ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - บทที่ 394 ก่อเรื่องหลังดื่มสุรา
นางเรียกให้คนใช้ไปเตรียมน้ำร้อนมาก เฉี่ยนอินเดินไปหาหยุนชางและกล่าวว่า “ตอนนี้มือของพระชายาได้รับบาดเจ็บ ไม่เหมาะที่จะโดนน้ำ ให้หม่อมฉันปรนนิบัติพระชายาเถิดเพคะ”
หยุนชางพยักหน้าและหันหลังเดินเข้าไปในห้องทรง
หลังจากชำระล้างเรียบร้อยแล้ว เฉี่ยนอินก็ปรนนิบัติให้หยุนชางเข้านอน นางหันหลังไปหยิบตะเกียงบนโต๊ะแล้วถามเบาๆ ว่า “พระชายาเพคะ ให้จุดตะเกียงทิ้งไว้หรือไม่เพคะ”
หยุนชางเงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวว่า “จุดทิ้งไว้เถิด”
เฉี่ยนอินวางตะเกียงไว้บนโต๊ะ โค้งคำนับและเดินออกจากห้องไป หยุนชางจ้องไปที่ตะเกียงเคลือบแก้วที่กำลังแผดเผาอย่างเงียบ ๆ และขมวดคิ้ว ก่อนหน้านี้ตนเคยนอนคนเดียวมาก่อนและไม่รู้สึกว่าเป็นกระไร แต่ตั้งแต่ที่กลับมาจากเมืองจิ้งหยางแล้ว ก็รู้สึกว่าไม่คุ้นชินเล็กน้อย
หยุนชางพลิกตัวไปมาทั้งคืน กระทั่งรุ่งเช้านางจึงหลับไป
ทันทีที่เพิ่งหลับไป เฉี่ยนอินก็มาปลุกให้นางตื่น เสียงของเฉี่ยนอินร้อนรนและตื่นตระหนกเล็กน้อย “พระชายาเพคะ ท่านรีบลุกขึ้นมาดูเร็ว พระราชวังส่งข่าวมาบอกว่า องค์รัชทายาทแห่งแคว้นเย้หลางสิ้นพระชนม์แล้ว ดูเหมือนว่าจะเป็นฝีมือของท่านอ๋อง ท่านทูตแห่งแคว้นเย้หลางมาโวยวายถึงที่ตำหนักจินหลวนแล้วเพคะ ฝ่าบาททรงพิโรธอย่างมาก ตอนนี้พระองค์กำลังตามท่านอ๋องอยู่เพคะ”
หยุนชางตกตะลึง นางไม่ได้ยินสิ่งที่เฉี่ยนอินกล่าวเลย นางรู้สึกเพียงว่าเหมือนเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น จากนั้นนางก็ลุกจากเตียงด้วยความมึนงง
เฉี่ยนอินเองก็คุ้นเคยกับนิสัยของหยุนชางอย่างมาก เมื่อเห็นว่าหยุนชางมีสติขึ้นหลังจากที่ล้างหน้าแล้ว นางจึงเล่าเรื่องทั้งหมดนี้อีกครั้ง
ว่ากันว่าเมื่อวานนี้ท่านอ๋องดื่มสุราอยู่ที่หออวี่หมั่น จากนั้นก็ได้พบองค์รัชทายาทแห่งแคว้นเย้หลาง แล้วทั้งสองก็เกิดความขัดแย้งกันโดยไม่ทราบสาเหตุ และดูเหมือนว่าจะมีการลงไม้ลงมือกันด้วย ต่อมาชางเจียคังหนิงถูกลูกน้องของเขาลากตัวไป ได้ยินว่าขณะที่กลับไปนั้นเขายังด่าทออยู่ และสีหน้าของจิ้งอ๋องไม่ดีนัก ต่อมาในกลางดึกชางเจียคังหนิงก็ถูกสังหาร ทหารได้ยินเพียงเสียงร้อง และท่านร้องออกมาเป็นชื่อของจิ้งอ๋อง และเมื่อทหารบุกเข้าไปก็พบว่าองค์รัชทายาทได้สิ้นพระชนม์แล้ว ในมือของชางเจียคังหนิงนั้นถือป้ายหยกอยู่หนึ่งอัน ซึ่งป้ายหยกนั้นสลักตัวอักษรจิ้งเอาไว้ และนั้นก็คือป้ายคาดเอวของจิ้งอ๋อง
ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นเหตุจูงใจในการลอบสังหารหรือหลักฐานและพยาน ทั้งหมดนี้ล้วนมีครบแล้ว เหลือเพียงแต่ไม่มีใครเห็นจิ้งอ๋องแทงกระบี่เข้าไปในร่างกายของชางเจียคังหนิงเท่านั้นเอง และตอนนี้จิ้งอ๋องได้หายตัวไปแล้ว ดูเหมือนว่าท่านจะหนีความผิดไป
“หลบหนีเพื่อหนีความผิดอย่างนั้นหรือ?” หยุนชางหัวเราะเยาะเย้ยเมื่อได้ยินเช่นนี้ “คนที่จิ้งอ๋องฆ่าไปนั้นมีน้อยหรือ? หากว่าท่านอยากสังหารใครสักคนจริงๆ ท่านจำเป็นต้องหนีความผิดหรือ?”
