ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - บทที่ 370 เปิดโปง
“โอ้?” หยุนชางเลิกคิ้วขึ้น “ผู้ใครกันที่มิรู้ว่าช่วงนี้เสด็จพ่อและหย่าผินกำลังถือศีลอด ใครกันที่กล้าบังอาจได้เยี่ยงนี้” พูดจบ สายตานางก็มองชามโจ๊กที่วางบนโต๊ะข้างจักรพรรดิหนิง “นี่คือชามโจ๊กที่มีเนื้อสับหรือเพคะ เสด็จพ่อ ขอชางเอ๋อร์ดูหน่อยได้ไหมเพคะ?”
สายพระเนตรจักรพรรดิหนิงครุ่นคิดบางอย่าง หยุดชั่วครู่ และพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ลองดูสิ”
หยุนชางยิ้ม แล้วยกชามโจ๊กขึ้นมาดม มีกลิ่นเนื้อจางๆ ที่มีกลิ่นคล้ายปลา หลังจากกวนด้วยช้อนแล้ว ก็พบว่าชามโจ๊กผสมกับเม็ดสีขาวเล็กๆ ซึ่งเกือบจะเหมือนกับปลาสับ
หยุนชางวางชามโจ๊กลง ยิ้มและกล่าวว่า “ถึงแม้จะไม่ใช่ปัญหาใหญ่ การถือศีลอดนี้ ถ้าจิตใจเรามุ่งมั่นก็เพียงพอแล้วเพคะ เพียงแต่ว่าจงใจสร้างปัญหาในวังขณะที่จะมีพิธีแต่งตั้งฮฮงเฮานั้น สิ่งนี้ไม่ว่ายังไง ก็มิอาจให้อภัยได้เพคะ”
จักรพรรดิหนิงพยักหน้า “เจิ้นก็คิดเยี่ยงนี้เหมือนกัน”
ขณะที่ทรงตรัสอยู่นั้น ทหารองครักษ์ก็ดึงมามาคนหนึ่งเดินเข้ามาจากด้านนอก เมื่อเห็นจักรพรรดิหนิงประทับอยู่ในห้อง มามาก็ตื่นตระหนก ขาของนางอ่อนแรง เกือบจะล้มลงพื้น
“ทูลฝ่าบาท นี่คือมามาที่รับผิดชอบเตาไฟในห้องเครื่องพ่ะย่ะค่ะ” ทหารองครักษ์รายงาน
จักรพรรดิหนิงขมวดคิ้วเล็กน้อย “มามาที่ดูแลเตาไฟหรือ ในเมื่อดูแลเตาไฟในห้องเครื่องก็คงจะอยู่ในห้องเครื่องตลอดสินะ?”
มามาคนนั้นรีบพูด “เพคะ… เพคะ…… หม่อมฉันอยู่ตลอด”
“เช่นนั้นจำได้ใช่ไหม ว่าตอนที่ทำโจ๊กในคืนนี้ ใครเคยเข้าใกล้ รายงานทีละคน” จักรพรรดิหนิงยกถ้วยน้ำชาขึ้นมา ดวงพระเนตรของพระองค์มีความเย็นชา
มามาตัวสั่นและพูดอย่างรวดเร็วว่า “หม่อมฉัน…หม่อมฉันลืมไปแล้วเพคะ… ความทรงจำของหม่อมฉันไม่ดีเพคะ…” น้ำเสียงของนางมีความตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด
“หืม ลืม?” จักรพรรดิหนิงยิ้ม และเสียงของพระองค์ก็เย็นลงเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม จักรพรรดิหนิงอยู่ในตำแหน่งสูงส่งมาหลายปีแล้ว และเขารู้วิธีที่จะทำให้คนเลิกต่อต้านในเวลาอันสั้น
ดูเหมือนมามาจะตื่นกลัว จู่ๆร่างของนางก็สงบลง ครู่หนึ่งนางก็พูดว่า “หม่อมฉันจำได้แล้วเพคะ จำได้แล้ว เจิ้งมามา เจิ้งมามาที่อยู่ข้างกายจิ่นกุ้ยเฟยเคยมา โดยบอกว่าจิ่นกุ้ยเฟยยุ่งจนมิได้เสวยอะไรในมื้อเย็น เห็นโจ๊กต้มในหม้อ เลยตักใส่ชามใบเล็กไปเพคะ”
จักรพรรดิหนิงยิ้มอย่างเย็นชา และมองไปที่เจิ้งมามาที่ยืนนิ่งสงบอยู่ข้างๆ “เจิ้งมามา มีเรื่องเช่นนี้?”
