกไปปัดลูกธนูขนนกในถาด รอยยิ้มจางๆยังคงปรากฎบนใบหน้าของนาง “ที่แท้นี่คือสิ่งที่องค์ชายใหญ่ถนัดที่สุดหรือเพคะ ไม่มีปัญหา ท้ายที่สุดแล้วก็ต้องพ่ายแพ้ในสิ่งที่ตัวเองถนัดที่สุด ถึงจะเต็มใจยอมจำนน”
หยุนชางหยิบลูกธนูเก้าดอกที่เหลือในถาดทั้งหมดขึ้นมา ดึงคันธนูให้สุดและยิงไปที่เป้าหมายอย่างแรง
ผู้คนในห้องโถงยังไม่ทันได้ดูดีๆ ก็เห็นเป้าธนูมีลูกธนูสิบดอกปักอยู่กลางเป้าธนูอย่างเรียบร้อย ขันทีที่อยู่ด้านข้างตอบสนองเร็วที่สุด เขารีบดึงลูกธนูขนนกที่เป้าธนูออกมาทั้งหมด นับเสร็จ เขาพูดด้วยเสียงอันดังว่า”ฝ่า…ฝ่าบาท…พระชายาจิ้งอ๋อง ยิงเข้าเป้าทั้งหมดพ่ะย่ะค่ะ”
มีความฮือฮาในห้องโถง ตัวเอกอย่างหยุนชางยิ้ม เดินไปที่ข้างโต๊ะยกเหล้าที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา “องค์ชายใหญ่ ตาท่านแล้วเพคะ”
หลังจากที่พูด หยุนชางกำลังจะยกมือขึ้นดื่ม แต่ถูกจิ้งอ๋องดึงไว้ “วันนี้เจ้าดื่มไปหกถ้วยแล้ว อย่าดื่มอีกเลย”
หยุนชางอยากจะบอกว่านางไม่เมา แต่เมื่อเห็นแววตาของจิ้งอ๋อง นางก็ไม่ได้เอ่ยปาก ยิ้มและพยักหน้า วางถ้วยเหล้าลง ขณะที่จิ้งอ๋องหันไปสั่งนางกำนัลให้เตรียมชา ก็ดึงหยุนชางนั่งลงข้างเขา “นั่งชมที่นี่เถิด”
หยุนชางอยากจะบอกว่า มันไม่ถูกระเบียบ แต่นางก็นึกได้ว่าสิ่งที่นางทำในวันนี้ไม่มีสิ่งใดถูกระเบียบเลย ดังนั้นนางจึงพยักหน้า และพูดกับนางกำนัลที่กำลังจะถอยไปเตรียมน้ำชาว่า “เปลี่ยนน้ำชาให้ท่านอ๋องด้วย”
เมื่อเห็นจิ้งอ๋องหันมา หยุนชางก็กระซิบ “อาการบาดเจ็บของเจ้ายังไม่หาย ฉะนั้นควรดื่มให้น้อยหน่อย”
จิ้งอ๋องหัวเราะ เอื้อมมือไปจับมือหยุนชาง หยุนชางตกตะลึง รู้สึกเพียงแค่ว่ามือของเขาเย็นเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นมองจิ้งอ๋อง แต่เห็นดวงตาของเขามองไปทางชายที่อยู่ด้านขวามือที่มีแผลเป็นน่ากลัวบนใบหน้าอย่างไม่รู้ตัว ในใจอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเป็นทุกข์เล็กน้อย ดังนั้นนางจึงจับมือของจิ้งอ๋องกลับ และพยายามส่งความอบอุ่นจากฝ่ามือให้เขา
เมื่อหยุนชางเงยหน้าขึ้นมองชางเจียคังหนิง ชางเจียคังหนิงยังไม่ได้เริ่ม หยุนชางมองไปที่สีหน้าที่ค่อนข้างแย่ของชางเจียคังหนิง และนางก็ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพูดเบาๆว่า “ถ้าองค์ชายใหญ่ไม่อยากแข่งก็มิต้องแข่งแล้วเพคะ ข้าก็แค่พูดเล่นๆ ผู้ที่มาเยือนคือแขกของเรา ข้าจะขับไล่แขกของแคว้นหนิงออกไปได้อย่างไร”
น้ำเสียงที่เบาอ่อนโยน แต่คำพูดที่พูดออกมานั้น ไม่ค่อยถูกใจคนฟังมากนัก แอบเยาะเย้ยชางเจียคังหนิงไม่กล้าแม้แต่จะแข่งขัน เมื่อครู่เขาดูมีความมั่นใจมาก แต่ ณ ขณะนี้กลับกล้าๆกลัวๆ
