ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - บทที่ 385 เพลิงเก่ายังไม่คลาย เพลิงใหม่ลุกขึ้นมา
- Home
- ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง
- บทที่ 385 เพลิงเก่ายังไม่คลาย เพลิงใหม่ลุกขึ้นมา
หยุนชางอึ้งไป นางเคยสังเกตเห็นจักรพรรดิหนิงทอดพระเนตรเสด็จแม่ของนางด้วยความตั้งใจอยู่บ่อยครั้ง แต่นางไม่เคยรู้ถึงสาเหตุมาก่อนเลย นางรู้สึกไม่ค่อยดี ตั้งแต่นางกลับเข้าวังมา ก็คอยระแวงสงสัยเสด็จพ่อของตนมาโดยตลอด นางเพิ่งรู้ว่าเสด็จพ่อก็มีความจำเป็นที่ไม่เคยเปิดเผยให้นางได้รับรู้มาก่อน
จักรพรรดิหนิงถอนหายใจ พระองค์ฝืนยิ้ม “เพราะข้ารู้ว่าการเป็นฮ่องเต้มีข้อจำกัดเช่นนี้ ข้าจึงไม่อยากให้จิ้งอ๋องได้เป็นฮ่องเต้ แต่เพื่อแผ่นดินแคว้นหนิงแล้ว ข้ามิอาจปฏิเสธข้อเสนอของจักรพรรดิเซี่ยได้ ข้าเป็นห่วงก็แต่เจ้า แม้เจ้าจะชาญฉลาด แต่เจ้าก็ยังคงเป็นผู้หญิง วังหลังเปรียบดั่งสุสานของเหล่าสตรีมาไม่รู้เท่าไรๆแล้ว ผู้ที่ได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ จะทุ่มเทความรักให้กับหญิงใดเป็นพิเศษไม่ได้เป็นอันขาด”
หยุนชางยิ่งฟังก็ยิ่งเศร้าใจ เสียงพูดของนางเบาลงไปเรื่อยๆ “เสด็จพ่อ ชางเอ๋อร์เข้าใจทุกอย่างแล้วเพคะ” ทว่าตัวนางเองได้มอบความรักให้กับจิ้งอ๋องไปแล้ว แม้ว่าความรักฉากนี้จะมีการเมืองมาแทรกแซง แต่ทุกวันนี้หลายๆอย่างก็ได้เปลี่ยนไปแล้ว เขาคนนั้นแม้จะดูเฉยชาไปบ้างในบางครั้ง แต่ก็ดูแลเอาใจใส่และปกป้องนางอย่างดีมาโดยตลอด หัวใจของนางที่ให้เขาไป เกรงว่าจะนำกลับมาไม่ได้อีกแล้ว
“ทูลฮ่องเต้ ถึงศาลต้าหลี่แล้วพ่ะย่ะค่ะ” เสียงจิ้งอ๋องดังมาจากด้านนอก หยุนชางสะดุ้ง นางรีบเปิดม่านออกดู
หลังลงจากรถม้าแล้ว หยุนชางก็ได้กลิ่นน้ำมันตุงลอยมาแตะจมูก กลิ่นของน้ำมันตุงลอยคละคลุ้งและแพร่กระจายไปในอากาศได้อย่างรวดเร็ว แม้จะผ่านไปเกือบ 2 ชั่วยามแล้ว กลิ่นของน้ำมันตุงก็ยังคงมีอยู่ งานนี้คงใช้น้ำมันตุงไปไม่น้อยเลย
ผู้พิพากษาสูงสุดแห่งศาลต้าหลี่คุกเข่ารับเสด็จอยู่หน้ารถม้า จักรพรรดิหนิงสั่งให้เขาลุกขึ้น หยุนชางพูดกับเขาว่า “กลิ่นของน้ำมันตุงนี่ยังลอยคละคลุ้งไม่ไปไหน แม้จะล่วงเลยมานานแล้ว คนที่ลอบวางเพลิงคงจะมีจำนวนไม่น้อย กลิ่นของน้ำมันตุงแรงมากเช่นนี้ กลับไม่มีผู้ใดได้กลิ่นและเตรียมการป้องกันบ้างเลยหรืออย่างไร?
