ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - บทที่ 361 บททดสอบของจักรพรรดิหนิง
แม้จะรอมาเกือบ 2 ชั่วยาม แต่หลิ่วหยินเฟิงหาได้แสดงท่าทางร้อนใจไม่ เขาสวมชุดสีคราม นั่งสงบนิ่งอยู่ในห้องโถง มือของเขาวางไว้บนฝาถ้วยน้ำชา ท่าทางเหมือนกำลังครุ่นคิดบางสิ่งบางอย่าง
พลันได้ยินเสียงคนเดินมา เขาจึงหันไปมอง และได้พบกับหยุนชาง เขามองสำรวจหยุนชางอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นและทำการคารวะ “พระชายา”
หยุนชางพยักหน้า แล้วเดินไปนั่งที่เก้าอี้ตำแหน่งหลัก “ขออภัยที่ให้ท่านกุนซือหลิ่วรอนาน”
หลิ่วหยินเฟิงได้ยินดังนั้นก็ส่ายหน้า เขาหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมา แล้วเอ่ยว่า “พระองค์มักจะตื่นบรรทมสายอยู่บ่อยครั้ง หม่อมฉันทราบพ่ะย่ะค่ะ”
คำพูดนั้นทำเอาหยุนชางทำตัวไม่ถูก เมื่ออยู่ที่จวนของหลิ่วหยินเฟิง นางตื่นสายดังเช่นที่เขาพูด วันแรกพ่อบ้านหลิ่วได้ยกสำรับเช้ามาให้นาง นางก็ได้บอกพ่อบ้านหลิ่วว่าไม่จำเป็นต้องยกมาเช้าเช่นนี้ เพราะจะทำให้นางตื่น หลังจากวันนั้น พ่อบ้านหลิ่วก็ไม่ยกสำรับเช้าเข้าไปให้อีก ตอนแรกนางก็คิดว่าหลิ่วหยินเฟิงคงจะยุ่งอยู่แต่กับภารกิจของกุนซือประจำกองทัพ คงไม่มีเวลามาสอดส่องเรื่องชีวิตประจำวันของนาง คิดไม่ถึงเลยว่า เขาจะรู้แม้กระทั่งเรื่องการตื่นนอน
แต่ว่า……ในเมื่อเขาเองก็รู้อยู่แล้ว เหตุใดจึงยังจะมาพบนางแต่เช้าเช่นนี้?
“หม่อมฉันไม่คาดคิดมาก่อนเลย ว่าพระองค์จะเป็นพระชายาของจิ้งอ๋อง วันนั้นพระองค์คงจะเสด็จไปที่หุบเขาชิงเฟิงเพื่อลงสำรวจพื้นที่ พระองค์จึงได้เข้าใจลักษณะพืชพรรณแถบนั้นเป็นอย่างดี” หลิ่วหยินเฟิงพูดเสียงเรียบในขณะที่สายตาจับจ้องไปที่ภาพดอกเหมยบนถ้วยน้ำชา
หยุนชางยิ้ม “เป็นดังเช่นที่ท่านกุนซือหลิ่วคิด”
หลิ่วหยินเฟิงเงยหน้าขึ้นมา เขามองไปที่หญิงสาวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตำแหน่งหลัก เมื่อครั้งที่นางปลอมตัวเป็นผู้ชาย นางทำทุกอย่างได้แนบเนียนมาก ไม่มีผู้ใดสามารถจับพิรุธนางได้เลยแม้แต่น้อย เขาเองก็ไม่เคยสงสัยนางมาก่อน ในตอนนี้ได้เห็นนางแต่งกายตามแบบของสตรี ทำให้เขารู้สึกว่าหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้านั้นช่างสวยสดงดงาม กิริยาดี วาจาอ่อนหวาน ต่างกับตอนที่นางปลอมตัวเป็นชายลิบลับ
การพบหน้ากันที่หอยวี่หมั่นชั้นบนในวันนั้น เขาเพียงแค่ประหลาดใจที่นางหน้าตาเหมือนเซียวหยุนมาก แต่ไม่เคยเอะใจเลยว่านางก็คือเซียวหยุนนั่นเอง
อีกอย่าง สายตาที่นางมองมาตอนอยู่ในห้องทานอาหารก็เหมือนสายตาของเซียวหยุนมาก คนทั้งสองมีกลิ่นหอมติดกายเหมือนกัน และมีสายตาเหมือนกัน
ด้วยเหตุนี้ หลังจากที่เขาเดินออกมาได้ครึ่งทางแล้ว เขาจึงฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้แล้วย้อนกลับไปอีกครั้ง
“ตอนนั้นด้วยความจำเป็นเรื่องฐานันดรศักดิ์ ข้าจึงหลอกลวงท่านกุนซือหลิ่ว แต่ท่านกุนซือหลิ่วจิตใจกว้างขวาง คงจะไม่ถือโทษโกรธเคือง” หยุนชางพูดจบแล้วยิ้มออกมา
หลิ่วหยินเฟิงไม่ตอบ แต่กลับตั้งคำถาม “พระองค์เป็นผู้ทำลายกองกำลังที่อยู่ด้านนอกใช่หรือไม่?”