เฉี่ยนอินกังวลอย่างมาก นางรู้สึกโกรธตัวเองอย่างมาก “เมื่อคืนนี้หม่อมฉันน่าจะขอให้พ่อบ้านส่งคนไปตามหาท่านอ๋อง หากมิใช่เพราะว่าหม่อมฉันเปลี่ยนใจกะทันหัน ก็คงไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นหรอก “หลังจากพูดจบ นางก็มองไปที่หยุนชาง “พระชายาเพคะ ท่านอยากจะเข้าไปดูสถานการณ์ในพระราชวังหรือไม่เพคะ? ลองไปพูดคุยกับฝ่าบาท ฝ่าบาททรงโปรดท่านมาโดยตลอด แน่นอนว่าพระองค์ต้องฟังท่านอยู่แล้ว”
หยุนชางเอนกายพิงเก้าอี้ หลับตา และส่ายหน้า “ตอนนี้ข้าไม่เพียงแต่เป็นพระราชธิดาของเสด็จพ่อ เท่านั้น แต่ยังเป็นภรรยาของจิ้งอ๋องด้วย เป็นไปอย่างที่เจ้ากล่าว ตอนนี้มีหลักฐานที่แน่ชัด หากว่าข้าเข้าไปยุ่ง ก็จะทำให้เกิดผลเสีย” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง นางถอนหายใจเบา ๆ “ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ในเมื่อพวกเขาได้ลงมือกับจิ้งอ๋องแล้ว แสดงว่าคนที่คอยตามรอยข้าก็คงมีไม่น้อย ตอนนี้ศัตรูรู้ทุกการเคลื่อนไหวของเรา แต่เราไม่ทราบว่าศัตรูคือใคร เช่นนี้สิ่งที่ข้าสามารถทำได้ในตอนนี้ ก็มีเพียงแค่สั่งให้สายลับคอยติดตามการเคลื่อนไหวของจิ้งอ๋องอย่างลับๆ จากนั้นก็รอดูการเปลี่ยนแปลงของมันอย่างเงียบๆ”
ขณะที่กำลังพูด ก็เห็นว่าพ่อบ้านเข้ามาพร้อมกับคนที่แต่งตัวเป็นขันทีฝ่ายใน เขาคำนับหยุนชางแล้วกล่าวว่า “พระชายาเพคะ จิ่นกุ้ยเฟยได้ส่งคนมาแล้วขอรับ ท่านส่งสารมาว่า หากว่าพระชายาทรงมีเพลา ก็ให้เข้าวังสักประเดี๋ยวเดียวขอรับ”
หยุนชางรู้ว่าจิ่นกุ้ยเฟยคงทราบเรื่องนี้แล้ว และแน่นอนท่านก็คงเป็นห่วงตนอย่างมาก นางครุ่นคิดแล้วจึงยืนขึ้นพร้อมตอบ ” ข้ากลับไปเปลี่ยนชุดที่ห้องแล้วจะเดินทางไปทันที”
เฉี่ยนอินไปหาชุดผ้าลายเมฆสีม่วงให้หยุนชางสวมใส่ สีจากนั้นก็หาเสื้อคลุมมาอีกผืน และกล่าวด้วยความลังเลว่า “ชุดนี้ไม่บางเลย สวมใส่ในอากาศแบบนี้กำลังเหมาะสม เพียงแต่ว่าแขนซ้ายของพระชายาได้รับบาดเจ็บ และแขนเสื้อของเสื้อชุดนี้ค่อนข้างกว้าง หากยกมือหรือทำกระไรก็อาจมองเห็นแผลที่พันผ้าอยู่ได้ หากกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงเห็นก็คงจะเป็นห่วงอย่างมาก หม่อมฉันจึงหากเสื้อคลุมมาเพื่อบังมันเอาไว้ แต่เสียดายที่ไม่พบเสื้อคลุมที่เข้ากับสีของชุดนี้ ส่วนเสื้อคลุมสีแดงเข้มนี้ก็พอเข้ากันได้ พระชายาคิดว่าอย่างไรเพคะ?”
หยุนชางจ้องมองไปที่เสื้อคลุมนั้น และหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง จึงกล่าวว่า “เสื้อคลุมนี้ไม่จำเป็นต้องใส่หรอก เจ้าไปหาผ้าขาวมา แล้วมาพันที่แขนข้าอีกสักหน่อย ให้มันสะดุดตามากขึ้น”
“หือ?” เฉี่ยนอินไม่เข้าใจว่าหยุนชางกำลังคิดอะไร แต่นางก็เก็บเสื้อคลุมกลับเข้าไปในกล่อง แล้วหยิบผ้าขาวมาพันแผลอีกสองสามรอบ หยุนชางยกมือขึ้น เนื้อผ้าของผ้าลายเมฆนั้นลื่นมากอยู่แล้ว เมื่อนางยกมือขึ้น แขนเสื้อของนางก็เลื่อนไปอยู่ตรงระหว่างข้อมือของนาง และแผลที่มีผ้าพันแผลหนาๆ พันอยู่ก็ปรากฏขึ้น
หยุนชางพยักหน้า “ไปกันเถอะ”
หลังจากเข้าไปในพระราชวังแล้ว หยุนชางรู้สึกว่าสายตาของผู้คนในวังจำนวนมากจับจ้องมาที่ตน และมีเสียงกระซิบดังขึ้นบ้างเป็นครั้งคราว หยุนชางถอนหายใจอย่างเย็นชา และมุ่งหน้าไปยังวังจิ่นซิ่ว . . .
