ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - บทที่ 397 หยุนชางแกล้งป่วย
เมื่อผ่านไปได้ชั่วครู่ หยุนชางพลันได้ยินเสียงของเฉียนยินดังเข้ามา น้ำเสียงเต็มไปด้วยความรู้สึกกังวลเล็กน้อย “นู๋ปี๋ก็มิรู้เหมือนกันเจ้าค่ะ เมื่อครั้งเข้าเฝ้าจักรพรรดิแคว้นเซี่ยอาการยังดี ๆ อยู่เลย. อาการยังปกติทุกอย่าง หากแต่ยังมิทันจะได้หันหลังกลับห้อง สีหน้าพลันซีดลงพร้อมเป็นลมล้มพับไปกับพื้นแล้วเจ้าค่ะ นู๋ปี๋ตกใจเป็นอย่างมาก เลยรีบร้อนพยุงหวางเฟยเข้ามา”
เฉียนยินพลางนำหมอเดินเข้ามาในห้องนอน พลันมองไปยังเตียงที่มีผ้าห่มผืนหน้าปิดอยู่ จึงเดินไปยังข้าง ๆ เตียง พร้อมค่อย ๆ เปิดผ้าม่านออก เพื่อให้ท่านหมอได้เห็นใบหน้าที่ซีดเซียวของหยุนชาง เพียงครู่หนึ่ง เฉียนยินจึงรีบปิดม่านลง พลางยื่นมือหยุนชางออกมา พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเบา ๆ ว่า “รบกวนท่านหมอ ช่วยตรวจดูอาการให้หวางเฟยแล้ว ว่าหวางเฟยเป็นเช่นไรกันแน่?”
ท่านหมอท่านหนึ่งเดิมมายังด้านหน้าเพื่อจับชีพจร พลางถอยกลับไปยืนข้าง ๆ ดังเดิม ท่านหมอที่อยู่ด้านหลังจึงได้ก้าวเข้ามาจับชีพจรบ้าง เมื่อรอจนท่านหมอทั้งหมดทำการตรวจเสร็จสิ้นแล้ว เฉียนยินพลางรีบร้อนถามขึ้นมาว่า “ร่างกายของหวางเฟยเป็นเช่นไรบ้างเจ้าค่ะ ?”
ท่านหมอทั้งหลายต่างมองหน้ากัน ก่อนจะพูดออกมาว่า “เป็นอารมณ์แปรปรวนจากความโกธรพะยะค่ะ”
หลังจากนั้น ท่านหมอที่ได้จับชีพจรคนแรกเหลือบมองไปยังท่านหมอคนอื่น ๆ นั้น พลางลูบที่หนวดเคราตัวเองพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม ๆ ออกมาว่า “แต่เดิมหวางเฟยร่างกายอ่อนแออยู่แล้ว จากการวัดชีพจรนั้น มีอาการที่หน้าเป็นห่วงเป็นอย่างมากรวมถึงอารมณ์ที่แปรปรวนจากความโกธรที่ตีกลับไปยังลมปราณนั้น จึงทำให้ร่างกายเกิดความแปรปรวน และทำให้เป็นลมไปในที่สุด พะยะค่ะ”
“ถ้าเช่นนั้นหวางเฟยจะฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่หรือ ? พวกท่านสั่งยามาเถิด” เฉียนยินได้ยินดังนั้น พลันขมวดคิ้วลง นัตย์ตาเต็มไปด้วยความแวววาว พลางทำเสียงร้องขึ้นจมูกสะอึกสะอื้นเล็กน้อย “ตอนนี้ท่านอ๋องก็มิอยู่ในวัง หวางเฟยยังมาล้มป่วยลงอีก หม่อมฉันมิรู้จะทำเช่นไรจริง ๆ ”
ท่านหมอทำการพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง จึงกล่าวออกมาว่า “หม่อมฉันสามารถสั่งยาให้ได้ หากแต่ร่างกายของหวางเฟยต้องบำรุงเป็นอย่างมาก ให้เปลี่ยนเป็นทานมังสวิรัติเพิ่มเสียหน่อยเถิด อีกทั้งต้องทำให้ หวางเฟยไม่คิดมาก อีกสักสองชั่วยามหวางเฟยก็อาจจะฟื้นขึ้นมาแล้ว”
เฉียนยินพยักหน้ารับคำ พลางหยิบกระดาษ พู่กันและน้ำหมึกออกมาเพื่อให้ท่านหมอสั่งยา แล้วจึงพาท่านหมอมาส่งออกจากวัง