และไม่รู้ว่าใครในห้องโถงออกเสียงหัวเราะเยาะเย้ย และสีหน้าของชางเจียคังหนิงก็ซีดลง เขารู้ตัวเองดีว่า ถึงแม้เขาจะเย่อหยิ่งในทักษะการยิงธนูมาโดยตลอด ไม่มีผู้ใดในราชวงศ์ของแคว้นเย้หลางที่สามารถเทียบกับเขาในการยิงธนู แต่เขาไม่สามารถเอาชนะหญิงผู้นั้นได้ เขาภูมิใจที่สุดคือสามารถยิงลูกธนูทีเดียวสามดอก แต่เขาไม่คิดว่าให้หญิงผู้นั้นสามารถยิงลูกธนูได้ทีเดียวสิบดอก
เขาได้ยินเสียงต่างๆนาๆในงานเลี้ยง บ้างก็เยินยอพระชายาจิ้งอ๋อง บ้างก็เยาะเย้ยเขา ในใจรู้สึกห่อเหี่ยวเล็กน้อย แต่จะทิ้งเกียรติของแคว้นเย้หลางไม่ได้
ชางเจียคังหนิงกัดฟัน จับลูกธนู แต่เขาไม่ได้ใช้ลูกธนูสามดอก การยิงลูกธนูทั้งสิบดอกในเมื่อครู่ก็ตะลึงหัวใจของทุกคนไปแล้ว ถ้าเขาใช้แค่ลูกธนูสามดอก เขาจะตกเป็นรองอย่างเห็นได้ชัด ถ้าเช่นนั้นก็ทำตามกติกา ขอแค่แม่นยำก็เพียงพอ
ชางเจียคังหนิงคิดเช่นนี้ ดังนั้นเขาจึงดึงคันธนู แล้วยิงออกไปทีละดอก
และมันแม่นยำมาก เพียงเพื่อกู้หน้าบ้างเล็กน้อย ชางเจียคังหนิงแอบใช้พลังเล็กน้อยกับกำลังแรงยิง ลูกธนูทั้งหมดทะลุเป้าธนู และหลังจากหมดลูกธนูทั้งสิบดอก เป้าธนูก็มีเพียงรูเดียว และไม่มีลูกธนูปักไว้สักดอก
หยุนชางกระพริบตา โดยคิดว่าชางเจียคังหนิงก็ไม่ได้ไร้สมอง แต่เขาได้ระรานผิดคน เลือกนางเป็นเป้าหมาย หยุนชางยิ้มเบาๆ และลุกขึ้นยืน “ขอบพระทัยองค์ชายใหญ่ที่ดูแลข้าเยี่ยงนี้ ข้าแค่เล่นลูกไม้เล็กน้อย ทำให้ลูกธนูทั้งสิบดอกเข้าเป้า แต่องค์ชายใหญ่กลับดูแลพระชายาอย่างข้า กลัวที่จะเสียชื่อเสียงในการรังแกหญิงสาวที่อ่อนแอกว่า ถึงกับไม่เข้าเป้าสักดอก ข้าชื่นชมความใจกว้างขององค์ชายใหญ่จริงๆ”
“อะไรนะ? เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไรกัน เห็นได้ชัดว่าข้ายิงเข้าเป้าทั้งหมด” ชางเจียคังหนิงได้ฟัง ถึงกับมีเส้นเลือดปูดที่หน้าผากของเขา หันไปมองที่หยุนชางอย่างดุร้าย
แต่จักรพรรดิหนิงกลับเข้าใจแผนการของหยุนชาง และหัวเราะเสียงดังว่า “นี่เป็นการแข่งยิงธนู แน่นอนว่าต้องให้ลูกธนูที่อยู่เป้าธนูถึงจะถูกนับ เมื่อครู่ลูกธนูทั้งสิบของชางเอ๋อร์อยู่ที่เป้าธนูทั้งหมด แต่ขององค์ชายใหญ่ กลับไม่มีสักดอก”
ตรัสจบ ก็หันศีรษะมองดูจักรพรรดิเซี่ยอีกครั้ง “พี่เซี่ยว่า เจิ้นพูดถูกหรือไม่”
พระเนตรของจักรพรรดิเซี่ยหันมองจิ้งอ๋องที่ก้มศีรษะและหยุนชางที่กำลังพูด หยุดชะงักเล็กน้อย แล้วหัวเราะ “ควรที่จะเป็นเยี่ยงนั้น”
ชางเจียคังหนิงโกรธมาก จ้องไปที่ฝูงชนอย่างโกรธเคือง สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไป “ดี พวกเจ้าทำได้ดีมาก!”
