ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - บทที่ 372 หนิงหัวจิ้งปรากฏตัวที่วิหารแคว้นหนิง
- Home
- ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง
- บทที่ 372 หนิงหัวจิ้งปรากฏตัวที่วิหารแคว้นหนิง
นางกำนัลเมื่อครู่ก็คงได้รับประโยชน์จากฉินเมิ่งด้วย เพราะตอนที่จิ่นกุ้ยเฟยถามนางในก่อนหน้านี้ มีใครอื่นที่ไม่ใช่คนในห้องเครื่องเข้าไปหรือไม่นั้น นางเงยขึ้นสังเกตการเคลื่อนไหวของจิ่นกุ้ยเฟยอย่างเงียบๆ มันชัดเจนเกินไป แล้วมามาก็บอกว่าเจิ้งมามาเคยไปที่ห้องเครื่อง ซึ่งทำให้คนรู้สึกว่านางกำนัลในเมื่อครู่คือถูกจิ่นกุ้ยเฟยบงการ
ด้วยคู่ต่อสู้ที่ทนไม่ได้เยี่ยงนี้ หยุนชางก็หมดความสนใจในการเล่นด้วย
“นั่นสินะ…” หยุนชางลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ มองดูควันไม้จันทน์ที่ลอยขึ้นที่มุมห้อง “เหตุใดเสด็จแม่จึงต้องทำร้ายหย่าผิน ทหาร ไปนำตัวนางกำนัลข้างกายเมิ่งเจี๋ยยวี๋ที่ชื่อฉีเอ๋อร์มา”
หยุนชางเห็นว่าเมื่อนางพูดถึงเมิ่งเจี๋ยยวี๋ความตื่นตระหนกแวบเข้ามาในดวงตาของมามาผู้นั้น ในความโกลาหลหยุนชางได้เอายถึงฉีเอ๋อร์ และตอนนี้หน้าของนางซีดลง และเหงื่อที่หน้าผากของนางก็ดูสมจริงมากขึ้น
“เมิ่งเจี๋ยยวี๋?” จักรพรรดิหนิงขมวดคิ้ว แต่ไม่ได้หยุดหยุนชาง โบกมือให้ทหารองครักษ์ที่ยืนอยู่ที่ประตู “ไปพามา”
ทหารองครักษ์จากไป หยุนชางเมินเฉยต่อมามาที่คุกเข่าอยู่บนพื้น ยิ้มและหันไปหาจิ่นกุ้ยเฟยแล้วพูดว่า “เฉินซีหลับแล้วหรือเพคะ?”
จิ่นกุ้ยเฟยที่ยืนอยู่ข้างๆโดยไม่มีท่าทีใดๆ แต่ตอนนี้ได้ยินคำถามของหยุนชาง นางหันศีรษะและพยักหน้าเบาๆ พูดด้วยรอยยิ้ม “ตอนออกมาได้ให้แม่นมกล่อมหลับ ทุกวันนี้หลับดีขึ้นมาก บางทีอาจเพราะอากาศเริ่มอุ่นขึ้นแล้ว ช่วงก่อนกลางดึมักตื่นสองสามครั้ง แต่ตอนนี้สามารถนอนถึงรุ่งเช้าแล้ว”
หยุนชางเคยเลี้ยงเด็กมาก่อนในชาติที่แล้ว และนางเข้าใจดีว่าการดูแลเด็กในวัยนี้มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก เมื่อได้ยินนางก็ยิ้มเล็กน้อย “เช่นนั้นก็ดีเพคะ น้องเป็นเด็กดี”
หย่าผินได้ยิน หันมายิ้มและกล่าวว่า “ใช่เพคะ องค์ชายน้อยน่ารักจริงๆ ทุกครั้งที่หม่อมฉันไปวังจิ่นซิ่ว มักจะเห็นพระองค์ยิ้มแย้มอย่างมีความสุข ทรงไม่ถือตัว ใครอุ้มก็ทรงยิ้มให้”
จักรพรรดิหนิงและมามาที่คุกเข่าอยู่ดูแปลกใจ ที่หย่าผินทำราวกับว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตนสักนิด ตามหลักแล้ว หย่าผินก็ถือได้ว่าเป็นผู้ถูกกระทำ ท้ายที่สุดแล้วก่อนพิธีมงคลสมรสการถือศีลอดเป็นเรื่องสำคัญ แน่นอนว่าถูกทำลายพิธีกรรมมันควรจะโกรธเกรี้ยว และตอนนี้มีสัญญาณบ่งบอกว่า เป็นจิ่นกุ้ยเฟยที่น่าจะทำร้ายนางมากที่สุด แต่นางมีไม่สนใจเรื่องที่เกิดขึ้น ยิ้มและพูดสนทนาเรื่องขององค์ชายน้อยกับจิ่นกุ้ยเฟย
