ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - บทที่ 363 เวรกรรมตามสนอง
“เวรกรรมตามสนอง……” หยุนชางแสยะยิ้ม นางพูดคำนี้ขึ้นมาในใจ คงเป็นดั่งเช่นที่เสด็จแม่ตรัส ทุกอย่างคงเป็นเวรกรรมตามสนอง ชาติที่แล้วแม้ตนจะเอาแต่ใจไปบ้าง แต่ก็ไม่เคยคิดร้ายกับผู้ใด แต่ตนกลับต้องมาเห็นลูกตายไปต่อหน้า แถมยังถูกลอบวางยาพิษ เวรกรรมย้อนคืนมาสนองแล้ว ชาติปัจจุบัน นางมาเพื่อเอาคืนคนที่ทำให้นางต้องเจ็บปวด
“หากหนิงหัวจิ้งจะยังยินยอมเป็นนางบำเรอขององค์รัชทายาทนั่นต่อไปก็คงต้องสุดแล้วแต่นาง หม่อมฉันกำลังคิดว่าการที่ชางเจียคังหนิงเจาะจงมาเล่นงานหม่อมฉันจะมีนางคอยอยู่เบื้องหลัง หม่อมฉันได้ยินมาว่าหลังจากที่นางเข้ามาในวัง ก็ได้ลงมือทำอะไรลงไปหลายอย่าง จิ่งเหวินซีก็อยู่ฝ่ายเดียวกับนาง หม่อมฉันเป็นศัตรูของพวกนางทั้งสองเพคะ” หยุนชางแอบถอนหายใจ
จิ่นกุ้ยเฟยได้ฟังแล้วก็เป็นกังวล นางกุมมือหยุนชางเอาไว้ “เช่นนั้นช่วงนี้เจ้าจงระมัดระวังตัวไว้เป็นพิเศษ ในวังหลวงมีอันตรายอยู่รอบด้าน ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องตกเป็นเหยื่อของผู้ใด หากมีคนทำร้ายเจ้าล่ะก็ เจ้าก็อย่าได้หวั่นเกรงต่อศัตรู องค์หญิงหัวจิ้งแม้จะเป็นองค์หญิงแห่งแคว้นหนิง แต่กลับทำตัวไร้ค่า เจ้าอย่าได้ใส่ใจนางเลย……”
เดิมทีหยุนชางก็ไม่คิดที่จะปิดบังจิ่นกุ้ยเฟย จิ่นกุ้ยเฟยเป็นคนที่นางไว้ใจท่ามกลางสถานที่อันตรายแห่งนี้ แต่หยุนชางก็ไม่อยากทำให้นางต้องลำบาก เพราะถึงอย่างไร หนิงหัวจิ้งก็ยังคงเป็นสายพระโลหิตของเสด็จพ่อ ส่วนจิ่นกุ้ยเฟยนั้น เป็นเพียงสนมวังหลังนางหนึ่งเท่านั้น
“ชางเอ๋อร์ทราบแล้วเพคะ ชางเอ๋อร์จัดการได้เพคะ” หยุนชางยิ้มแล้วเดินเข้าไปหาจิ่นกุ้ยเฟย นางซบไปที่บ่าของจิ่นกุ้ยเฟย แล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ “ตั้งแต่กลับเข้าวังมา หม่อมฉันก็ไม่ค่อยได้ใช้เวลาร่วมกันกับเสด็จแม่ ตอนนี้ก็ยังมาเกิดเรื่องขึ้นกับจิ้งอ๋องอีก เกรงว่าหลังจากนี้หม่อมฉันจะยิ่งไม่ค่อยมีเวลามาอยู่ดูแลเสด็จแม่เพคะ”
จิ่นกุ้ยเฟยก้มหน้าแล้วยิ้ม “ข้าต่างหากที่รู้สึกว่าทำไม่ดีต่อเจ้า สิบกว่าปีมานี้เจ้าต้องลำบากมาไม่น้อย จิ้งอ๋องดูแลเอาใจใส่เจ้าเป็นอย่างดี แต่ว่า……” จิ่นกุ้ยเฟยครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ครู่หนึ่ง พลันรอยยิ้มของนางก็ดูเป็นรอยยิ้มที่ขื่นขม “หากจิ้งอ๋องกลับแคว้นเซี่ยไปแล้วได้เป็นฮ่องเต้องค์ใหม่ ข้ากลัวว่าเจ้า ไปอยู่ที่นั่นแล้วคงมีเรื่องให้ต้องต่อสู้อยู่ไม่น้อยเลย”
หยุนชางสลด แล้วนางก็ได้ยินจิ่นกุ้ยเฟยเอ่ยว่า “หากอยู่ที่แคว้นหนิง ข้ากับเสด็จพ่อของเจ้ายังคงดูแลคุ้มครองเจ้าได้ หากเจ้าไปอยู่ที่แคว้นเซี่ย ระยะทางห่างไกลกันเหลือเกิน คงจะส่งความห่วงใยไปได้เพียงใช้ใจ แต่แค่ใช้ใจคงดูแลเจ้าได้ไม่มากเท่าที่ควร”
