ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - บทที่ 400 จิ่งเหวินหลาน
จักรพรรดิหนิงได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะเสียงดัง “เจ้าตัวแสบ เห็นว่าตัวเองจะแพ้แล้วจึงหาทางบิดพลิ้ว ยังจะมาขอรางวัลจากเจิ้นอีกหรือ? ขอโดนโบยสิไม่ว่า ช่างเถอะๆ ไม่กี่วันมานี้มีคนส่งชาต้าหงเผามาให้ จิ้งอ๋องชอบดื่มนัก เจ้าเอากลับจวนไปเถอะ”
“ชางเอ๋อร์เป็นคนอยู่เป็นเพื่อนเสด็จพ่อ ไม่ใช่ท่านอ๋องเสียหน่อย เสด็จพ่อลำเอียง ให้เขาไม่ให้หม่อมฉัน” หยุนชางถอนหายใจออกมาแล้วเอ่ยอย่างเชื่องช้าราวกับน้อยเนื้อต่ำใจเสียเป็นอย่างมาก
จักรพรรดิหนิงจึงหัวเราะขึ้นมาอีก “ตกลงๆ ของที่เจิ้นให้เจ้ายังไม่มากพออีกหรือ เจ้าแทบจะย้ายพระราชวังไปไว้ที่จวนอ๋องแล้ว ตอนนี้ไม่มีอะไรจะให้เจ้า ติดไว้ก่อน รอเจ้ามีอะไรอยากได้แล้วค่อยมาขอข้าก็แล้วกัน”
“เช่นนั้นก็ดีเลยเพคะ” หยุนชางหรี่ตาลง หัวเราะแล้วหันมามองจิ่งขุยที่ยืนอยู่กลางตำหนัก ข้างกายเขายังมีชายหนุ่มหน้าตาคมคาย เมื่อชายคนนั้นเห็นหยุนชางก็อึ้งไป ดวงตาฉายแววตื่นตะลึงแต่เขาก็รีบเก็บซ่อนมันไว้อย่างรวดเร็ว
“เกรงว่าท่านอัครมหาเสนาบดีจิ่งคงจะได้ข่าวว่าเสด็จพ่อพบนักฆ่าเข้า จึงได้เข้าวังมาพบโดยเฉพาะ” หยุนชางหัวเราะเบาๆ แต่ไม่ได้มีท่าทีที่จะจากไปแต่อย่างประการใด
ผู้บัญชาการทหารองครักษ์เห็นว่าจักรพรรดิหนิงไม่ได้มีท่าทีกล่าวโทษแต่อย่างใดจึงใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง “ฝ่าบาท ยามที่กระหม่อมค้นจวนท่านอัครมหาเสนาบดี…เจอศพของเมิ่งเจี๋ยยวี๋พ่ะย่ะค่ะ”
มือที่คีบหมากของจักรพรรดิหนิงชะงักไป เขาไม่ได้พูดอะไร หยิบหมากบนกระดานเก็บใส่กล่องหมากอย่างเชื่องช้า
หยุนชางกลับมีท่าทีตกใจ “ศพของเมิ่งเจี๋ยยวี๋? นางไม่ได้ฆ่าตัวตายในวังหรือ? เหตุใดศพจึงไปอยู่ที่จวนของท่านอัครมหาเสนาบดีได้? พบที่ไหนหรือ?”
ผู้บัญชาการทหารองครักษ์ลอบมองจักรพรรดิหนิงอย่างระมัดระวังแล้วจึงตอบว่า “ในกำแพงของเรือนของคุณชายจิ่งพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหนิงพยักหน้านิ่งๆ “ให้คนไปตรวจดูที่ศพหรือยัง? แน่ใจแล้วหรือว่าเป็นเมิ่งเจี๋ยยวี๋?”