ทันทีที่ชางเจียคังหนิงจากไป ห้องโถงก็กลับมาครึกครื้นอีกครั้ง จักรพรรดิหนิงยิ้มและตรัสว่า “เจิ้นไม่เคยรู้มาก่อนว่าทักษะการยิงธนูของชางเอ๋อร์จะเก่งกาจเยี่ยงนี้?”
หยุนชางกำลังพูดกับจิ้งอ๋องอยู่ ได้ยินก็ยิ้มแล้วเงยหน้าขึ้นมาพูด “เสด็จพ่อ ทักษะการยิงธนูของท่านอ๋องเก่งกาจกว่าเพคะ ลูกไม้ตื้นๆของหม่อมฉันล้วนเป็นสิ่งที่ท่านอ๋องสอนให้เพคะ แต่ร่างกายของหม่อมฉันอ่อนแอไม่แข็งแกร่ง พลังปราณไม่เพียงพอ มิเช่นนั้นคงจะยิงได้ดีกว่าเมื่อครู่”
“โอ้?” จักรพรรดิหนิงเงยหน้าขึ้นและเหลือบมองจิ้งอ๋อง ยิ้มแต่นิ่งเงียบลง แต่มีความสงสัยผุดขึ้นในใจเล็กน้อย ทักษะการยิงธนูของหยุนชาง เกรงว่าคนธรรมดาทั่วไปต้องใช้เวลาหลายปีถึงจะสามารถฝึกฝนได้ นางแต่งงานกับจิ้งอ๋องมาไม่ถึงปี และยิ่งกว่านั้น ชีวิตหลังแต่งงานพวกเขาก็อยู่ห่างคนละที่เป็นส่วนใหญ่
แค่เห็นว่าจิ้งอ๋องไม่ได้ปฏิเสธ ก็ไม่สะดวกที่จะถามต่อ ได้แต่ยิ้มและตรัสว่า “น่าเสียดายที่ตอนนี้จิ้งอ๋องได้รับบาดเจ็บ มิเช่นนั้น คงจะเห็นทักษะการยิงธนูของจิ้งอ๋องบ้าง”
เพราะอาการบาดเจ็บของจิ้งอ๋องจึงมิได้พูดเรื่องนี้ต่อ จากการแข่งขันในเมื่อครู่ทำให้ห้องโถงครึกครื้นมาก ทุกคนต่างก็พูดถึงทักษะการยิงธนูของหยุนซาง จักรพรรดิหนิงจึงไม่ได้เรียกนางรำขึ้นมา ทุกคนดื่มเหล้ากันครู่หนึ่ง ก่อนที่จักรพรรดิหนิงจะยิ้มและตรัสว่า “พี่เซี่ย ครั้งนี้ท่านสามารถมาด้วยตนเองได้ ทำเอาเจิ้นประหลาดใจเล็กน้อย”
จักรพรรดิเซี่ยผงะเมื่อได้ยินคำพูดนั้น วางถ้วยเหล้าลง เหลือบมองใบหน้าของจิ้งอ๋องและตรัสด้วยเสียงดัง “การมาในครั้งนี้เพราะมีเรื่องส่วนตัวเรื่องหนึ่ง” จากนั้นก็เว้นช่วงไปครู่หนึ่ง แล้วก็ตรัสด้วยความโศกเศร้าเล็กน้อยว่า “เมื่อยี่สิบเก้าปีที่แล้ว ภรรยาของข้ากำลังตั้งครรภ์ แต่ยืนยันที่จะไปออกศึกพร้อมข้า แต่ไม่คาดคิดเลยว่านางจะตกหน้าผา เดิมคิดว่านางกับลูกคงไม่มีชีวิตรอดแล้ว เพียงแต่ว่าช่วงก่อนที่ฮวากั๋วกงมา กลับพบกับคนๆหนึ่งที่เป็นไปได้ว่าจะเป็นลูกในครรภ์ของภรรยาข้า… ”