“เสด็จแม่วางพระทัยเถิดเพคะ หม่อมฉันหาใช่คนอ่อนแอ หากท่านอ๋องรังแกหม่อมฉัน หม่อมฉันไม่มีวันยอมเป็นอันขาดเพคะ” หยุนชางกลัวจิ่นกุ้ยเฟยจะคิดมาก จึงรีบตอบไปแบบนั้นเพื่อให้นางคลายความกังวล สีหน้าแสดงท่าทีมาดมั่น
จิ่นกุ้ยเฟยเห็นนางมีท่าทีมาดมั่นเช่นนั้นก็ยิ้มออกมา นางเอ่ยกับหยุนชางว่า “เช่นนั้นก็ได้”
หยุนชางเห็นแม่นมเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เฉินซีและอุ้มเข้ามาให้ นางก็เดินเข้าไปรับ นางมองเด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมอก นางยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน “ดูท่าทางเฉินซีแล้ว คงจะเฉลียวฉลาดไม่น้อยเลยนะเพคะ หวังว่าเฉินซีของพวกเราโตขึ้นมาจะไม่ดื้อนะ ห้ามทำให้เสด็จแม่ไม่สบายพระทัยเด็ดขาด รู้ไหม……”
จิ่นกุ้ยเฟยเห็นท่าทีอุ้มเด็กอย่างเชี่ยวชาญของหยุนชางก็แอบแปลกใจอยู่เล็กน้อย จากนั้นนางก็ทำตัวปกติ นางยิ้มและมองไปที่เฉินซี “น้องยังเล็กอยู่เลย จะไปฟังเจ้ารู้เรื่องได้อย่างไร”
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรล่ะเพคะ? เฉินซีของพวกเราเป็นคนฉลาด เขาต้องฟังเรารู้เรื่องสิเพคะ” หยุนชางเห็นแววตาสดใสไร้เดียงสาของเฉินซี ก็ทำให้นางรู้สึกสุขใจ นางลูบไปที่แก้มนุ่มๆของเฉินซี แล้วพูดเบาๆ “รอให้เฉินซีโตกว่านี้อีกสักหน่อย เราให้รองเจ้ากรมพิธีการหลิวฉีเหยียนพี่ชายของหย่าผินมาเป็นผู้ดูแลคนสนิทของเฉินซีดีไหมเพคะ หลิวฉีเหยียนแม้จะอายุยังน้อย แต่ก็เป็นคนมีความสามารถรอบด้าน ท่านตาเองก็ยังเคยชมเขาอยู่ไม่ขาดปาก”
เมื่อจิ่นกุ้ยเฟยได้ฟังก็จ้องมองมายังหยุนชางอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงยิ้ม “ในเมื่อเจ้าให้ความไว้วางใจเขาเช่นนี้ก็เป็นเรื่องที่ดี ใต้เท้าหลิวเป็นสุดยอดจอหงวน หากหย่าผินได้ขึ้นเป็นฮองเฮาแล้ว ก็คงจะเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาอีกไม่น้อย รออีก 3-4 ปี ให้มาเป็นอาจารย์ของเฉินซีก็คงจะดี”
หยุนชางเห็นจิ่นกุ้ยเฟยไม่ขัดข้องอะไรก็รู้ว่านางคงกำลังคิดอะไรอยู่ในภายในใจ แต่หยุนชางก็หาได้พูดอะไรต่อไม่ นางก้มหน้าไปหยอกเฉินซีอย่างสนุกสนาน
หลังพระกระยาหารเที่ยง หยุนชางอยากจะไปสืบว่าเหตุใดจิ่งเหวินซีจึงต้องไปที่หอเฉี่ยงซิงอยู่บ่อยๆ นางจึงทูลลาจิ่นกุ้ยเฟย หยุนชางอุ้มเฉินซีอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะออกไปก็นำเฉินซีส่งคืนให้จิ่นกุ้ยเฟย จิ่นกุ้ยเฟยอุ้มเฉินซีไว้ แล้วมองหยุนชางเดินออกไปด้านนอก นางคิดบางอย่างอยู่ในใจ เมื่อเจิ้งมามาส่งหยุนชางออกไปด้านนอกตำหนักแล้ว นางก็พูดเบาๆ “ท่าทางของชางเอ๋อร์ดูจะรักเด็กมาก แต่ว่านางในตอนนี้ดูจะยังไม่เหมาะที่จะมีลูก คงต้องหาโอกาสเตือนนางเสียหน่อยแล้ว……”