เจิ้งมามาไม่มีท่าทีตื่นตระหนก นางเพียงพยักหน้าเบาๆ “มีเรื่องเช่นนี้จริงเพคะ ตอนที่กุ้ยเฟยเสวยมื้อเย็นอยู่นั้น มามาที่ดูแลหอพระราชสมบัติมาขอเข้าเฝ้า โดยมาขอให้กุ้ยเฟยช่วยยืนยันมงกุฎฟีนิกซ์ของฮองเฮาในพิธีแต่งตั้งฮองเฮาเพคะ เหนียงเหนียงจึงสั่งให้คนเก็บเครื่องเสวยไปหมด และหม่อมฉันเห็นว่า เหนียงเหนียงมิได้เสวยอะไรมาก รอเหนียงเหนียงทรงงานเสร็จก็ไปที่ห้องเครื่อง และเห็นว่ากำลังต้มโจ๊กอยู่ เลยตักใส่ชามกลับมาเล็กน้อย แต่ทว่า เหนียงเหนียงมิได้เห็นว่า ในโจ๊กมีเนื้อแต่อย่างใดเพคะ”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เจิ้งมามาพูดอีกครั้ง “มามาคนนี้คือสงสัยว่าหม่อมฉันใส่เนื้อสับลงในโจ๊กหรือไม่? นางกำนัลก่อนหน้านี้ก็กล่าวแล้วว่า เนื่องจากมีการถือศีลอด ช่วงนี้ในวังจึงไม่มีการส่งเนื้อเข้ามาจากนอกวัง แล้วหม่อมฉันจะไปเอาเนื้อมาจากไหน?”
มามาเงียบไปครู่หนึ่ง แต่ส่ายหัว “ข้อนี้หม่อมฉันมิทราบเพคะ แต่ไม่รู้ว่าเนื้อในโจ๊กเป็นเนื้ออะไร?”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น หยุนชางเลิกคิ้ว ยิ้มเงียบๆ แล้วหันไปหาจักรพรรดิหนิงว่า “เมื่อพูดถึงการพิสูจน์เนื้อ หลายคนคิดว่าพ่อครัวมเก่งที่สุด แต่ชางเอ๋อร์คิดว่า หมอหลวงเป็นผู้เก่งกว่า ให้หมอหลวงมาตรวจดูจะดีไหมเพคะ?”
จักรพรรดิหนิงไม่รู้ว่าหยุนชางมีความคิดอะไร แต่ก็ทรงเห็นว่าหยุนชางกับจิ่นกุ้ยเฟยไม่มีความตื่นตระหนกใดๆ แม้แต่เจิ้งมามาที่เป็นแค่นางกำนัลก็เช่นกัน แลดูนิ่งสงบมาก และรู้ว่านางต้องมีความมั่นใจมิใช่น้อย จึงพยักหน้าและตรัสว่า “ความคิดของชางเอ๋อร์ช่างแปลกใหม่ เช่นนั้น ก็ให้หมอหลวงมาพิสูจน์ดู”
เมื่อหยุนชางกล่าวถึงหมอหลวงก่อน สีหน้าของมามาดูจะเคลื่อนไหวเล็กน้อย และมีแสงแวบวาบในดวงตาของนาง หยุนชางรู้ว่าตนเดาถูกแล้ว รอยยิ้มที่มุมปากก็เผยความเย็นชา
ไม่นานหมอหลวงก็เข้ามา จักรพรรดิหนิงไม่รอช้า ให้หมอหลวงก้าวขึ้นมายังด้านหน้า ยกชามโจ๊กให้ และตรัสว่า “ตรวจดูสิว่า เนื้อในชามนี้เป็นเนื้ออะไร”
หมอหลวงดูเหมือนจะผงะกับคำสั่งเช่นนี้ ผงะไปครู่หนึ่ง พอได้สติคืนมา ก็รีบรับชามมาดมกลิ่น แล้วหยิบช้อนตักขึ้นมาเพื่อดูใกล้ๆ
จักรพรรดิหนิงมองไปที่การกระทำของหมอหลวง ดูเหมือนจะสอดคล้องกับการกระทำของหยุนชางมากในเมื่อครู่ พระทัยมีความสั่นไหว หันไปหาหยุนชาง เป็นไปได้ไหมว่านางก็มีทักษะทางการแพทย์? เป็นเพียงการคาดเดา มิอาจสรุปได้ ธิดาองค์นี้ ทำให้ตัวพระองค์เองประหลาดใจหรือตกใจมากเกินไปแล้ว พระองค์ไม่เคยรู้มาก่อน เหมือนกับวันนั้นที่งานเลี้ยงในวัง พระองค์ไม่เคยรู้เลยว่านางมีทักษะการยิงธนูที่ดีเช่นนี้
หมอหลวงรุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันเดาว่าเนื้อในชามนี้ ควรจะเป็นเนื้อปลากะพงพ่ะย่ะค่ะ”
“ปลากะพง?” จักรพรรดิหนิงขมวดคิ้ว “ไม่มีการส่งปลากะพงมาจากนอกวัง และในวังก็มิได้ไม่เลี้ยงปลากะพง ปลากะพงนี้มาจากไหน”
หมอหลวงพูดอย่างรวดเร็ว “ในสำนักหมอหลวงมีปลากะพงที่ตากแห้งและบดเป็นเนื้อละเอียดพ่ะย่ะค่ะ”