ผู้บัญชาการทหารองครักษ์จึงรีบตอบว่า “กระหม่อมรีบกลับวังมารายงานจึงได้ให้ใต้เท้าหัวหน้าหวงเฉิงฝู่เป็นคนจัดการพิสูจน์ศพ คิดว่าอีกไม่นานก็คงรู้ผล”
จักรพรรดิหนิงพยักหน้าเล็กน้อย “เช่นนั้นก็รอก่อนเถอะ” แต่กลับไม่ได้ให้คนนำที่นั่งมาให้จิ่งขุย จิ่งขุยยิ่งหน้าซีดลงไปอีกและเอ่ยเสียงเบาว่า “ฝ่าบาท เรื่องนี้มีคนปรักปรำหม่อมฉัน หม่อมฉันไม่รู้ว่าศพของเมิ่งเจี๋ยยวี๋มาอยู่ในจวนของหม่อมฉันได้อย่างไร”
จักรพรรดิหนิงเก็บหมากเสร็จแล้วรับผ้าจากขันทีเจิ้งมาเช็ดมือแล้วจึงเงยหน้าขึ้นเอ่ยว่า “เป็นเรื่องปรักปรำหรืออะไรเดี๋ยวก็จะรู้ผลเอง”
เมื่อรอไปประมาณครึ่งชั่วยามแล้ว ผู้บัญชาการทหารรักษาการณ์เมืองหลวงก็เข้ามารายงาน “กราบทูลฝ่าบาท หม่อมฉันได้ยืนยันตัวตนแล้ว หญิงสาวผู้นั้นคือเมิ่งเจี๋ยยวี๋จริงๆ นอกจากนี้ตอนที่นางตายนางยังตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้ว”
จักรพรรดิหนิงพยักหน้าและหันไปมองจิ่งขุยอยู่เป็นเวลานาน “ตอนเมื่อไม่กี่วันมานี้ที่เมิ่งเจี๋ยยวี๋เสียชีวิต เจิ้นให้คนไปเก็บข้าวของที่ตำหนักของนางได้พบของบางสิ่งบางอย่าง ขันทีเจิ้ง ไปหยิบมาให้ใต้เท้าจิ่งกับคุณชายจิ่งดู”
ขันทีเจิ้งรีบขานรับและไปหยิบถาดหนึ่งมาจากด้านข้างแล้วถือมันไปหาจิ่งขุย จิ่งขุยขมวดคิ้วเล็กน้อย เขามองดูเล็กน้อยก็เห็นว่าในถาดนั้นมีซองจดหมาย ผ้าเช็ดหน้า ถุงผ้าเล็กๆ และยังมีเสื้อเด็กเล็กที่ยังทำไม่เสร็จ
จิ่งขุยเอ่ยเสียงเบา “ฝ่าบาทให้หม่อมฉันดูของเหล่านี้ทำไมหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
จักรพรรดิหนิงหัวเราะเบาๆ สายตาของเขาแข็งกระด้าง “เช่นนั้นก็ให้คุณชายจิ่งดูเถอะ”
จิ่งเหวินหลานตัวสั่นเล็กน้อย เขามองไปยังของที่อยู่บนถาดด้วยสีหน้าซีดเผือดและริมฝีปากที่สั่นไม่หยุด
จักรพรรดิหนิงหุบยิ้มทันที “คุณชายจิ่งช่างบังอาจนักที่กล้าลอบส่งจดหมายให้เจี๋ยยวี๋ของเจิ้นว่าจะไม่ทำผิดต่อหัวใจของนาง งานปักเหล่านี้ฝีมือประณีต เพียงแต่ทุกชิ้นต่างก็ปักเป็นชื่อของคุณชายจิ่ง เกรงว่าคุณชายคงจะยังไม่รู้”
หยุนชางทอดสายตาลงมองที่ถุงหอมของจิ่งเหวินหลานแล้วเอ่ยเสียงเบา “มองฝีมือปักที่อยู่บนถุงหอมของคุณชายแล้วก็ดูคล้ายกับฝีมือของเมิ่งเจี๋ยยวี๋อยู่มาก”
เมื่อได้ยินหยุนชางเอ่ยเช่นนี้ จักรพรรดิหนิงก็ส่งสัญญาณให้ผู้บัญชาการทหารองครักษ์ เขาจึงก้าวเข้าไปคว้าถุงหอมนั้นมามอบให้จักรพรรดิหนิง จักรพรรดิหนิงยังไม่ทันรับ หยุนชางก็หยิบไปเสียก่อน นางเทดอกกุ้ยฮวา*แห้งที่อยู่ด้านในออกและกลับถุงหอมจากข้างในออกมาก็เห็นว่าที่ก้นถุงหอมนั้นมีชื่อของฉินเมิ่งปักไว้อยู่ (*ดอกหอมหมื่นลี้)
จิ่งเหวินหลานเซไปด้านหลังสองสามก้าวราวกับเขายืนไม่มั่นคง ดวงตามองไปที่ถุงหอมนั้นด้วยความหวาดผวา
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว จิ่งขุยจึงเริ่มพอจะเข้าใจอะไรขึ้นมาได้ เกรงว่าเรื่องที่ในวังมีนักฆ่าปรากฏตัวคงจะเป็นเพียงแค่ข้ออ้าง การค้นในวันนี้มีเป้าหมายอยู่ที่จวนของเขาและลูกชายของเขานั่นเอง
