ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - บทที่ 359 สตรีผู้ไม่ยอมเป็นรองบุรุษ
กลับถึงจวนจิ้งอ๋องก็ใกล้เวลาเที่ยงคืนแล้ว หยุนชางสั่งให้เฉี่ยนอินเตรียมน้ำร้อนสำหรับเช็ดตัว ขณะที่ปรนนิบัติจิ้งอ๋องเช็ดตัวเสร็จ นางก็ปล่อยผม ถอดเสื้อผ้าชั้นนอกออก และเดินเข้าไปในห้องอาบน้ำ ก็ได้ยินเสียงพ่อบ้านดังจากข้างนอกว่า “ท่านอ๋อง ในวังส่งหมอหลวงมาขอรับ โดยบอกว่าได้ข่าวท่านอ๋องถูกลอบทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ จึงส่งหมอหลวงมารักษาท่านอ๋องเป็นการเฉพาะขอรับ”
หยุนชางที่กำลังใช้เกลือมาแปรงฟัน ไม่สะดวกที่จะตอบรับ ก็ได้ยินจิ้งอ๋องกล่าวว่า “เจ้ากลับไปเพียงแค่พูดว่าข้าได้หาหมอการรักษาใส่ยาแล้ว และตอนนี้ก็พักผ่อนแล้ว”
พ่อบ้านตอบรับเสร็จก็ถอยกลับ แต่หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็เดินเข้ามาอีกครั้ง “ท่านอ๋อง ฮ่องเต้แคว้นเซี่ยเสด็จมาด้วยตัวพระองค์เองขอรับ ตอนนี้ทรงรออยู่ที่ห้องโถงด้านหน้าขอรับ”
“งั้นก็ให้พระองค์รอไปเถิด” จิ้งอ๋องพูดอย่างเย็นชา
หยุนชางได้อาบน้ำเสร็จแล้ว และเดินออกจากห้องอาบน้ำ และเห็นว่าเขายังไม่ออกไป แลดูอึดอัดเล็กน้อย แม้ว่าจะอยู่ในแคว้นหนิง แต่พระองค์ก็ทรงเป็นราชาของแผ่นดิน ท่านอ๋องปฏิบัติเยี่ยงนี้ก็มิสมควร เมื่อเห็นหยุนชางออกมา เขารีบมองไปที่หยุนชางและกล่าวว่า “พระชายา ฮ่องเต้แคว้นเซี่ยมาเยี่ยมท่านอ๋อง และตอนนี้พระองค์รออยู่ที่ห้องโถงด้านหน้าขอรับ”
หยุนชางยิ้ม พยักหน้าและเรียกเฉี่ยนอิน “หวีมวยง่ายๆให้ข้าที ส่วนเครื่องประดับ ก็ไม่จำเป็นแล้ว”
เฉี่ยนอินขานรับ แล้วเดินไปพร้อมกับหวี
จิ้งอ๋องขมวดคิ้วเมื่อเห็นสิ่งนี้และกล่าวว่า “เจ้ากำลังทำอะไร เขาเต็มใจที่จะรอก็ให้เขารอไป เจ้าอาบน้ำล้างหน้าแล้ว ยังต้องลำบากอะไรอีก”
“ผู้มาเยือนเป็นแขก ข้าจะไปดู ประเดี๋ยวข้าก็จะกลับมา ข้าเห็นว่าเจ้าเหนื่อยแล้ว พักผ่อนก่อนเถิด ในเมื่อเจ้าได้แจ้งกับจักรพรรดิทั้งสองฝั่งแล้วว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บจากการลอบสังหาร ในเมื่อได้รับบาดเจ็บ เช่นนั้นเจ้าควรจะนอนพักผ่อน” หยุนชางเงยหน้าขึ้นและเหลือบมองจิ้งอ๋อง หัวเราะเบาๆ แล้วสั่งให้สาวใช้ที่อยู่ข้างๆไปหยิบเสื้อผ้ามา
เสื้อผ้าเป็นชุดกระโปรงสีเรียบๆ และคลุมเสื้อคลุมสีชมพูขนาดใหญ่ไว้ด้านนอก หยุนชางก็เดินออกไป ขณะที่เดินไปด้วยก็สั่งพ่อบ้านไปด้วยว่า “ในงานเลี้ยงท่านอ๋องไม่ได้รับประทานอาหารมากนัก ไปเตรียมโจ๊ก และเตรียมกับข้าวอีกจาน หลังจากที่ข้ากลับมาค่อยทานพร้อมท่านอ๋อง”
หยุนชางเดิมคิดว่าทันทีที่กลับมาจะเข้านอนพักผ่อน ตอนกลางคืนมิควรจะทานอิ่มเกินไป แต่ถ้านางยังต้องไปพบ แขก เกรงว่ากลับเข้าห้องก็คงจะหิวแล้ว และรู้ว่าถ้าคนๆนั้นรออยู่ที่ห้องโถงด้านหน้า เกรงว่าจิ้งอ๋องก็คงจะนอนไม่หลับอยู่ดี นางจึงสั่งให้พ่อบ้านเตรียมอาหารมื้อดึกเอาไว้
