ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - บทที่ 395 จิ้งอ๋องยังไม่กลับมา
เฉี่ยนอินก็รีบกล่าวว่า “เมื่อวานนี้ขณะที่กลับจากพระราชวัง พระชายาเจอผู้ลอบสังหารระหว่างทางเพคะ เหล่าสายลับนั้นถูกล่อไปที่อื่นแล้ว ตอนนั้นเหลือเพียงแต่พระชายาและคนขับรถม้าเพียงสองคนเท่านั้นเพคะ คนขับรถม้าพยายามปกป้องพระชายาให้หนีไปได้ พระชายาจึงรีบหนีและโดนมือสังหารแทงเข้าที่แขนเพคะ แผลนั้นลึกมากเพคะ”
“หมอหลวงได้ตรวจดูหรือยัง?” ดวงตาของจิ่นกุ้ยเฟยมีน้ำตาออกมาเล็กน้อย นางกล่าวอย่างเร่งรับ
หยุนชางกำลังจะตอบรับ จากนั้นก็ได้ยินเสียงของจักรพรรดิหนิงดังมาจากนด้านนอก ” หมอหลวงอะไรกัน? ใครไม่สบายหรือ?”
ทุกคนในตำหนักหยุดพูดในทันที จากนั้นก็ยืนขึ้นและถวายบังคม
จักรพรรดิหนิงกล่าวว่า “นั่งได้” จากนั้นก็เดินไปประทับที่ที่นักหลัก และถามอีกครั้งว่า ” เหตุใดพวกเจ้าจึงพูดถึงหมอหลวง? ใครไม่สบายหรือ?”
จิ่นกุ้ยเฟยมิได้เอ่ยปาก หยุนชางก็ไม่พูดกระไรเช่นกัน แต่หลิวชิงหย่ายิ้มเบา ๆ และชำเลืองมองสีหน้าของหยุนชางและพูดเบา ๆ ว่า “เมื่อวานนี้พระชายาถูกลอบสังหารในระหว่างทางที่กลับจวนเพคะ และได้รับบาดเจ็บที่แขน เหมือนว่าแผลนั้นลึกมากเพคะ”
เมื่อจักรพรรดิหนิงได้ยินเช่นนี้ ก็ขมวดคิ้ว จากนั้นจึงหันไปมองหยุนชาง “เป็นเช่นนี้จริงหรือ?”
หยุนชางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพยักหน้ายอมรับ “ใช่เพคะ แต่ว่าท่านอ๋องได้สั่งให้หมอหลวงมาดูอาการแล้วเพคะ”
“เรียกหมอหลวงท่านไหนไปหรือ?” จักรพรรดิหนิงถามอีกครั้ง แต่หยุนชางยังไม่ทันได้ตอบ เขาก็พูดต่อว่า “ท่านหมอใหญ่ของสำนักหมอหลวงเข้าเวรวันนี้พอดี เมื่อสักครู่เจิ้นก็ได้ตามตัวเขามาพบเช่นกัน หัวหน้าเจิ้ง เจ้าไปตามท่านหมอใหญ่หลิวมา”
หยุนชางรีบกล่าวว่า “เป็นเพียงแผลเล็กๆ ก็เท่านั้นเองเพคะ ไม่เป็นกระไรมากหรอกเพคะ”
“บาดเจ็บเล็กน้อยหากไม่ดูแลให้ดี รักษาช้าไปก็จะกลายเป็นโรคหนัก เสด็จแม่ของเจ้าเป็นห่วงอย่างมาก ฉะนั้นก็ให้ท่านหมอใหญ่หลิวตรวจดูหน่อยก็แล้วกัน” จักรพรรดิหนิงพูดอย่างเฉยเมย แววตาของเขามองไปที่ใบหน้าของหยุนชาง จากนั้นก็มองไปที่จิ่นกุ้ยเฟย ” เฉินซีอยู่ที่ใด?”
