ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - บทที่ 357 จักรพรรดิเซี่ยเผยทายาทต่อสาธารณชน
- Home
- ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง
- บทที่ 357 จักรพรรดิเซี่ยเผยทายาทต่อสาธารณชน
หยุนชางสังเกตว่าร่างของจิ้งอ๋องสั่นเล็กน้อยรู้สึกกังวล นางไม่คิดเลยว่า จักรพรรดิแคว้นเซี่ยจะเอ่ยเรื่องนี้ในงานเลี้ยง
เกิดเสียงฮือฮาในห้องโถง เรื่องทายาทของราชวงศ์ น่าจะเป็นเรื่องภายใน แต่จักรพรรดิเซี่ยเอ่ยเรื่องนี้ในงานเลี้ยงในแคว้นอื่น หมายความว่าอย่างไร? พระองค์ตรัสว่าช่วงก่อนที่ฮวากั๋วกงมาเยือนแคว้นหนิง พบกับคนๆหนึ่งที่เป็นไปได้ว่าจะเป็นองค์ชายแคว้นเซี่ยมากที่สุด ถ้าเช่นนั้น บุคคลนั้นจึงน่าจะอยู่ในหมู่พวกเขา
มีคนสังเกตเห็นบางสิ่งบางอย่างจากคำพูดของจักรพรรดิเซี่ย และมองไปที่จิ้งอ๋องอย่างลับๆ จักรพรรดิเซี่ยตรัสว่าเมื่อยี่สิบเก้าปีก่อน และสอดคล้องกับอายุของจิ้งอ๋อง… อีกทั้ง เมื่อครู่ ตอนที่จักรพรรดิเซี่ยเอ่ยเรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าพระองค์ทอดพระเนตรไปทางจิ้งอ๋อง
จิ้งอ๋องหลุดสติไปชั่วครู่เท่านั้น จากนั้นเขาก็คุมสติได้ ไม่สนใจเสียงเอะอะในงานเลี้ยง แต่เอนกายไปข้างหยุนชางแล้วกล่าวว่า “จะทำอย่างไรดี ข้าไม่มีความสามารถยิงธนูทีเดียวสิบดอกได้เลย ถ้ามีคนขอให้ข้าลองดูในครั้งหน้า ข้าควรทำอย่างไรดี?”
หยุนชางตะลึง ไม่คิดว่าเขายังพูดล้อเล่นในเวลานี้ได้ และจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ดุดัน แล้วชำเลืองมองจักรพรรดิเซี่ยที่ดูหม่นหมอง
เมื่อเห็นพระองค์โบกมือ หลิ่วหยินเฟิงถวายม้วนภาพวาดด้วยมือทั้งสอง พระเนตรของจักรพรรดิเซี่ยตกลงบนม้วนภาพ สายพระเนตรที่ซับซ้อน หลังจากนั้นไม่นานพระองค์ก็ถอนพระทัย “เมื่อสามสิบปีก่อน จิตรกรในวังได้วาดภาพนี้ให้แก่เรา…” หลังจากตรัสจบ ก็ยกขึ้นแล้วยื่นให้จักรพรรดิหนิง เมื่อจักรพรรดิหนิงเปิดภาพวาดออก สีพระพักตร์ของพระองค์ก็ตกตะลึง มีความไม่อยากจะเชื่อ ทอดพระเนตรไปในทิศทางของจิ้งอ๋อง แล้วหันกลับมาสบพระเนตรจิ่นกุ้ยเฟย หลังจากเงียบครู่หนึ่ง ก็เงยพระพักตร์ขึ้นและทอดพระเนตรจักรพรรดิเซี่ย “พี่เซี่ยต้องการให้เจิ้น…ให้หัวหน้าเจิ้งแสดงภาพนี้แก่ทุกคนหรือไม่”
จักรพรรดิเซี่ยพยักหน้า พร้อมดวงพระเนตรที่มีรอยยิ้มนั่น “ได้ยินมาว่าเด็กคนนี้ฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถปล่อยให้เขามีโอกาสที่จะหาทางหนีได้แล้ว”
จักรพรรดิหนิงเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพยักพระพักตร์เล็กน้อย และส่งม้วนภาพให้หัวหน้าเจิ้ง
ใจของหยุนชางสั่นเล็กน้อย เพราะเหตุว่า การเผยทายาทของจักรพรรดิเซี่ยในงานเลี้ยงในวังนั้น ไม่เป็นประโยชน์ต่อจักรพรรดิหนิง อย่างไรก็ตาม จิ้งอ๋องเป็นเทพแห่งสงครามของแคว้นหนิง