เมื่อมาถึงห้องโถงด้านหน้า ก็เห็นชายสวมเสื้อคลุมสีม่วง ยืนหันหลังให้หยุนชาง มองขึ้นไปที่ป้ายอักษรที่ติดอยู่ที่ห้องโถงด้านหน้า นั่นคือป้ายอักษรหลังจากที่นางแต่งเข้ามาในจวน มีการบตกแต่งจวนใหม่ แล้วให้พ่อบ้านเลือกหนึ่งในงานภาพเขียนที่เขียนโดยจิ้งอ๋อง เส้นพู่กันเฉียบคม เขียนไว้ว่า “คนใจกว้าง จึงทำการใหญ่ได้” ตอนที่หยุนชางเลือกข้อความนี้ นางรู้สึกว่าลายเส้นและความหมายของคำนั้นมันต่างกันโดยสิ้นเชิง ซึ่งน่าสนใจมาก จึงได้เลือกผลงานชิ้นนี้
ดูเหมือนว่าจะได้ยินเสียงหยุนชางเดินเข้ามา ชายคนนั้นก็หันหลังกลับ มองหยุนชางอย่างเฉยชา และมีท่าทีชะงักเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆเอ่ยขึ้นว่า “เขาล่ะ?”
ไม่ได้เอ่ยชื่อแซ่ใดๆเลย แต่หยุนชาง ชัดเจนว่าเขากำลังพูดถึงใคร
ด้วยรอยยิ้มเล็กน้อยบนใบหน้าของ หยุนชาง นางพูดเบาๆว่า “เมื่อครู่ถูกลอบสังหารระหว่างทางกลับจวน ท่านอ๋องได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย เพิ่งจะประคบยาและพักผ่อนแล้วเพคะ”
เซี่ยหวนอวี่มีท่าทีชะงัก นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อย หันหลังและนั่งลงบนเก้าอี้
หยุนชางแปลกใจเล็กน้อย ในเมื่อเขามาเพราะได้ข่าวว่าจิ้งอ๋องถูกลอบสังหาร แน่นอนเพราะห่วงใยจิ้งอ๋อง แต่เขาได้ยินหยุนชางพูดว่าจิ้งอ๋องได้รับบาดเจ็บ กลับเงียบจนไม่แม้แต่จะถามอาการบาดเจ็บของจิ้งอ๋อง…
หยุนชางสั่งสาวใช้ถวายน้ำชา แล้วพูดด้วยเสียงเบาว่า “ฝ่าบาท โปรดดื่มชาเพคะ”
เซี่ยฮวนหยูพยักหน้า หยิบถ้วยชาขึ้นมา มองดูหยุนชางเป็นเวลานานแล้วกล่าวว่า “ข้าได้ยินเรื่องของเจ้าตอนอยู่ในเมืองคังหยางและเมืองจิ้งหยางแล้ว เจ้าเหมือนเสด็จแม่ของพวกเจ้ามาก นางเป็นสตรีผู้ไม่ยอมเป็นรองบุรุษ(ความสามารถเท่าเทียม) นางเคยมีผลงานชนะสงคราม เพียงแต่นางมีนิสัยร้ายกว่าเจ้า ปกติแม้ไม่ได้อยู่ในสนามรบนางก็ค่อนข้างเผด็จการ ไม่มีท่าทีที่อ่อนโยนและสง่างามอย่างเช่นเจ้าเลย”
หยุนชางตกตะลึง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะนึกได้ว่าเซี่ยหวนอวี่คงกำลังพูดถึงแม่ผู้ให้กำเนิดของจิงอ๋อง ฮองเฮาองค์ก่อนแห่งแคว้นเซี่ย ฮวาหลิง
“ชางเอ๋อร์เคยได้ยินคนพูดถึงฮองเฮาฮวา ได้ยินมาว่าพระองค์เป็นหญิงที่พิเศษมาก ชางเอ๋อร์มิกล้าเปรียบเทียบกับฮองเฮาฮวาเพคะ เป็นดั่งที่เสด็จพ่อตรัสไว้ ชางเอ๋อร์ก็แค่เอาแต่ใจจนเป็นนิสัย และมักจะรู้สึกว่าสนามรบมิได้เลิศเลอ เลยทำเรื่องโง่ๆไปเพคะ ได้ทำเรื่องหน้าอายต่อหน้าฝ่าบาทแล้วเพคะ” หยุนชางพูดอย่างแผ่วเบา และดวงตาของนางค่อยๆมองไปบนถ้วยกระเบื้องสีขาวในมือของนาง
เซี่ยหวนอวี่เงียบไปครู่หนึ่งแล้วตรัสว่า “ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นคนเย็นชาเล็กน้อย เจ้าอยู่กับเขา คงจะได้รับความไม่เป็นธรรมแล้ว”
ความไม่เป็นธรรม? หยุนชางตกตะลึง เดิมคิดว่าพระองค์คงจะกล่าวหานางเหมือนฮวากั๋วกง ที่ว่านางไม่คู่ควรกับจิ้งอ๋อง แต่ไม่คิดเลยว่าเซี่ยหวนอวี่จะตรัสว่าได้รับความไม่เป็นธรรม…
หยุนชางหัวเราะเบาๆ “ถ้าคนสองคนรักกันด้วยใจจริง เหตุใดต้องเอ่ยได้รับความไม่เป็นธรรมหรือไม่เพคะ?”