เจิ้งมามาเห็นจิ่นกุ้ยเฟยมีท่าทีเป็นกังวล นางส่ายหน้าแล้วพูดว่า “พระสนมมักจะพูดอยู่บ่อยๆว่า การเป็นห่วงที่มากเกินไปมักนำผลเสียมาให้ ตอนนี้พระองค์ทรงดูกังวลเป็นอย่างมาก ใครหลายๆคนต่างก็ชื่นชมในตัวองค์หญิง บอกว่าองค์หญิงทรงเฉลียวฉลาด ฮ่องเต้เองก็ทรงชมในทำนองเดียวกัน แม้แต่พระสนมเองก็คงจะรู้สึกเช่นนั้นอยู่บ้างใช่หรือไม่เพคะ สิ่งที่พระสนมทรงคิด เชื่อว่าองค์หญิงจะสามารถเข้าใจได้เป็นอย่างดีเลยเพคะ”
จิ่นกุ้ยเฟยยิ้มฝืนๆ “เด็กคนนี้ ข้าไม่ค่อยได้ทำหน้าที่แม่ที่ดีให้กับนางเลย” นางครุ่นคิดแล้วเอ่ยต่อไปว่า “ข้าจำได้ว่าสมัยตอนเป็นเด็ก มีลูกคหบดีของแคว้นเซี่ยคนหนึ่งหมายปองข้า เขาดูเป็นคนมีหน้ามีตาในสังคม เจิ้งมามายังจำได้หรือไม่?” ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาจะเป็นอย่างไรบ้างแล้ว เห็นที ข้าคงต้องเขียนจดหมายไปให้เขาสักฉบับ ฝากให้เขาช่วยดูแลชางเอ๋อร์แทนข้าด้วย
คิดได้ดังนั้นแล้วก็นำองค์ชายน้อยส่งให้เจิ้งมามา แล้วรีบไปหยิบกระดาษ น้ำหมึก และแท่งฝนหมึก ในขณะที่กำลังจะลงมือเขียน นางก็หยุดชะงักไปชั่วครู่ เจิ้งมามาเตือนนางเบาๆว่า “พระสนมเพคะ อย่าทรงลืมนะเพคะว่าพระองค์เป็นถึงพระสนมของแคว้นหนิง หากฮ่องเต้ทรงทราบเรื่องนี้เข้า จะเป็นเรื่องใหญ่เอาได้นะเพคะ อีกอย่าง คุณชายตระกูลเจิ้งท่านนั้นคงจะแต่งงานไปและมีลูกแล้วหลายคน พระองค์จะยังคงเขียนจดหมายไปหาเขาอยู่อีกหรือเพคะ……”
แต่ก็รู้ดีว่าจิ่นกุ้ยเฟยเป็นห่วงหยุนชางมาก จึงได้แต่ถอนหายใจ
หยุนชางไม่เคยรับรู้เรื่องนี้มาก่อน เมื่อกลับจวนมาแล้ว นางก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า พูดคุยกับจิ้งอ๋องอยู่สักพัก จากนั้นจึงมุ่งหน้าไปที่หอเฉี่ยงซิง จิ้งอ๋องรู้สึกไม่ค่อยวางใจ ที่หอเฉี่ยงซิงนั้น เขาจำได้ว่ามีการคุ้มกันที่แน่นหนามาก ยิ่งในตอนนี้องค์รัชทายาทแห่งแคว้นเย้หลางก็ประทับอยู่ที่นั่น คงจะมียอดฝีมือคอยอารักขาคุ้มกันอยู่ไม่ห่าง เขาจึงตัดสินใจไปเป็นเพื่อนหยุนชาง
เมื่อก้าวออกจากประตูมาก็พบว่ามีหิมะตก หยุนชางได้มาถึงประตูหลังของหอเฉี่ยงซิงแล้ว หิมะค่อยๆกองพะเนินสูงขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างที่ยินอยู่ที่ประตูหอเฉี่ยงซิง หยุนชางจึงได้รู้ว่า ข่าวที่เฉี่ยนอินได้ฟังมาเป็นเรื่องจริง หอเฉี่ยงซิงมียอดฝีมือคอยอารักขาคุ้มกันอยู่มากมาย จิ้งอ๋องนั่งรออยู่ที่โต๊ะใกล้ๆ เขารินน้ำชาไว้ถ้วยหนึ่ง สายตาจับจ้องไปที่ประตูเล็กๆที่ปิดสนิท “ในนั้นมีผู้มีวิทยายุทธชั้นสูงอยู่ 24 คน ส่วนผู้มีวิทยายุทธระดับกลาง มีอยู่ 72 คน”
หยุนชางได้ฟังดังนั้นแล้วก็ขมวดคิ้ว หากเป็นดังเช่นที่จิ้งอ๋องพูดจริง โอกาสที่จะเข้าไปสืบความลับภายในนั้นได้คงจะมีน้อยเต็มที