เมื่อครั้งส่งท่านหมอเสร็จแล้วกลับมายังห้องนอนแล้ว พลันเห็นหยุนชางนั่งอ่านตำราอยู่บนตั่ง เฉียนยินลอบสำรวจใบหน้าที่ซีดเซียวเล็กน้อย พร้อมทั้งยิ้มออกมา “นู๋ปี๋จะไปนำน้ำมาให้หวางเฟยล้างหน้าล้างตานะเพคะ ใบหน้าหวางเฟยขาวซีดเสียทำให้ผู้คนตกใจไปหมด”
หยุนชางพลันหันหน้ามาหาเฉียนยิน พลางยิ้มพร้อมพยักหน้าลงเล็กน้อย “เมื่อครู่แสดงได้ดี ข้าจักตบรางวัลให้”
เฉียนยินรีบร้อนพูดขึ้นมาว่า “หวางเฟยอย่าได้หยอกล้อหม่อมฉันเลยเพคะ” เมื่อพูดจบพลางลอบมองใบหน้าของหยุนชางเงียบ ๆ ภายในใจพลันขบคิดขึ้นมาว่า หวางเฟยทำเช่นนี้ขึ้นมาหมายความว่าอย่างไร หากแต่ก็รู้ว่าความคิดของเจ้านายของตนนั้น มิใช่ใครจะสามารถทายใจนางออก จึงรีบถอยออกจากห้องไป พลางเรียกให้สาวใช้จัดเตรียมน้ำเข้ามา
ภายในวันที่สอง ข่าวคราวพระชายาจิ้งอ๋องที่ล้มป่วยได้แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวง แม้ว่าจิ้งอ๋องตอนนี้จะไม่ได้อยู่วัง อีกทั้งยังมีปัญหาเช่นนี้อีก หากแต่หยุนชางยังเป็นบุตรคนโปรดของจักรพรรดิหนิงอีกด้วย หลายตระกูลในเมืองหลวงที่รู้ข่าวคราว ได้แต่พูดคุยพิจารณาถึงปัญหานี้ หากแต่ก็มิกล้าละเลยประเด็นนี้เช่นกัน จึงได้ส่งของขวัญมาเยี่ยมเยียนเสียมากมายมายังหน้าประตูวัง หยุนชางจึงให้เฉียนยินออกไปรับของจากผู้คน พร้อมทั้งบอกว่า ร่างกายของนางยังมิดีขึ้นต้องได้รับการพักผ่อนเป็นอย่างมาก หากแต่ให้พระชายาซุ่นชิ่งกับหวังจินเหยียนและเสด็จแม่ของนางเข้าพบได้
หยุนชางพลางพูดคุยกับพระชายาซุ่นชิ่งอยู่ครู่หนึ่ง พลางหันมาปลอบใจหวังจินเหยียนที่กังวลกว่าพระชายาซุ่นชิ่งเล็กน้อย จากนั้นจึงกล่าวไล่แบบอ้อม ๆ ว่านางเหนื่อยแล้ว พร้อมทั้งส่งพวกเขาออกจากวัง
ไม่นานนัก เฉียนยินก็มารายงานว่า “นู๋ปี๋สั่งให้องครักษ์เงาตามไปดูอย่างเงียบ ๆ ทั้งพระชายาซุ่นชิ่งและพี่สาวหวังล้วนแต่ถูกคนลอบติดตามกลับไป พี่สาวหวังอาจจะเห็นกระดาษที่หวางเฟยแอบส่งให้นาง จึงพาฮูหยินหวังเดินวนรอบเมืองหลวง แล้วจึงไปทานอาหารที่หอยวี่หมั่นแล้วจึงกลับจวนเพคะ หากแต่เมื่อนางออกจากหอยวี่หมั่นแล้วพลางให้เงินขอทานที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้าสองสามคน ผู้ที่ติดตามพี่สาวหวังนั้นจึงไปลอบติดตามขอทานสองสามคนผู้นั้นแทน”
หยุนชางยิ้มเล็กน้อย “ตบรางวัลให้พวกเขา” พลางวางตำราลงไว้ด้านข้าง
เฉียนยินพยักหน้าเล็กน้อย “เมื่อครู่ฮูหยินเสนาบดีจิ่งมาขอเข้าเฝ้าเพคะ นู๋ปี๋จึงกล่าวออกไปว่า เมื่อครู่หวางเฟยพูดคุยกับพระชายาซุ่นชิ่งพร้อมทั้งหวังจินเหยียนและฮูหยินหวังเสียนาน ตอนนี้ท่านเหนื่อยเป็นอย่างมาก ฮูหยินจิ่งจึงกล่าวว่า พรุ่งนี้จะมาใหม่ ”
“หากพรุ่งนี้เขามาละก็ เจ้าก็พาให้เขาเข้ามาเสีย” หยุนชางพูดด้วยน้ำเสียงเฉยเมย
เฉียนยินพลางรีบร้อนย่อกายคำนับ “เพคะ”
หยุนชางใบหน้าดูเหนื่อยล้าเล็กน้อย “ผู้ที่ออกไปซื้อของวันนี้ออกไปหาส่งข่าวแล้วใช่หรือไม่ ?”