“โอ้ ปลากะพงสามารถใช้เป็นยาได้ด้วยหรือ?” จักรพรรดิหนิงขมวดคิ้ว
หมอพยักหน้า “ปลากะพงสามารถบำรุงอวัยวะภายในทั้งห้าได้ เป็นประโยชน์ต่อกล้ามเนื้อและกระดูก ลำไส้และกระเพาะอาหาร บำรุงครรภ์ บำบัดน้ำและลมในร่างกาย และเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ทานด้วยพ่ะย่ะค่ะ โรงขายยาทั่วไปมีขายเนื้อปลากะพงแห้งบดพ่ะย่ะค่ะ”
“บำรุงครรภ์?” จักรพรรดิหนิงขมวดคิ้ว แววพรเนตรของเขาเย็นชาขึ้นมาทันใด
ช่วงที่ผ่านมาผู้ที่ใช้เนื้อปลากะพงไม่จำเป็นต้องสืบค้น เป็นคนเดียวก็คือจิ่นกุ้ยเฟย ที่แท้กับดักนี้ถูกฝังอยู่ในจุดนี้
จักรพรรดิหนิงเงยหน้าขึ้นมองจิ่นกุ้ยเฟย เห็นว่าสีหน้าของนางยังคงสงบ ราวกับนางไม่แม้แต่จะกังวลใดๆ แล้วหันไปมองหยุนชาง สีหน้าของหยุนชางกลับเผยรอยยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นสัมผัสได้ถึงความเย็นชา
จักรพรรดิหนิงไม่ได้แสดงความผิดปกติใดๆ และพูดอย่างเฉยเมยว่า “มีผู้ใดเคยไปรับเนื้อปลากะพงในสำนักหมอหลวง?”
หมอหลวงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบเบาๆ “ช่วงนี้มิได้มีผู้ใดในวังมารับเนื้อปลากะพงพ่ะย่ะค่ะ ยาชนิดนี้มิค่อยใช้กัน ครั้งสุดท้ายที่ได้ใช้ คือเจิ้งมามานางกำนัลข้างกายจิ่นกุ้ยเฟยมารับไป ขณะนั้นจิ่นกุ้ยเฟยทรงกำลังตั้งพระครรภ์องค์ชายน้อย เจิ้งมามามีทักษะการแพทย์ จึงมาที่สำนักหมอหลวง มารับเนื้อปลากะพงไปให้จิ่นกุ้ยเฟยบำรุงครรภ์พ่ะย่ะค่ะ”
“อ๋อ เช่นนั้น คือจิ่นกุ้ยเฟยต้องการจะปองร้ายข้าหรือ” หย่าผินถามอย่างเฉยเมย เหมือนนางกำลังถามหมอหลวง แต่ในน้ำเสียงของนางเผยถึงความตลก
เพียงแต่ว่ามามาที่ดูเหมือนกล้าๆกลัวๆจะไม่เข้าใจความหมายในถ้อยคำของหย่าผิน จึงรีบต่อประโยคว่า “เป็นไปได้อย่างไรเพคะ หย่าผินเหนียงเหนียงทรงคิดมากเกินไปแล้ว นอกจากตำแหน่งฮองเฮาแล้ว กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงทรงมีครบทุกอย่างแล้ว เหตุใดยังต้องทำร้ายหย่าผินเหนียงเหนียงได้ล่ะเพคะ?”
อาจเพราะต้องการที่จะกล่าวหาจิ่นกุ้ยเฟยในข้อหานี้ มามาผู้นั้นไม่ทราบว่าเลยว่าตนเองพูดมากเพียงใด ถ้าตอนนี้มีเพียงหย่าผินอยู่ลำพังก็คงไม่เป็นไร แต่ตอนนี้มีคนอยู่ในเหตุการณ์มากพอสมควร จิ่นกุ้ยเฟยในคำพูดของนางก็อยู่ ณ ที่นี้ด้วย และราวกับกำลังกล่าวโทษจักรพรรดิหนิงอีกด้วย
มุมปากของหยุนชางอดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้ม แผนการนี้เกรงว่าคงจะเป็นฝีมือของฉินเมิ่ง แม้ว่าเริ่มแรกจะดูดี แต่การเลือกคนที่นั้น มันช่างเหลือทนจริงๆ อาจเพราะอยู่แต่ห้องเครื่องดูแลเตาไฟ นางไม่รู้วิธีการฟังและสังเกตสีหน้าของผู้คน อีกทั้ง ใจร้อนเกินไปเล็กน้อย เหตุการณ์เนื้อปลาครั้งนี้ ตามตำแหน่งและประสบการณ์ของฉินเมิ่ง เกรงว่าจะเกินกำลังในแผนการเยี่ยงนี้มาก น่าจะถูกชี้นำโดยผู้เชี่ยวชาญสินะ ข้อเสียอย่างเดียวคือมามาผู้นี้ แต่กับตำแหน่งและในแง่ของระดับความโปรดปรานของฉินเมิ่ง สามารถซื้อตัวมามาเช่นนี้ได้ นับว่าไม่ง่ายเลย