นางหยุดเสียงส่งสารเสด็จเอาไว้ หยุนชางเดินไปอยู่ตรงหน้าวังจิ่นซิ่ว จากนั้นก็ได้ยินเสียงคนพูดคุยกันดังมาจากข้างใน หยุนชางหยุดนิ่ง และฟังอยู่ครู่หนึ่ง เสียงนี้ดูเหมือนจะเป็นเสียงของจิ่นกุ้ยเฟยและฮองเฮาหลิวชินหย่า
หยุนชางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ก้าวเข้าไป แววตาของนางสงบนิ่ง สีหน้านั้นก็สงบอย่างมาก หลังจากเดินเข้าไปแล้วนางก็กล่าวด้วยความตกตะลึงว่า “หืม? พระราชินีก็ทรงอยู่ที่นี่หรือ?” หลังจากพูดจบ นางก็ถวายบังคมต่อหลิวชิงหย่า ” ชางเอ๋อร์มิทราบว่าพระราชินีทรงพูดคุยกับเสด็จแม่อยู่ ชางเอ๋อร์ขออภัยเพคะ”
หลิวชิงหย่ารีบขอให้นางลุกขึ้นแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า ” ข้าได้ยินคนในพระราชวังพูดถึงเรื่องของจิ้งอ๋อง แล้วจึงทราบว่าเกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ขึ้น ข้าคิดว่ากุ้ยเฟยเหนียงเหนียงนั้นเป็นเสด็จแม่ของพระชายา ฉะนั้นจึงคิดว่าคงทราบเรื่องอยู่บ้าง ก็เลยมาถามไถ่ ข้าไม่เชื่อว่าท่านจิ้งอ๋องจะทำเรื่องเช่นนี้หรอก เพียงแต่ว่าคำพูดของคนหมู่มากนั้นน่ากลัว อีกทั้งจิ้งอ๋องก็ยังไม่ปรากฏตัวเสียที เพื่อไม่ให้ท่านอ๋องนั้นโดนใส่ร้ายไปเช่นนี้ พระชายาจึงรีบเตรียมตัวไว้ก่อนเสียดีกว่า”
หยุนชางพยักหน้าเล็กน้อย “ขอบพระทัยความสำหรับความเป็นห่วงของพระราชินีเพคะ ชางเอ๋อร์ทราบแล้วเพคะ”
จิ่นกุ้ยเฟยจ้องมองไปที่หยุนชางอยู่ตลอด และเมื่อเห็นว่าฮองเฮามิได้เอ่ยปาก นางจึงกล่าวเบาๆ ว่า “เมื่อวานนี้ชางเอ๋อร์มิได้พักผ่อนหรือ? สีหน้าของเจ้าขาวซีดอย่างมาก เจ้าได้เสวยพระกระยาหารเช้าหรือยัง?”
เฉี่ยนอินรีบตอบไปว่า “พระชายายังมิได้เสวยเพคะ”
หยุนชางหันไปจ้องเฉี่ยนอิน เฉี่ยนอินก็รีบก้มศีรษะลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ก้าวถอยหลังสองก้าวและยืนอยู่ข้างๆ โดยไม่พูดอะไรอีก จิ่นกุ้ยเฟยได้ยินเช่นนี้ ก็จ้องไปที่หยุนชาง แล้วสั่งให้นางกำนัลไปเตรียมอาหารมา
ในขณะนั้น ก็มีนางกำนัลนำน้ำชามาถวายให้หยุนชาง หยุนชางอมยิ้มแล้วกล่าวขอบใจ จากนั้นก็ยกมือรับมา และทันทีที่ยกมือ แขนเสื้อที่กว้างใหญ่นั้นก็ลื่นออกมา
“ชางเอ๋อร์ แขนของเจ้าเป็นกระไรหรือ?” แม้ว่าหยุนชางจะวางมือลงด้วยความร้อนรน เพื่อให้แขนเสื้อตกลงมา จิ่นกุ้ยเฟยที่จ้องมองนางตลอดเวลาก็เห็นถึงความผิดปกติ
หยุนชางยิ้ม “ไม่เป็นกระไรมากหรอกเพคะ”
จิ่นกุ้ยเฟยขมวดคิ้วและมองไปที่เฉี่ยนอินที่ดูเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง “เฉี่ยนอิน เจ้าบอกข้าที แขนของนายหญิงของเจ้าโดนอะไรมาหรือ?”