“ออกไปส่งข่าวแล้วเพคะ วันนี้หวางเฟยป่วย ผู้คนด้านนอกล้วนเดาออกว่าหวางเฟยฉลาดเฉลียวเป็นอย่างมาก จึงคิดว่าหวางเฟยจะต้องทำอันใดกับอาการป่วยเป็นแน่ จึงนำกำลังพลไปคอยเฝ้ามองผู้ที่เข้าออกในวังแทน แม้แต่ท่านหมอที่มาจับชีพจรในวันนี้ ล้วนแต่ถูกลอบติดตามกลับไป พวกเขาเป็นผู้ที่ตาบอดอย่างแท้จริง ผู้ที่นำไปเล่าต่อล้วนแต่ไม่มีใครสังเกตุเห็น ” เฉียนยินหัวเราะคิกคักออกมา นี้เป็นเพียงเหตุการณ์ที่นางเห็นในวันนี้
“วิญญาณทูตผีสินะ” หยุนชางพลันหัวเราะออกมาเล็กน้อย “ข้าบอกให้เหยียนเอ๋อร์ พรุ่งนี้ให้มาเยี่ยมข้าอีกครั้ง พลางให้หน่วยเงาไปคอยตรวจสอบเรื่องน้ำมันตุงต่อไป มิต้องจงใจหลบซ่อนมากเกินไปนัก อย่างไรก็ตาม ก็คอยสอบถามถึงเรื่องที่จิ้งอ๋องเมามายในวันนั้นด้วย”
เฉียนยินพลันตอบรับ พร้อมก้มหัวลงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงพูดด้วยน้ำเสียงเบา ๆว่า “หวางเฟย ครั้งก่อนคุณชายหลิ่วเดินทางมาพบท่าน หากแต่ถูกนู๋ปี๋ตีกลับไป นู๋ปี๋พลันเห็นว่าเขายืนมองอยู่ที่ประตูอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเดินถอยออกไป”
“คุณชายหลิ่ว ? คุณชายหลิ่วท่านไหนกัน ?” หยุนชางยังมิทันได้ตอลกลับ หากแต่เมื่อได้ยินคำถามจึงนึกขึ้นมาได้ว่า นางเคยรู้จักคุณชายหลิ่ว หากแต่มีเพียงคนเดียวเท่านั้น นั่นคือหลิ่วหยินเฟิง
“กุนซือแคว้นเซี่ยท่านนั้นไงเจ้าคะ ” เฉียนหยินพลันตอบกลับ “วันนั้นท่านอ๋องยังงอแงใส่หวางเฟยเพราะเรื่องคุณชายหลิ่วอยู่เลย นู๋ปี๋กลับมาคิดยังรู้สึกโมโหอยู่เลย จึงมิได้มารายงานหวางเฟย จึงทำเป็นลืมมันไป คุณชายหลิ่วพลางยืนอยู่เช่นนั้นครู่หนึ่ง พลางถามนู๋ปี๋คำเดียวว่า หวางเฟยร่างกายเป็นเช่นไรบ้าง นู๋ปี๋เพียงตอบไปว่า อาการดีขึ้นแล้ว เขาจึงจากไป”
หยุนชางพยักหน้าลงเล็กน้อย พลางเอนกายพิงลงบนตั่งนุ่ม ๆ “ปฏิเสธไปแล้วก็ปฏิเสธไป หากแต่เขากลับมาอีกก็ค่อยปฏิเสธกลับไปอีก”
เฉียนหยินพลางพยักหน้ารับคำ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความดีใจ หากแต่เมื่อเห็นหยุนชางหลับตาลง นางจึงค่อย ๆ ถอยกายจากไป