จิ่นกุ้ยเฟยได้ฟังที่นางพูดก็ตกตะลึงเช่นกัน และก็หัวเราะเบาๆ แต่แววตาของนางก็เต็มไปด้วยความสุข ไม่ว่ายังไงก็ตาม ในฐานะคนเป็นแม่ เมื่อคนอื่นชมลูกของตน ก็จะมีความสุขมาก
หยุนชางมองดูสีหน้าของมามายิ่งซีกเผือด จึงยิ้มและสั่งทหารองครักษ์ให้นำตัวมามาลงไป
หลังจากนั้นไม่นาน นางกำนัลที่ชื่อฉีเอ๋อร์ก็ถูกนำตัวมา สีหน้าของนางก็ไม่กลัวเลย แต่กลับเป็นฉินเมิ่ง ที่เดินตามด้านหลังทหารองครักษ์ที่คุมฉีเอ๋อร์มีสีหน้าที่ตื่นตระหนกเล็กน้อย
“ฝ่าบาท จิ่นกุ้ยเฟย หย่าผิน พวกท่านนำตัวฉีเอ๋อร์มาเพื่อเหตุอันใดเพคะ? ฉีเอ๋อร์ได้ทำอะไรผิดหรือเพคะ?” ทันทีที่เข้ามาฉินเมิ่งโค้งคำนับ และเอ่ยปากถามซ้ำๆ
“เมิ่งเจี๋ยยวี๋ นี่เจ้ากำลังกล่าวโทษข้าหรือ” จักรพรรดิหนิงถามอย่างเย็นชา ทำให้ฉินเมิ่งตัวสั่นไปทั้งตัว เหงื่อเย็นไหลออกจากหน้าผากของนาง หลังจากนั้นครู่หนึ่ง นางยิ้มซีดและกล่าวว่า “หม่อมฉันมิกล้าเพคะ หม่อมฉันเพียงแค่เห็นว่าฉีเอ๋อร์ถูกคุมตัวมาโดยไม่ทันตั้งตัว จึงตกใจเท่านั้น ขอฝ่าบาทประทานอภัยโทษเพคะ”
จักรพรรดิหนิงไม่ตอบ แต่หยุนชางพูดโดยไม่รีบร้อน และพูดในหัวข้อที่ไม่เกี่ยวข้อง “ต่างหูที่เมิ่งเจี๋ยยวี๋สวมใส่นั้น ค่อนข้างพิเศษนัก เมื่อวันก่อนดูเหมือนข้าเคยเห็นมันที่หอหย่าซื่อที่ทำเครื่องประดับตามแบบโดยเฉพาะที่นอกวัง ได้ยินมาว่าเป็นสินค้าใหม่ ทั้งเมืองหลวงมีคู่เดียวเท่านั้น ไม่คิดว่าวันนี้จะเห็นมันจะอยู่บนร่างกายของเมิ่งเจี๋ยยวี๋”
ฉินเมิ่งเริ่มแข็งทื่อ ริมฝีปากของนางก็เริ่มซีด ปกติไม่ค่อยมีคนนอกวังเข้ามาในวังหลังได้ เครื่องประดับต่างๆของเหล่านางสนมที่สวมใส่มักทำจากในวัง แทบไม่มีใครให้ความสนใจกับเครื่องประดับนอกวัง อีกทั้งฉินเมิ่งก็ไม่ใช่คนโปรดในวัง และแม้กระทั่งน้อยครั้งที่ออกจากตำหนักของนาง จึงไม่กลัวจะถูกถาม ถึงแม้ของที่ส่งมาจากวังจะไม่มีราคาแพงเท่าในวัง แต่รูปแบบก็แปลกใหม่ ยิ่งกว่านั้น นางเป็นเพียงนางสนมตำแหน่งระดับปลาย และของดีๆในวังจะไม่ส่งถึงนางก่อน ของที่นางใส่ได้ มักจะเป็นของที่ไม่ถูกเลือกจากคนอื่น ดังนั้น ทุกครั้งที่มีของส่งเข้ามาจากนอกวัง นางจะรีบใส่มันก่อนทุกที
สองครั้งแรกยังรู้สึกกังวลเล็กน้อย ต่อมาเมื่อไม่มีใครสังเกตเห็น นางก็กล้ามากขึ้น นอกจากนี้ วันนี้ที่ฉีเอ๋อร์ถูกนำตัวมา คือสิ่งที่นางคิดไม่ถึง นางตกใจกะทันหัน จึงลืมถอดต่างหู ไม่คิดว่า หยุนชางก็อยู่ด้วย และสิ่งที่ไม่คาดคิดยิ่งกว่านั้นคือ เมื่อนางเข้ามา คำแรกที่หยุนชางพูดกับนางคือสิ่งนี้
คนอื่นไม่เคยคิด
หย่าผินที่อยู่ด้านข้างได้เห็นต่างหูของฉินเมิ่ง ดูเหมือนเงียบไปครู่หนึ่ง และกล่าวว่า “หม่อมฉันได้ข่าวว่า เมิ่งเจี๋ยยวี๋ไม่มีครอบครัวอยู่นอกวัง และมิเคยมีคนเข้าวังมาเยี่ยมเลย…..”