จิ่นกุ้ยเฟยหันไปกล่าวต่อนางกำนัลว่า “ไปอุ้มองค์ชายน้อยออกมาเถิด”
นางกำนัลตอบกลับอย่างรวดเร็ว และเดินเข้าไปในห้องโถงชั้นใน หลังจากนั้นไม่นานก็อุ้มเฉินซีออกมา เฉินซีกำลังหลับอยู่ จักรพรรดิหนิงยิ้มและรับเขามาจากอ้อมแขนของแม่นม และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าตัวน้อยเอาแต่กินแล้วก็นอน เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าตัวหนักขึ้นทุกที?”
หลิวชิงหย่าอมยิ้มเล็กน้อย และมองไปที่เฉินซีด้วยรอยยิ้ม และพูดเบา ๆ ว่า “ตอนนี้องค์ชายน้อยอยู่ในวัยกำลังโตเพคะ เมื่อตอนกลับมาที่วังครั้งแรก เขาดูคล้ายกับจิ่นกุ้ยเฟยอย่างมาก แต่ตอนนี้เมื่อโตขึ้นบ้างแล้ว ตาและคิ้วดูคล้ายกับฝ่าบาทอย่างมากเลยเพคะ เพียงแต่ว่าปากน้อยๆ นั้นเหมือนกับจิ่นกุ้ยเฟยมากที่สุดแล้วเพคะ”
เมื่อจักรพรรดิหนิงได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะลั่น และทำให้เฉินซีที่อยู่ในอ้อมแขนตื่นขึ้นมา เขาลืมตาขึ้นและกำลังจะร้องแล้ว แต่เมื่อเห็นจักรพรรดิหนิงยิ้มอย่างมีความสุข เขาก็ลืมที่จะร้องไห้ทันที ดวงตาน้อยๆ นั้นเบิกกว้างและมองจ้องไปที่จักรพรรดิหนิง
หยุนชางมองจิ่นกุ้ยเฟยที่เย็นชาต่อจักรพรรดิหนิง นางก็แอบถอนหายใจ คำว่ารักที่มันยากที่จะเข้าใจจริงๆ
หลังจากที่จักรพรรดิหนิงเล่นกับเฉินซีเล่นอยู่ครู่หนึ่ง หัวหน้าเจิ้งก็พาหมอหลวงเข้ามา หมอหลวงรีบโค้งคำนับจักรพรรดิหนิง จากนั้นจึงคำนับฮองเฮาและจิ่นกุ้ยเฟย จักรพรรดิหนิงบอกให้เขาลุกขึ้นและตรวจดูบาดแผลของหยุนชาง หมอหลวงจึงได้รับลุกขึ้น และเดินไปคุกเข่าหนึ่งข้างอยู่ตรงหน้าหยุนชาง
หยุนชางกล่าวเบาๆ ว่า “เช่นนั้นก็ขอรบกวนท่านหมอใหญ่หลิว” จากนั้นนางก็เอื้อมมือออกและถกแขนเสื้อขึ้น เผยให้เห็นแขนที่พันด้วยผ้าขาว
ท่านหมอใหญ่หลิวแกะแถบผ้าขาวออกทีละชั้นๆ อย่างรวดเร็ว เมื่อแถบผ้าถูกแกะออกถึงชั้นใน ก็เห็นคราบเลือดก็แทรกซึมเข้าไปในแถบผ้าชั้นในแล้ว หยุนชางขมวดคิ้วเล็กน้อย และสายตาของนางมองไปที่อื่น
“เลือดจากบาดแผลแห้งและติดอยู่ที่ผ้า หม่อมฉันจะต้องใช้แรงดึงผ้าออกมา พระชายาโปรดทนหน่อยนะขอรับ” หยุนชางได้ยินเสียงของท่านหมอใหญ่หลิวกล่าวอย่างสงบนิ่ง นางจึงพยักหน้า
ท่านหมอใหญ่หลิวอย่างแรง จากนั้นก็ดึงเอาผ้าที่ติดอยู่บนแขนลงมาได้ หยุนชางขมวดคิ้วและเปล่งเสียงออกมาเบาๆ สีหน้าของนางขาวซีดเล็กน้อย
บาดแผลนั้นเปิดเผยต่อหน้าทุกคน มันเป็นบาดแผลที่ยาวและลึกมาก ท่านหมอใหญ่หลิวขมวดคิ้ว “บาดแผลของพระชายานั้นลึกมากขอรับ อีกแค่เล็กน้อยเท่านั้นก็จะถึงกระดูกแล้ว ไม่ทราบเกิดจากอาวุธอะไรขอรับ?”