ผู้พิพากษาสูงสุดแห่งศาลต้าหลี่สะดุ้ง เขาไม่คิดว่าหยุนชางจะตามเสด็จจักรพรรดิหนิงมาด้วย เขาอ้ำๆอึ้งๆอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงค่อยๆเอ่ยว่า “ผู้ลอบวางเพลิงฝีมือร้ายกาจมากพ่ะย่ะค่ะ เมื่อคืนนี้พวกเขาทำให้ทุกคนในห้องขังพากันหลับไหล จึงไม่มีผู้ใดพบเห็นผู้ลอบวางเพลิงเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“ฝีมือร้ายกาจ?” หยุนชางเลิกคิ้ว ห้องขังที่นี่มีไว้สำหรับจองจำบุคคลสำคัญ จึงมีการจัดเวรยามเฝ้าระวังอย่างแน่นหนามาโดยตลอด แต่นี่กลับมีคนร้ายแฝงตัวเข้ามาได้อย่างง่ายดาย ห้องขังที่นี่ก็คงไม่มีประโยชน์เสียแล้ว
“องค์หญิงหัวจิ้งเป็นอย่างไรบ้าง?” หยุนชางรีบถามผู้พิพากษาสูงสุด
ผู้พิพากษาสูงสุดก้มหน้า กลบเกลื่อนสีหน้าที่แท้จริงเอาไว้ แต่หยุนชางสังเกตเห็นว่านิ้วมือของเขากำลังสั่นเทาไม่หยุด “ทูลพระชายา ในขณะที่พวกเรากำลังเร่งสะสางสถานการณ์อยู่นั้น ก็ได้พบว่าที่ห้องขังขององค์หญิงหัวจิ้ง มีศพผู้หญิงถูกไฟครอกตายพ่ะย่ะค่ะ ศพนั้นมีสีดำไปทั่วร่าง ดูไม่ออกว่าเป็นผู้ใด หม่อมฉันเพิ่งกลับออกมาจากในวัง ยังไม่ได้ไปตรวจสอบ ได้ยินแต่เหล่าทหารพูดว่า ศพผู้หญิงร่างนั้นมีรูปร่างและส่วนสูงคล้ายกับองค์หญิงหัวจิ้ง และที่มือของนางก็มีเครื่องประดับที่เป็นหยกขององค์หญิงสวมอยู่ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
หยุนชางไม่อยากจะเชื่อ นางถูกไฟเผาจนไม่รู้หน้าเดิมของนาง เช่นนี้ก็คงตรวจสอบได้ยากว่าใช่หัวจิ้งหรือไม่ ลำพังพิจารณาเฉพาะเครื่องประดับที่เป็นหยก ก็คงจะแทบไม่ได้เบาะแสอะไรเลย ทางศาลต้าหลี่เองก็คงจะคิดเช่นนี้ จึงยังไม่ปักใจเชื่อว่านั่นคือหัวจิ้ง
“คนเจ็บคนตายมีกี่คน?” จักรพรรดิหนิงเอ่ยถาม
“ทูลฮ่องเต้ เมื่อครู่นี้เหล่าทหารลองนับดูได้ว่า มีผู้เสียชีวิต 32 ศพ เป็นนักโทษ 18 ศพ ผู้คุมอีก 14 ศพพ่ะย่ะค่ะ” ผู้พิพากษาสูงสุดน้อมตัวรายงาน
นักโทษ 18 ศพ นักโทษที่มาประจำอยู่ที่นี่เป็นนักโทษคดีร้ายแรง มีทั้งขุนน้ำขุนนาง รวมไปทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ 18 ศพ ฟังดูแล้วไม่ใช่ตัวเลขที่เยอะมากเท่าไรนัก
“ไปนำรายชื่อทั้ง 18 ศพมา” จักรพรรดิหนิงกล่าว
ผู้พิพากษาสูงสุดรับคำ เขาสั่งลูกน้องไปจัดการ ส่วนตัวเขาคอยอยู่รับหน้ากับจักรพรรดิหนิง
“ไปดูบริเวณห้องขังกันเถอะ” จักรพรรดิหนิงเอ่ยขึ้นพร้อมออกเดินนำ
จิ้งอ๋องและหยุนชางเดินตามจักรพรรดิหนิง กลิ่นน้ำมันตุงเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ หยุนชางขมวดคิ้ว นางไม่ชอบกลิ่นแบบนี้เลย นางสังเกตผนังห้อง ห้องขังที่นี่ไม่เหมือนห้องขังทั่วไป ผนังห้องสร้างจากหินที่มีความคงทนแข็งแรง