คำพูดนี้มีความหมายแฝงไว้คือ ต่างหูพวกนี้มีที่มาที่ไปแปลกๆ
จักรพรรดิหนิงเงียบไปครู่หนึ่ง โดยรู้ว่าหยุนชางจะไม่เอ่ยถึงต่างหูโดยไม่มีเหตุผล ดังนั้นเขาจึงเงยหน้าขึ้น และตรัสว่า “ต่างหูนี้ใครให้เจ้า?”
ฉินเมิ่งกัดริมฝีปากและไม่ได้ตอบ
หยุนชางหัวเราะเบาๆ “หม่อมฉันจะช่วยเมิ่งเจี๋ยยวี๋ตอบเพคะ ต่างหูนี้เป็นญาติของฉีเอ๋อร์เข้ามาเยี่ยมนางเดือนละครั้งนำเข้าวัง เดิมที มันเป็นเรื่องปกติที่บ่าวจะให้ของกับเจ้านาย แต่ทว่า วันก่อนหม่อมฉันได้ถามราคาต่างหูคู่นี้ ดูเหมือนจะต้องใช้ทองสามตำลึง หม่อมฉันไม่รู้ว่านางกำนัลข้างกายเมิ่งเจี๋ยยวี๋จะเป็นผู้มากมีเยี่ยงนี้ ยิ่งกว่านั้น นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หม่อมฉันเห็นเมิ่งเจี๋ยยวี๋สวมเครื่องประดับของนอกวัง ล้วนเป็นของมีค่ามาก…”
หลังจากหยุดไปชั่วครู่ ก็มองดูฉินเมิ่งอีกครั้งด้วยสายตาดูถูกเล็กน้อย “เมื่อครู่มามาได้พูดว่า ฉีเอ๋อร์เป็นผู้นำเนื้อปลากะพงเข้ามาในวัง ต้องการที่จะใส่ร้ายจิ่นกุ้ยเฟย ก็ไม่เช็ดร่องรอยให้สะอาดเลยนะ…”
ฉินเมิ่งได้ยิน ก็สั่นไปทั้งตัว และรีบขึ้นเสียง “เหลวไหล ฉีเอ๋อร์จะบอกเรื่องนี้กับนางได้อย่างไร ”
หลังจากได้ยินเช่นนี้ หยุนชางยิ้มเล็กน้อย ไม่น่าแปลกใจที่นางรู้สึกว่าฉินเมิ่งไม่สามารถทำงานใหญ่ได้ เดิมฉินเมิ่งเป็นเพียงนางกำนัล นางไม่ค่อยมีความรู้ ที่บ้านนางยากจน และมีชีวิตที่น่าสังเวช นางเคยเห็นแผนการต่างๆนานาของฮองเฮาแล้ว แต่ท้ายที่สุดนางไม่ใช่ฮองเฮา แม้ว่านางจะได้เรียนรู้การวางแผนมาบ้าง แต่นางก็ไม่สามารถเรียนรู้การใช้ตำแหน่งเชื่อมความสัมพันธ์กับผู้คนมากมายมานานกว่ายี่สิบปีจากฮองเฮา และไม่สามารถเรียนรู้ ทั้งที่สถานการณ์วิกฤตแล้ว แต่ฮองเฮาผู้นั้นยังนิ่งสงบไม่มีท่าทีวิตกกังวลใดๆ
ท้ายที่สุดแล้ว นางมีค่าควรแก่การเป็นตัวตลกกระโดดไปมาเท่านั้น ไม่ใช่ตัวเอกในฉากนั้นๆ
หยุนชางหันไปมองฉีเอ๋อร์ และเห็นว่าตอนที่ฉินเมิ่งกำลังพูดอยู่นั้น คิ้วของนางย่นเล็กน้อย และดูเหมือนจะมีคำว่าโง่เขียนอยู่ในดวงตาของนาง