หัวหน้าเจิ้งรับภาพวาดอย่างระมัดระวัง และเปิดให้ทุกคนได้ชม มีต้นไม้ขนาดใหญ่ บนต้นไม้เต็มไปด้วยดอกไม้สีชมพู และมีกลีบดอกที่ร่วงหล่น มีคนสองคนยืนอยู่ใต้ต้นไม้ มีหญิงสวมชุดสีชมพูกำลังมองดอกไม้บนต้นไม้ด้วยรอยยิ้มจางๆ และมีชายคนหนึ่งยืนอยู่ข้างหญิงผู้นั้น…
หยุนชางมองไปที่ภาพ นึกว่าชายในภาพวาดคือจิ้งอ๋อง แต่มีความแตกต่างกับจิ้งอ๋องเล็กน้อย จิ้งอ๋องมักมีสีหน้าเฉยเมยเย็นชาโดยตลอด แม้ว่าเวลาที่เขายิ้ม ดวงตาของเขาจะมีความเย็นชาเล็กน้อย แต่ชายในภาพวาดกลับมีรอยยิ้มที่มุมตาและคิ้วของเขา ความอ่อนโยนราวกับน้ำ ทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะดื่มด่ำ
หยุนชางคิดว่าคนในภาพวาดดูเหมือนจิ้งอ๋องมาก ไม่เช่นนั้นจักรพรรดิเซี่ยจะไม่นำมันออกมา แต่สิ่งที่หยุนชางคิดไม่ถึงก็คือ…
“หญิงสาวชุดสีชมพูในภาพวาด…” หยุนชางขมวดคิ้ว รูปลักษณ์ของหญิงสาวค่อนข้างคุ้นเคย แต่ทว่าหยุนชางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็คิดไม่ออกว่านางเหมือนผู้ใด ขมวดคิ้ว และกรองผู้คนทั้งหมดที่นางรู้จักในหัว แต่นางก็ยังคงนึกไม่ออก
เมื่อลืมตาก็พบว่าทุกคนในห้องโถงดูแตกต่างออกไป สายตาของพวกเขาล้วนมองมาที่จิ้งอ๋อง มีเพียงจิ้งอ๋องเท่านั้น ที่ยังคงยกน้ำชาที่นางกำนัลนำมาเมื่อไม่นานนี้ และก้มศีรษะเป่าไอร้อน จิบชาแล้วพูดอย่างเฉยเมยว่า “พวกท่านไม่ดูภาพวาด กลับหันมามองข้าทำไมหรือ?”
ทุกคนตัวสั่น และรีบละสายตาหันไปมองภาพวาด แล้วพูดในใจว่า ไม่เหมือน ไม่เหมือนสักนิด จิ้งอ๋องจะมีรูปลักษณ์ ที่อ่อนโยนเหมือนชายในภาพได้อย่างไร?
อย่างไรก็ตาม เป็นจักรพรรดิเซี่ยหวนอวี่ที่เอ่ยขึ้นก่อน ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา โดยไม่ตื่นเต้นที่จะได้พบลูกที่พลัดพรากมาหลายปี “คนในภาพนี้ไม่ใช่จิ้งอ๋อง นี่คือเมื่อสามสิบกว่าปีที่แล้ว จิตรกรในวังวาดภาพเหมือนของข้าและฮองเฮาองค์ก่อน แต่เมื่อฮองเฮาองค์ก่อนสิ้นพระชนม์ ข้าก็ตกอยู่ในวิกฤต และเกือบเอาชีวิตไม่รอด ในที่สุด แม้ว่าเขาจะได้รับการรักษาจนมีชีวิตรอดมาได้ แต่ข้าก็ต้องเสียโฉม เป็นเวลากว่าสามสิบปีแล้ว เกรงว่าหลายคนคงลืมรูปลักษณ์ตอนที่ข้ายังเป็นหนุ่มไปแล้ว ฮวากั๋วกงเคยเห็นภาพนี้มาก่อน ดังนั้นจึงพบว่าจิ้งอ๋องกับข้ามีหน้าตาคล้ายกันมาก… ”
ก่อนที่เขาพูดจบเขาก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงที่เยาะเย้ย “ดังนั้นพระองค์จึงคิดว่าข้าเป็นโอรสของพระองค์หรือ” จิ้งอ๋องทำเสียงเยาะเย้ย “ภาพวาดเช่นนี้หาได้มากเท่าที่พระองค์ต้องการ อีกทั้งสามารถวาดใครก็ได้ที่พระองค์ต้องการ พระองค์เดินทางมาไกลเยี่ยงนี้เพื่อมาเลือกข้า ท่านอ๋องอย่างข้าควรจะสำนึกพระกรุณาหรือไม่”
ทุกคนได้ยินความตึงเครียดจากปากจิ้งอ๋อง “หรือว่า โอรสทั้งหมดของพระองค์ไร้ประโยชน์ พระองค์รู้สึกว่าไม่มีใครสามารถสืบบังลังก์ของพระองค์ได้ ดังนั้นจึงมาหาท่านอ๋องอย่างข้า? หือ?”
