ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - บทที่ 393 จิ้งอ๋องไม่กลับจวน
หากว่าเจ้านั้นมีความโกรธแค้นเซี่ยหวนอวี่ เหตุใดจึงไม่ฆ่าเซี่ยหวนอวี่เสีย? คนที่มีความสามารถเช่นนี้ หากพยายามเข้า การสังหารเซี่ยหวนอวี่นั้นไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ส่วนคนประเภทที่สองก็คงเป็นได้แค่บุตรคนอื่นๆของเซี่ยหวนอวี่แล้วล่ะ
คนที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด ก็คืออ๋องเจ็ดแห่งแคว้นเซี่ย เซี่ยโหจิ้งแล้วล่ะ
หยุนชางขมวดคิ้วเล็กน้อย หากเป็นเช่นนี้ ก็จะพบเหตุผลว่าเหตุใดจึงฆ่าเพียงเซี่ยโหเหยียน แต่กลับลักพาตัวหนิงหัวจิ้งไป อ๋องเจ็ดแห่งแคว้นเซี่ยนั้นติดตามหลี่จิ้งเหยียนอยู่ตลอดเวลา และพวกเขาคงมีมิตรภาพที่ดีต่อกัน จุดประสงค์หลักของอ๋องเจ็ดแห่งแคว้นเซี่ย คือต้องการสังหารองค์รัชทายาท ไม่ว่าอย่างไรหลี่จิ้งเหยียนก็ถือว่าเป็นท่านตาของหัวจิ้ง ฉะนั้นหากคิดอยากจะรักษาชีวิตของหัวจิ้งไว้ มันก็สมเหตุสมผล
อีกทั้ง การที่สามารถให้ผู้ลอบสังหารของแคว้นเซี่ยเข้าออกเมืองหลวงนี้ได้อย่างง่ายดายนั้น เกรงว่าหลี่จิ้งเหยียนคงจะใช้กองกำลังลับที่ตนวางมาตลอดหลายสิบปีเพื่อการนี้กระมั้ง ใช้ชีวิตขององค์รัชทายาทแลกกับชีวิตของหัวจิ้ง เซี่ยโหจิ้งไม่ใช่คนโง่ การลงทุนในครั้งนี้ถือว่าคุ้มอย่างมาก
แล้วเหตุใดฉินเมิ่งจึงเสียชีวิต? อีกทั้งยังพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อเอาร่างนางกลับไป แล้วจุดประสงค์ของคนเหล่านี้ที่ไล่สังหารตนคืออะไร?
หยุนชางขมวดคิ้ว นางรู้สึกว่าปัญหาเหล่านี้กำลังเข้ามาหาตนทีละอย่าง ทำให้นางรู้สึกรับมือไม่ทันเล็กน้อย
เหมือนว่าจะสัญญาณลับของสายลับดังมาจากด้านนอก ดวงตาของหยุนชางก็เป็นประกาย จากนั้นก็รีบหยิบขลุ่ยหยกขาวออกมาจากแขนเสื้อ และเป่ารหัสลับตอบกลับไป หลังจากได้ยินการตอบรับแล้ว นางก็ถือขลุ่ยไว้ในมือแล้วรอสายลับมา
นางรู้สึกว่ามีสายตาหนึ่งจ้องมองมาที่ตน หยุนชางเงยหน้าขึ้น ก็พบว่าหลิ่วหยินเฟิงมองมาที่ขลุ่ยในมือของตนพร้อมขมวดคิ้ว นางนึกถึงเมื่อครั้งอยู่ที่นอกเมืองคังหยาง ตนได้สร้างเรื่องขึ้นมาหลอกลวงหลิ่วหยินเฟิง เพื่อที่จะได้เอาขลุ่ยหยกขาวกลับมาให้ได้ เมื่อเห็นว่าสีหน้าของเขาไม่ค่อยดีนัก หยุนชางก็อุทานในใจว่า แย่แล้ว แต่รอยยิ้มบนใบหน้านางกลับอ่อนโยนขึ้น
“ขลุ่ยเล็กนี้เป็นอุปกรณ์ส่งสารระหว่างเจ้ากับสายลับหรือ?” หลิ่วหยินเฟิงมิได้มองที่ใบหน้าของหยุนชางเลย แววตาของเขายังคงจับจ้องอยู่ที่ขลุ่ยในมือของนาง
หยุนชางพยักหน้า “ใช่”
สีหน้าของหลิ่วหยินเฟิงเปลี่ยนไปอย่างมาก จากนั้นก็กล่าวด้วยความไม่สบอารมณ์ว่า “ดูเหมือนว่าข้านั้นจะหลอกง่ายเสียจริง ไม่คาดคิดว่าข้าจะเชื่อคำพูดเหลวไหลเช่นนั้นด้วย”
ก็หลอกง่ายเสียจริง หยุนชางกล่าวในใจ แต่นางไม่กล้าที่จะกล่าวเช่นนี้ออกมา เพราะไม่ว่ายังไงตอนนี้เราอยู่ใต้บัญชาของเขา ก็ย่อมต้องยอมเขาเป็นธรรมดา
สัญญาณลับของสายลับส่งกลับมาอีกครั้ง เหมือนว่าตอนนี้เขาอยู่นอกประตูแล้ว หยุนชางมองไปที่หลิ่วหยินเฟิงแล้วผมยิ้ม ” ดูเหมือนว่าสายลับของข้าจะอยู่ด้านนอกแล้ว ขอรบกวนหยินเฟิงไปเปิดประตูให้ได้หรือไม่?”