หยุนชางถอนหายใจอยู่นานแล้วจึงกล่าวว่า “กระบี่ยาว เมื่อวานนี้มือสังหารแทงกระบี่มาที่ข้า ข้าจึงยกมือสกัดเอาไว้”
ท่านหมอใหญ่หลิวพยักหน้า “มือสังหารนั้นลงแรงอย่างหนักเชียว แผลบาดเจ็บครั้งนี้ของพระชายาต้องรักษาให้ดีขอรับ และเสริมด้วยซุปสมุนไพร สามารถฟื้นตัวได้ภายในเดือนกว่าๆ แต่ถ้าหารักษาไม่ดี ก็อาจทำให้เกิดผลสืบเนื่องจากบาดแผลได้ขอรับ”
หยุนชางตอบรับ “เมื่อวานนี้หมอหลวงอีกท่านก็กล่าวเช่นนี้เหมือนกัน”
ท่านหมอใหญ่หลิวกล่าวอีกครั้งว่า “เช่นนั้นก็ดี หม่อมฉันให้พระโอสถไว้กับพระชายาหนึ่งขวดแล้วกัน ส่วนพระโอสถที่เสวยนั้นก็ทรงเสวยตามที่หมอหลวงท่านเมื่อวานจัดสั่งเลยขอรับ”
หมอหลวงเขียนใบสั่งยาเรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็ถอยกลับไป จักรพรรดิหนิงจึงกล่าวต่อว่า “ช่วงนี้ในเมืองหลวงนี้ไม่สงบเท่าไหร่นัก เวลาเจ้าออกเดินทางไปไหนก็พาสายลับไปเยอะหน่อยแล้วกัน ต้องคอยปกป้องเจ้าอย่างใกล้ชิดทุกย่างก้าว เจิ้นจะมอบสายลับให้เจ้าอีกสักสองสามคน พวกเขาล้วนเป็นคนที่เคยอยู่กับเจ้าเมื่อครั้งที่อยู่เมืองคังหยาง”
หยุนชางรีบขอบพระคุณ “ถ้าอย่างนั้นก็ขอบคุณความกรุณาของเสด็จพ่อเพคะ”
จักรพรรดิหนิงพูดคุยอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ออกจากวังจิ่นซิ่วพร้อมฮองเฮา โดยไม่เอ่ยถึงจิ้งอ๋องเลย หยุนชางออกจากวังหลังเสวยพระกระยาหารเที่ยงเรียบร้อยแล้ว ในช่วงบ่ายมีข่าวมาจากพระราชวังว่า แม้จิ้งอ๋องจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น แต่ฮ่องเต้ก็ยังคงเป็นห่วงจิ่นกุ้ยเฟยและพระชายาจิ้งอ๋องเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังเอาเรื่องที่เกิดในวังจิ่นซิ่วในวันนี้ไปเล่าอย่างเกินจริง โดยกล่าวว่าพระชายาจิ้งอ๋องได้รับบาดเจ็บ จักรพรรดิหนิงทรงรักพระราชธิดาอย่างมาก จึงได้สั่งกับหัวหน้าเจิ้งด้วยตัวเองพระองค์เองว่า ให้ไปตามท่านหมอใหญ่หลิวมาตรวจอาการให้กับพระชายาจิ้งอ๋อง”
“พระชายาจงใจให้ฝ่าบาทเห็นบาดแผลที่แขนของท่านหรือเพคะ?” เฉี่ยนอินมองไปที่หยุนชางอย่างร้อนรน ดวงตาของนางเปล่งประกายด้วยแสงแห่งความชื่นชม