คราวนี้ ความขัดแย้งได้นำไปสู่โอรสของจักรพรรดิเซี่ย
หยุนชางเงยหน้าขึ้น และมองหาผู้คนในงานเลี้ยง ไม่พบเงาของรัชทายาทของแคว้นเซี่ย หัวเราะเบาๆ น่าเสียดายถ้าเซี่ยโหจิ้ง และเซี่ยโหเหยียนไม่ได้อยู่ที่นี่ ถ้าทั้งคู่อยู่ด้วยคงจะสนุกมาก
เซี่ยหวนอวี่ยังคงจ้องไปที่จิ้งอ๋องอย่างแผ่วเบา และมุมปากของพระองค์ก็ค่อยๆขดตัวขึ้น ดวงพระเนตรดูเหมือนจะไม่ใส่พระทัยการเยาะเย้ยของจิ้งอ๋อง
เหตุนี้หยุนชางจึงมองเซี่ยหวนอวี่อย่างละเอียดอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ก่อนหน้านี้ เนื่องจากรอยแผลเป็นอันน่าสยดสยองบนใบหน้าของพระองค์ หยุนชางรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย จึงไม่ได้มองอย่างละเอียด ต่อมา ก็ถูกภาพวาดนั้นดึงดูด แต่พอตอนนี้มาดูๆ เซี่ยหวนอวี่บางครั้งก็คล้ายจิ้งอ๋องมาก อย่างน้อย การแสดงออกของเขาในตอนนี้ก็เหมือนกับการแสดงออกของจิ้งอ๋อง
เซี่ยหวนอวี่หัวเราะขึ้นครู่หนึ่ง กวาดพระเนตรมองดูผู้คน และหยุดที่ตัวของหยุนชาง และสบพระเนตรกับหยุนชางอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะละสายตา “ถ้าเป็นอย่างที่เจ้าพูดล่ะ?”
ทุกคนในงานเลี้ยงต่างตกใจ โดยไม่รู้ว่าคำพูดของเซี่ยหวนอวี่หมายความว่าอย่างไร ต่างก็หวนนึกถึงสิ่งที่จิ้งอ๋องพูดเมื่อครู่ในใจ ยังไม่ทันนึกได้ พวกเขาก็ได้ยินเซี่ยหวนอวี่ตรัสออกมาอย่างช้าๆ “ถ้าเจ้าต้องการ บัลลังก์นี้ เจ้าสามารถมาเอาได้ทุกเวลา”
ทันทีที่คำนี้ออกมา แม้แต่ลั่วชิงเหยียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกมึนงงเล็กน้อย ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็หัวเราะเบาๆ “พระองค์คิดว่าบัลลังก์นี้สามารถมอบให้ใครได้งั้นหรือ”
ผู้คนในห้องโถงต่างก็ตะลึงกันไปหมด พวกเขาทั้งสองคิดว่าที่นี่เป็นที่ไหน ถึงกับมาพูดเรื่องการครอบครองบัลลังก์ของแคว้นเซี่ยราวกับไม่มีใครในสายตา
“ในเมื่อมันเป็นบัลลังก์ของข้า ข้าจึงอยากเอาแต่ใจสักครั้งหนึ่ง แล้วทำไมหรือ? ตราบใดที่เจ้าต้องการ ข้าก็จะให้ ในโลกนี้ สิ่งที่ข้าให้ได้ เจ้าเพียงแค่พูดออกมาก็พอ”
หยุนชางมองไปยังชายผู้นั่งเงียบๆ ราวกับกำลังพูดถึงความเป็นเจ้าของแคว้นเซี่ย และเริ่มรู้สึกชื่นชมเขาเล็กน้อย