หลิ่วหยินเฟิงขมวดคิ้ว แต่ก็ยืนขึ้นแล้วเดินออกจากห้องไป แล้วเดินตรงไปที่ประตูลานบ้านแล้วเปิดออก และเห็นว่าคนมากมายยืนอยู่หน้าประตู ชายที่อยู่ด้านหน้าสุดสวมชุดสีม่วง สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเย็นชา แต่แววตาของเขานั้นรีบร้อนเล็กน้อย เขาคือลั่วชิงเหยียน
ลั่วชิงเหยียนก็เห็นหลิ่วหยินเฟิงเช่นกัน เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ” ข้ามารับพระชายากลับบ้าน”
“หากท่านอ๋องตามหาพระชายาก็ควรไปที่จวนท่านอ๋อง ข้าไม่ทราบว่ามาหาข้าเพื่อการอันใดหรือ?” หลิ่วหยินเฟิงยิ้มอย่างอ่อนโยน เขาจ้องมองไปที่ชายตรงหน้าอย่างเฉยเมย แววตาของเขาฉายแววของความไม่สบอารมณ์ออกมา
ลั่วชิงเหยียนไม่ตอบเป็นเวลานาน และหลิ่วหยินเฟิงก็ยิ่งโกรธเคืองมากขึ้น เขาเงยหน้าก็พบว่าแววตาของลั่วชิงเหยียนนั้นมองข้ามตนไป แล้วจ้องมองไปทางข้างหลังของตน หลิ่วหยินเฟิงหันกลับไป ก็พบว่าหนิงหยุนชางที่เดิมนั่งอยู่ในห้องนั้นได้เดินออกมาแล้ว นางกำลังยืนพิงประตูแล้วอมยิ้มพร้อมทั้งมองไปที่ชายชุดม่วงที่อยู่ตรงหน้า สีหน้าของนางอ่อนโยนอย่างมาก
หลิ่วหยินเฟิงขมวดคิ้ว แล้วถูกผลักออก ลั่วชิงเหยียนเดินผ่านเขาไปแล้ว และเดินตรงไปอยู่ตรงหน้าหญิงสาวคนนี้ เขาขมวดคิ้วและมองไปที่แขนของนางที่มีผ้าพันแผลพันอยู่ “เจ้าบาดเจ็บหรือ?”
หยุนชางพยักหน้า ยกมือขึ้นและยิ้มพร้อมกล่าว “ไม่เป็นกระไรหรอก มิได้สาหัสนัก แค่โดนมีดข่วนก็เท่านั้นเอง”
“ข่วนอะไรกัน ข้าเห็นกระดูกของเจ้าแล้วนั่น ให้คนไปตามหมอมาโดยเร็วเสียดีกว่า เมื่อสักครู่ตอนที่ข้าออกไป ข้ากลัวว่าจะตกเป็นเป้าหมายของคนที่ไล่สังหารชางเอ๋อร์ ฉะนั้นจึงได้ใส่ยารักษาแผลธรรมดา แต่ว่าแผลนั้นลึกเกินไป แล้วยานั้นทำได้แค่หยุดเลือดไว้ แต่ไม่มีผลที่ดีไปกว่านั้นแล้ว หากว่าไม่รักษาดีๆ ข้าเกรงว่าแขนข้างนี้คงจะใช้งานไม่ได้แล้วล่ะ” หลิ่วหยินเฟิงหัวเราะอย่างเย็นชา แล้วกล่าวด้วยความประชดประชันเล็กน้อย
สีหน้าของลั่วชิงเหยียนเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เหตุผลหลักอาจเป็นเพราะหยุนชางได้รับบาดเจ็บ และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือคำว่า “ชางเอ๋อร์” ที่หลิ่วหยินเฟิงเรียกนั้นดูเรียกออกมาอย่างธรรมชาติจนเกินไป
“มิร้ายแรงเช่นนั้นหรอก คนบังคับเกวียนเป็นอย่างไรบ้างหรือ?” หยุนชางเบิกตากว้างแล้วมองไปที่จิ้งอ๋อง นางยังไม่ลืมคนบังคับเกวียนที่พยายามอย่างสุดชีวิตเพื่อปกป้องนางให้นางได้หนีไป
“เขาตายแล้ว” จิ้งอ๋องกล่าวอย่างเย็นชา แล้วเขาก็ก้มลงและกำลังจะอุ้มหยุนชางขึ้นมา
หยุนชางตกตะลึงอย่างมาก นางเงยหน้าขึ้นมองไปที่จิ้งอ๋อง แต่เห็นว่าสีหน้าของเขาไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก จึงเก็บสิ่งที่จะพูดออกมาไว้ ตอนนี้อย่ายั่วยุให้เขาโกรธจะดีกว่า
หยุนชางแอบพูดกับตัวเองอยู่ในใจ