บริเวณห้องขังมีความเสียหายไม่มาก เพียงแต่ทุกสิ่งทุกอย่างถูกไฟเผาจนกลายเป็นสีดำสนิท ผู้พิพากษาสูงสุดรู้ดีว่าจักรพรรดิหนิงทรงใคร่รู้เรื่องของนักโทษคนใด เขาจึงนำทางไปยังห้องขังห้องหนึ่ง ในนั้นมีศพร่างดำสนิทนอนเสียชีวิตอยู่
หยุนชางจดจ้องอยู่นาน รูปพรรณสัณฐานคล้ายกับหัวจิ้งจริงๆด้วย
หยุนชางครุ่นคิดอยู่สักพัก แล้วจึงตัดสินใจเดินเข้าไปด้านใน นางเพ่งมองไปที่ศพหญิงสาวร่างนั้น แต่ก็ไม่เจอสิ่งผิดปกติแต่อย่างใด นางจึงนั่งลงแล้วพินิจพิเคราะห์ซากศพใกล้ๆ
“รอให้ฝ่ายพิสูจน์ศพมาดูเถอะ” จักรพรรดิหนิงบอกกับหยุนชาง
หยุนชางส่ายหน้า นางไม่เชื่อใจผู้อื่น หลังจากที่นางได้ดูใบหน้าและรูปร่างของศพใกล้ๆแล้ว กลับไม่พบความผิดปกติใดๆ จะเสียชีวิตก่อนหรือหลังเหตุการณ์เพลิงไหม้ เรื่องนี้คงต้องรอให้ฝ่ายพิสูจน์ศพเป็นผู้ดำเนินการ ในขณะที่หยุนชางกำลังจะลุกขึ้น สายตาของนางพลันไปสะดุดเข้ากับมือของศพร่างนั้น
จักรพรรดิหนิงเห็นหยุนชางมีท่าทีแปลกๆ จึงทอดพระเนตรไปตามสายตาของหยุนชาง แต่ก็ไม่เห็นสิ่งใดผิดปกติ “มีอะไรหรือ?”
หยุนชางแสยะยิ้มก่อนจะตอบไปว่า “ศพร่างนี้ไม่ใช่ของเสด็จพี่เพคะ”
“หา?” จักรพรรดิหนิงทรงข้องพระทัย “เหตุใดเจ้าจึงพูดเช่นนั้น?”
หยุนชางยกมือของศพขึ้นมา มือนั้นไม่มีลักษณะพิเศษอะไรนอกจากจะเป็นสีดำไปทั่วทั้งร่าง
“ในวังเมื่อวานนี้ หม่อมฉันเห็นเสด็จพี่ทรงทาเล็บสีแดงสด ในใจยังคิดอยู่เลยว่า นางกำลังตั้งครรภ์อยู่ การทาเล็บจะส่งผลเสียต่อเด็กในครรภ์ได้ แต่ว่าเล็บมือของศพนี้แม้จะดำสนิทจนมองอะไรไม่ชัด แต่ก็มิได้ทาสีทาเล็บแน่นอนเพคะ”
จักรพรรดิหนิงทรงฟังและจินตนาการภาพของหัวจิ้งเมื่อวานนี้ แต่ก็นึกอะไรไม่ออก จึงได้แต่เงียบไป
ผู้พิพากษาสูงสุดถึงกับตะลึง “ห้องขังนี้ลงกลอนแน่นหนาเป็นอย่างดี ไม่มีทางที่จะมีคนมาแอบเปลี่ยนตัวกับองค์หญิงหัวจิ้งได้แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ……”
หยุนชางได้ฟังก็เงียบไปชั่วครู่ “เรื่องนี้คงต้องพิสูจน์กันอีกนาน ตอนนี้รู้แค่ว่า ศพร่างนี้ไม่ใช่ศพขององค์หญิงหัวจิ้ง”
ระหว่างที่กำลังพูด ก็มีคนอีกกลุ่มเดินเข้ามาหา เป็นพวกขันทีของจักรพรรดิหนิงนั่นเอง จักรพรรดิหนิงเลิกคิ้วแล้วเอ่ยถาม “มีอะไรหรือ?”
ขันทีรีบกราบทูล “ฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ เซี่ยหวนอวี่ฮ่องเต้แห่งแคว้นเซี่ยต้องการเข้าเฝ้าพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
คำกราบทูลนี้ ทำให้หลายๆคนในที่นั้นต้องหน้าถอดสี พวกเขาลืมไปเลยว่าเซี่ยโหจิ้งจากแคว้นเซี่ยก็ถูกขังอยู่ในคุกแห่งนี้ด้วยคดีทำร้ายจิ้งอ๋อง แต่ไหนแต่ไรมา ฮ่องเต้แห่งแคว้นเซี่ยก็ไม่เคยปริปากถึงเรื่องนี้มาก่อน ผู้คนจึงพากันลืมเลือนไป มาวันนี้ ได้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นมา หลายๆฝ่ายต่างก็ร้อนใจไปตามๆกัน