เซี่ยหวนอวี่ไม่ต้องการให้หยุนชางพูดเยี่ยงนี้ เขาเหลือบไปมองที่หยุนชางอีกครั้งและเงียบไป
ไม่มีใครเอ่ยปากพูด ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนก็เห็นพ่อบ้านเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน หันไปคำนับเซี่ยหวนอวี่แล้วค่อยพูดกับหยุนชางด้วยความเคารพว่า “พระชายา ท่านอ๋องบอกว่าเขาเจ็บแผลเล็กน้อย อยากให้ท่านกลับไปทายาให้ขอรับ”
หยุนชางผงะ หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ก็ได้ยินเซี่ยหวนอวี่ตรัสว่า “ในเมื่อเขาตามตัวเจ้า เจ้าก็กลับไปก่อนเถิด ข้าก็จะกลับไปก่อน” ยังไม่ทันรอหยุนชางตอบรับ ก็ได้ยืนขึ้นและเสด็จออกไปก่อน
หยุนชางตกตะลึงอีกครั้ง วันนี้เซี่ยหวนอวี่มาเพื่ออะไร? หากเป็นการมาเยี่ยมจิ้งอ๋อง แต่พระองค์ก็ไม่ถามด้วยซ้ำว่าอาการบาดเจ็บของจิ้งอ๋องเป็นเช่นไร หากเป็นการมาขอโทษแทนเซี่ยโหเหยียน แต่พระองค์ก็มิได้ทรงเอ่ยถึงเซี่ยโหเหยียนเลยตั้งแต่ต้นจนจบ
ในใจคาดเดาอย่างเงียบๆ ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปที่ห้องนอน
เฉี่ยนอินเอะอะไปตลอดทาง “ที่แท้ผู้นั้นคือจักรพรรดิแคว้นเซี่ยหรือเพคะ รอยแผลเป็นบนใบหน้านั้นค่อนข้างน่ากลัวเล็กน้อย หัวหน้าทำไม…” ณ จุดนี้ นางหยุดอีกครั้ง ดูเหมือนนางจะกลัวอะไรบางอย่าง ดังนั้นนางจึงไม่พูดอะไรต่อ
ผ่านไปครู่หนึ่ง นางพูดอีกครั้งว่า “หม่อมฉันที่เคยได้ยินคนเอ่ยถึงฮองเฮาองค์ก่อนของจักรพรรดิเซี่ย ได้ยินมาว่านางเป็นแม่ทัพหญิง นางเก่งกาจในด้านการนำทหารออกศึก มีสตรีเพียงไม่กี่คนที่ชอบการออกศึก”
ดูเหมือนเฉี่ยนอินจะพูดพึมพำกับตัวเอง แต่เสียงนั้นตกอยู่ภายในใจของหยุนชาง แต่ดูเหมือนเป็นเสียงฟ้าร้องซึ่งจู่ๆก็ระเบิดลึกลงไปในหัวใจของนาง
นางรู้ว่าหญิงที่อยู่ในภาพวาดที่เซี่ยหวนอวี่นำมานั้นเหมือนผู้ใดแล้ว……
จ้าวฮูหยิน แม่ของจ้าวจงอี้ที่เคยเป็นพระราชบุตรเขยของหัวจิ้ง
หยุนชางหยุดฝีเท้ากะทันหัน จิตใจวูบวาบสับสน จ้าวฮูหยินจริงๆแล้วนางไม่นับว่าแก่เลย จ้าวจงอี้เด็กหนุ่มอายุประมาณยี่สิบสี่ห้าปี จ้าวฮูหยินก็น่าจะอายุแค่สี่สิบห้าปีเท่านั้น แต่เพราะเป็นแม่ของพระราชบุตรเขย และเป็นภริยาของแม่ทัพจ้าวผู้ล่วงลับไปแล้ว ผู้คนต่างแสดงความเคารพนับถือ จึงยกย่องด้วยการเรียกนางว่าจ้าวฮูหยิน