หยุนชางได้ฟังก็นิ่งไปชั่วครู่ จากนั้นนางก็ส่ายหน้า “หลังจากที่ท่านพาเหล่าทหารออกไปกันแล้ว ข้าต้องการที่จะฝ่าวงล้อม แต่ก็มิอาจทำได้สำเร็จ ข้าบาดเจ็บสาหัส ท่านอ๋องเป็นคนมาช่วยข้าไว้……”
หลิ่วหยินเฟิงนิ่งไปสักพัก หลังจากนั้นจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ “เป็นเช่นนี้นี่เอง”
หยุนชางยิ้ม “ที่ท่านกุนซือหลิ่วมาในวันนี้ คงจะไม่ใช่มาพูดเพียงเรื่องในอดีตที่ผ่านมากับข้ากระมัง?”
หลิ่วหยินเฟิงมองหน้าหยุนชาง แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ที่หม่อมฉันมาในวันนี้ก็เพราะเรื่ององค์รัชทายาทของหม่อมฉัน เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้คงจะมีการเข้าใจผิด……”
“งั้นหรือ?” หยุนชางเลิกคิ้ว “ข้าเป็นชายาของจิ้งอ๋อง ข้ารู้แต่เพียงว่าเมื่อคืนนี้องค์รัชทายาทของท่านได้ส่งคนมาจี้รถม้าของพวกเรา แล้วนำพวกเราไปยังตรอกที่เปลี่ยว หมายที่จะทำการสังหาร ข้าไม่รู้ว่าจะเป็นการเข้าใจผิดอย่างไรได้ แต่ว่า หากเป็นการเข้าใจผิดจริง ศาลต้าหลี่จะช่วยยืนยันความบริสุทธิ์ให้องค์รัชทายาทของท่านเอง กุนซือหลิ่วอย่ากังวลไปเลย”
เมื่อหลิ่วหยินเฟิงได้ฟังก็เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยว่า “ในเมื่อพระชายาตรัสเช่นนี้แล้ว เช่นนั้นหม่อมฉันคงต้องขอทูลลา องค์รัชทายาททรงฝากความห่วงใยมายังพระชายาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
หยุนชางรู้สึกแปลกใจ ดูเหมือนว่าหลิ่วหยินเฟิงจะมาเพื่อพูดเรื่องในอดีตกับนาง ส่วนเรื่องของเซี่ยโหเหยียนคงเป็นเรื่องที่เขายกมาพูดกระทันหัน แต่นางก็ยังคงยิ้มให้เล็กน้อย แล้วเรียกพ่อบ้านที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูห้องโถงเข้ามา “พ่อบ้าน ช่วยไปส่งท่านกุนซือหลิ่วที”
เมื่อส่งหลิ่วหยินเฟิงเสร็จแล้ว หยุนชางยืนอยู่ที่ประตูห้องโถงสักพัก ก็เห็นเฉี่ยนอินเดินมา ทุกๆเช้า เฉี่ยนอินจะไปรับฟังข่าวคราวจากเหล่าสายลับ แล้วเก็บรวบรวมมารายงานต่อหยุนชาง
“พระชายาเพคะ หม่อมฉันได้ถามเฉียนสุ่ยมาแล้ว นางบอกว่าปิ่นพวงแก้วนั่นถูกหญิงสวมผ้าคลุมหน้าซื้อไปแล้ว นางเห็นไม่ชัดว่าเป็นผู้ใด แต่ดูจากรูปร่างและท่าทางการเดินแล้ว คงเป็นหญิงสาวอายุราวๆ 20 ปีเพคะ” เฉี่ยนอินรายงานเสร็จก็นิ่งไปสักพัก แล้วจึงพูดอีกเรื่องขึ้นมา “หลายวันมานี้ จิ่งเหวินซีมักจะไปที่หอของเฉียนสุ่ยในช่วงบ่าย และจะอยู่ที่นั่นราวๆ 1 ชั่วยามจึงจะออกมาเพคะ”
หยุนชางพยักหน้า หญิงสาวอายุประมาณ 20 กว่า จะเป็นจิ่งเหวินซีหรือเปล่านะ หัวจิ้งก็เพิ่งจะกลับวังไปได้ไม่นาน คงจะไม่ใช่ แล้วจะเป็นผู้ใดล่ะ?