จิ้งอ๋องอุ้มหยุนชางไว้แล้วเดินออกจากประตูลานไป และเมื่อเขาเดินผ่านหลิ่วหยินเฟิงเขาก็กระซิบเบาๆว่า “ขอบใจมาก แล้วข้าจะจัดงานเลี้ยงเพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณต่อเจ้าด้วยตัวเองในภัยหลัง” จากนั้นก็เดินออกไปอย่างรวดเร็ว
หลิ่วหยินเฟิงมองไปที่เงาหลังที่ค่อยๆจางหายไปของจิ้งอ๋องและสายลับพร้อมรอยยิ้มจางๆบนใบหน้า หลังจากนั้นไม่นานเขาก็เก็บรอยยิ้มบนใบหน้ากลับไป มุมปากของเขาโค้งงอลงไป และเขาพึมพำกับตัวเองว่า ” แสดงความขอบคุณอย่างนั้นหรือ?” น้ำเสียงของเขาดูเยาะเย้ยเล็กน้อย “หญิงงามแต่มีสามีแล้ว! ฮ่าๆ………..” เมื่อพูดจบก็หัวเราะขึ้นมา และเสียงหัวเราะดังขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายเขาหัวเราะจนยืนไม่ไหว และผ่านไปอยู่นานจึงจะหยุนชาง สีหน้าของเขาขาวซีดเล็กน้อย ก็ ” สายตาของข้านั้นเยี่ยมมาโดยตลอด ฮ่าฮ่า พระเจ้าช่างกรุณาข้าเหลือเกิน…”
ท่านอ๋องของตนนั้นดูอารมณ์ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ หยุนชางเงยหน้าขึ้นแล้วมองไปที่คนที่กำลังอุ้มตนอยู่ เขาเม้มปากไว้แน่นแล้วขมวดคิ้ว สีหน้าของเขาดูโกรธเคืองมากกว่าทุกๆครั้งที่ผ่านมา
ในเวลานี้อย่าพูดเรื่องกระไรจะดีกว่า เผื่อว่าจะทำให้เกิดปัญหา หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หยุนชางก็ได้ข้อสรุปดังกล่าวออกมา
ระหว่างทางที่กลับไป จิ้งอ๋องคงได้สั่งให้สายลับไปตามหมอหลวงแล้ว และเมื่อจิ้งอ๋องอุ้มหยุนชางไปถึงจวนจิ้งอ๋อง หมอหลวงก็รออยู่ที่ห้องโถงหน้าเรียบร้อยแล้ว
จิ้งอ๋องไม่ยอมวางหยุนชางลง เขาอุ้มหยุนชางไว้แล้วนั่งบนเก้าอี้ แล้วสั่งให้หมอหลวงเข้ามาดูอาการ หมอหลวงนิ่งไปอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเห็นแววตาที่เย็นชาของจิ้งอ๋องจ้องมาที่ตน เขาตกตะลึงแล้วจึงรีบเดินเข้าไปหาจิ้งอ๋อง เขาคุกเข่าลงหนึ่งข้างแล้วแกะผ้าพันแผลบนแขนของหยุนชางออก แล้วก็เห็นแผลของนาง แม้ว่าจะทายาแล้วเลือดหยุดไหลแล้ว แต่ว่าแผลก็ยังเปิดอยู่ และมองเห็นกระดูกได้จาง ๆ หมอหลวงขมวดคิ้วและนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวว่า
“แผลนี้ของพระชายาต้องรักษาดีๆขอรับ เพียงอีกนิดเดียวเท่านั้น ก็จะเสียแขนนี้ไปแล้วขอรับ” ขณะที่พูดเขาก็หยิบยางที่ดีที่สุดออกมาจากกล่องยา แล้วทายาลงที่แผลอย่างระมัดระวัง “นี่คือยารักษาแผลที่ดีที่สุดในพระราชวังขอรับ แต่ว่าแผลค่อนข้างลึก คงต้องใช้เวลารักษาประมาณครึ่งเดือน แผลจึงจะสมานขอรับ หากเกินยาไปด้วย ก็คงหายดีได้ภายในหนึ่งเดือนขอรับ แต่เกรงว่าอาจจะทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้ แต่ว่าในพระราชวังมียาที่ลบรอยแผลเป็นอยู่ด้วย ถ้าว่าพระชายาต้องการก็สามารถไปหยิบได้เลยขอรับ”
หยุนชางพยักหน้าแล้วอมยิ้มเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้นก็ขอบใจหมอหลวงมากนะ”
หมอหลวงส่ายหน้าแล้วกล่าวว่าไม่เป็นกระไรอยู่หลายครั้ง แล้วจึงพันแผลให้ดี จากนั้นก็ถอยกลับไปภายใต้การดูแลของพ่อบ้าน