หยุนชางยิ้มเล็กน้อยและพูดเบา ๆ ว่า ” อีกฝ่ายเข้าโจมตีจิ้งอ๋อง และช่วงนี้มีข่าวที่โจมตีจิ้งอ๋องมากจนเกินไป ตั้งแต่เรื่องที่ตัวตนที่แท้จริงของจิ้งอ๋องรั่วไหล จนไปสู่คุกหลวงที่โดนเผา อีกทั้งเรื่องที่ชางเจียคังหนิงโดนลอบสังหารไปเมื่อวานนี้ เรื่องแต่ละอย่างตามกันมาติดๆ และหากเราจัดการไม่เรียบร้อย เช่นนั้นอาจทำให้จิ้งอ๋องเกิดปัญหาใหญ่ได้ เหล่าขุนนางในวังนั้นล้วนเป็นคนที่ประจบคนตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป เมื่อเห็นว่าจิ้งอ๋องเป็นเช่นนี้ การซ้ำเติมกันนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดา ข้าแค่ต้องการใช้การนินทาของหมอหลวงและเหล่านางกำนัล เพื่อบอกคนเหล่านั้นว่า ต่อให้จิ้งอ๋องเกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ แต่ก็จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้นกับจวนจิ้งอ๋องอย่างแน่นอน ทำไม่ว่าอย่างไรเสด็จพ่อก็จะเข้าข้างเราเสมอ”
“แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไปหรือเพคะ? ควรสืบเรื่องที่คุกหลวงโดนน้ำมันตุงเผาหรือว่าสืบเรื่องที่ชางเจียคังหนิงถูกสังหารหรือเพคะ? หม่อมฉันรู้สึกว่าการที่ป้ายหยกของท่านอ๋องไปอยู่ในมือของชางเจียคังหนิงนั้น ต้องสืบให้ดีเพคะ อีกอย่าง ก่อนหน้านี้หม่อมฉันเคยได้ยินลั่วอี้กล่าวว่า ท่านอ๋องนั้นดื่มสุราพันถ้วยก็ไม่มีทางเมาอย่างแน่นอนเพคะ แล้วท่านจะเมาสุราได้อย่างไรหรือ? อีกเรื่องหนึ่งเพคะ ได้ข่าวว่าชางเจียคังหนิงนั้นถูกสังหารโดยใช้กระบี่ แต่หม่อมฉันได้ยินมาว่า ท่านอ๋องจะใช้เพียงกระบี่ชิงหนิงของท่านเท่านั้น หากไม่ใช่กระบี่ชิงหนิง ท่านก็ยอมที่จะไม่ใช้กระบี่เพคะ แต่เมื่อวานนี้ ท่านอ๋องออกไปอย่างเร่งรีบ ท่านจึงมิได้พบกระบี่ไปด้วยซ้ำเพคะ……..”
หยุนชางฟังอย่างเงียบ ๆ และเมื่อเฉี่ยนอินหาจุดสงสัยไม่พบแล้ว นางจึงยิ้มและกล่าวว่า “แม้แต่เจ้าก็ทราบเรื่องเล่านี้ แสดงว่าคนที่ทราบเรื่องนี้ต้องมีไม่น้อยอย่างแน่นอน แต่ถึงทราบแล้วจะยังไงต่อหรือ แต่ก็ยังมีคนจำนวนมากที่พบว่าท่านอ๋องและชางเจียคังหนิงมีปากเสียงกันในวันนั้น ก่อนที่ชางเจียคังหนิงจะเสียชีวิต ทหารของเขาได้ยินว่าเขาตะโกนเรียกชื่อของท่านอ๋อง อีกทั้ง ป้ายคาดเอวที่อยู่ในมือเขาเป็นป้ายของท่านอ๋องจริงๆ ก็ยังคงเป็นคำเดิมอยู่ดีว่า ตอนนี้ศัตรูรู้ทุกการเคลื่อนไหวของเรา แต่เราไม่ทราบว่าศัตรูคือใคร ตอนนี้ข้าจะไม่ทำอะไรทั้งนั้น ข้าตั้งใจรักษาตัวอยู่ที่จวนก็เพียงพอแล้ว หากจิ้งอ๋องไม่ปรากฏตัว ก็ไม่สามารถถือโทษเขาได้ แล้วข้าจะรีบร้อนอะไรกัน?”