จิ่งเหวินซีไปที่หอของเฉียนสุ่ยทุกวัน นางกับหัวจิ้งกำลังหารือเรื่องใดกันอยู่นะ? หยุนชางแสยะยิ้ม ไม่ว่าจะเป็นการหารือเรื่องใดก็ตาม ก็คงจะไม่มีเรื่องไหนที่ดีต่อหยุนชางเป็นแน่ ผู้หญิงสองคนนั้นไม่ใช่คนใจดี ตอนนี้คงต้องหาทางป้องกันตัวเสียแล้ว สมัยก่อนนางเคยถูกหัวจิ้งทำร้าย แต่ว่าตอนนี้ นางมีพัฒนาการขึ้นมาก ทั้งยังผ่านชีวิตทรหดในสนามรบมาแล้ว นางมองสถานการณ์ทุกอย่างได้ครอบคลุมมากขึ้น หัวจิ้งคิดจะเล่นงานนางงั้นหรือ งานนี้เห็นทีจะยาก!
“ประเดี๋ยวเช้านี้ข้าจะไปดูด้วยตัวเอง” หยุนชางเอ่ยแล้วจึงลุกขึ้น
ยังไม่ทันเดินออกจากห้องโถง ในวังก็มีคำสั่งมาให้ทูลเชิญพระชายาจิ้งอ๋องเสด็จกลับวัง หยุนชางพยักหน้า แล้วหันไปพูดกับเฉี่ยนอิน “เจ้าไม่ต้องตามข้าเข้าวังไปนะ ไปกราบทูลจิ้งอ๋องด้วย หลังจากนั้นก็ไปจัดการธุระเรื่องหนึ่งให้ข้า”
เมื่อเฉี่ยนอินได้ยินดังนั้น ก็รีบเงี่ยหูมาใกล้ๆหยุนชาง ฟังสิ่งที่หยุนชางสั่ง นางผงกหัวแล้วเดินออกไป
เมื่อมาถึงตำหนักฉินเจิ้งแล้ว ในตำหนักฉินเจิ้งมิได้มีเพียงแค่จักรพรรดิหนิง จิ่งขุยก็อยู่ที่นั่นด้วย หยุนชางเดินเข้าไปถวายบังคม จักรพรรดิหนิงทรงเรียกให้นางลุกขึ้น นางจึงลุกขึ้นแล้วยืนอยู่เงียบๆ
จักรพรรดิหนิงและจิ่งขุยกำลังหารือกันเรื่องพระราชพิธีแต่งตั้งฮองเฮา หยุนชางฟังอยู่ครู่หนึ่งจึงรู้ว่าเนื่องจากรองเจ้ากรมพิธีการเป็นพี่ชายของหย่าผิน จึงไม่อาจเตรียมงานพระราชพิธีแต่งตั้งฮองเฮาได้ จิ่งขุยจึงได้เข้ามารับผิดชอบ แล้วเขาก็เดินออกไปเตรียมงาน
หยุนชางเห็นรูปร่างที่ค่อนข้างท้วมของจิ่งขุย นางเขยิบตัวเพื่อหลีกทางให้เขาเดิน นางรู้สึกขันเล็กน้อย บางที นี่อาจจะเป็นบททดสอบชนิดหนึ่ง เป็นบททดสอบที่จักรพรรดิหนิงใช้ทดสอบจิ่งขุย หลิวฉีเหยียน รวมไปถึงตัวหยุนชางเองด้วย
จิ่งขุยและจิ่งเหวินซีคิดแผนการไว้ร้อยแปดพันเก้า ใช้เล่ห์เหลี่ยมต่างๆนานา จนกระทั่งเขาได้รั้งตำแหน่งมหาเสนาบดี แล้วยังผลักดันให้จิ่งเหวินซีได้ขึ้นเป็นฮองเฮา เกรงว่าสิ่งที่จิ่งขุยคิด คือการได้มาซึ่งตำแหน่งองค์รัชทายาท เลือดเนื้อเชื้อไขที่เป็นชายของจักรพรรดิหนิงในตอนนี้ก็มีเพียงองค์ชายเฉินซีผู้เดียว หามีผู้ใดมีสิทธิ์ในราชบัลลังก์ได้อีก แต่หากจิ่งเหวินซีได้เข้าวังมา แล้วให้กำเนิดบุตรชายล่ะก็……
แต่สิ่งที่จิ่งขุยลืมคิดไปก็คือ เขาไม่คิดว่าหยุนชางจะเข้ามายุ่งเกี่ยวในเรื่องนี้ด้วย ในพิธีบวงสรวงวันนั้น เห็นว่าปรมาจารย์ลัทธิเต๋าหลิงซวีและเจ้าอาวาสอู๋น่าได้เอ่ยคำทำนายไว้อย่างเดียวกัน เมื่อมาพิจารณาดูแล้ว จึงรู้ว่าหยุนชางน่าจะเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง เจ้าอาวาสอู๋น่าเป็นคนของหยุนชาง ส่วนปรมาจารย์ลัทธิเต๋าหลิงซวีนั่นก็น่าจะทำตามเขา ถือได้ว่าเป็นคนของหยุนชางเช่นเดียวกัน
จิ่งขุยรู้สึกว่าตัวเองคิดผิดที่ได้ให้ปรมาจารย์ลัทธิเต๋าหลิงซวีมาทำการทำนาย น่าเสียดายที่เรื่องราวได้เลยเถิดมาถึงขั้นนี้แล้ว