เพียงแต่ผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์นั้นเป็นจักรพรรดิ แม้ว่าตอนนี้จิ่งขุยจะมีตำแหน่งเป็นถึงอัครมหาเสนาบดี แต่เขาก็ไม่กล้าแก้ตัวแทนบุตรชายของเขาเลยสักคำ
“คุณชายจิ่ง เจ้ายังมีอะไรจะพูดหรือไม่?” จักรพรรดิหนิงขมวดคิ้วมองจิ่งเหวินหลานด้วยท่าทางน่าเกรงขามอย่างยิ่ง
บนใบหน้าของจิ่งเหวินหลานมีเหงื่อเย็นไหลลงมา เขาขาอ่อนรีบคุกเข่าลงกับพื้น “หม่อมฉันไม่มีอะไรจะพูดพ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าของจักรพรรดิหนิงยิ่งเย็นเยียบขึ้น เขาตวาดเสียงดัง “ทหาร คุมตัวจิ่งเหวินหลานไปแล้วจัดการเสีย”
จิ่งขุยแสดงสีหน้าเจ็บปวดออกมาอยู่แวบหนึ่ง หากบุตรชายคนเดียวของเขาจะมาเสียไปเช่นนี้ มิใช่ว่าตระกูลเขาจะขาดลูกหลานสืบทอดไปหรือ เมื่อเขาคิดได้เช่นนี้ก็ไม่ได้คำนึงถึงอย่างอื่น เขารีบกล่าวขึ้นว่า “ฝ่าบาทตัดสินเช่นนี้ไม่เป็นธรรม ตอนที่จิ้งอ๋องสังหารองค์รัชทายาทแห่งแคว้นเย้หลางก็มีพร้อมทั้งหลักฐานและพยานเช่นกัน เหตุใดฝ่าบาทจึงไม่ลงโทษจิ้งอ๋อง? เรื่องของเมิ่งเจี๋ยยวี๋นี้เดิมทีก็มีข้อน่ากังขาเต็มไปหมด ฝ่าบาททรงรีบร้อนเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ภายในตำหนักเงียบลง ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาอยู่ครู่ใหญ่ กลับเป็นหยุนชางที่หัวเราะออกมา ในมือนางหยิบหมากขึ้นมาแล้วถือมันไว้หลวมๆ หมากตกลงไปในกล่องเก็บหมากทีละเม็ดๆ เกิดเสียงกิ๊งดังกังวาน “เมื่อครู่คุณชายจิ่งยอมรับข้อหาแล้ว ข้ากลับไม่คิดว่าเสด็จพ่อจัดการไม่ถูกตรงไหน เมื่อท่านพูดถึงจิ้งอ๋อง…” หยุนชางยกมุมปากโค้งขึ้น “หากท่านสามารถหาเขาพบแล้วก็ช่วยจับเขามาด้วย ข้าขอขอบคุณท่านไว้ล่วงหน้า”
หน้าบนหน้าของจิ่งขุยสั่นกระเพื่อมเล็กน้อย แต่ก็ทำได้เพียงแค่เบือนหน้าหนี เขาทนดูจิ่งเหวินหลานถูกทหารลากออกไปไม่ได้
“บุตรของท่านกระทำการชั่วช้า ท่านเองก็สำนึกตนอยู่ที่จวนเถิด ช่วงนี้เจิ้นให้เจ้าไม่ต้องมาราชการ หากไม่มีอะไร ท่านอัครมหาเสนาบดีและคนในจวนท่านก็ไม่ต้องออกจากจวน” จักรพรรดิหนิงกวาดตามองจิ่งขุยอย่างเรียบเฉยแล้วโบกมือ “ไปเถอะ”
จิ่งขุยหันหลังกลับ ขาของเขาสั่นเล็กน้อย ผ่านไปครู่ใหญ่จึงจะสามารถควบคุมอารมณ์ที่ถาโถมเข้ามาในใจได้แล้วจึงค่อยๆ เดินออกจากตำหนักฉินเจิ้งไป ด้านหลังมีเสียงของจักรพรรดิหนิงและหยุนชางดังแว่วมา
“ดึกดื่นเช่นนี้แล้ว เจ้ากลับจวนอ๋องคนเดียวเจิ้นไม่วางใจ ที่ตำหนักชิงซินของเจ้านั้น เจิ้นให้คนคอยดูแลรักษาทำความสะอาดอยู่เสมอ นางกำนัลที่เคยอยู่ที่นั่นนอกจากผู้ที่เจ้าพาไปอยู่ที่จวนด้วยแล้ว คนอื่นๆที่เหลือก็ยังอยู่ที่นั่นหมด วันนี้เจ้าก็นอนเสียที่ตำหนักชิงซินเถอะ” เสียงของจักรพรรดิหนิงเต็มไปด้วยความโปรดปรานนาง
หยุนชางได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะออกมา “เสด็จพ่อใจดีที่สุดเลยเพคะ ชางเอ๋อร์เองก็ง่วงแล้ว ขอทูลลาก่อนนะเพคะ คืนนี้เสด็จพ่อทรงมีเรื่องให้ตกพระทัยมามากก็รีบพักผ่อนเถอะเพคะ”
จักรพรรดิหนิงส่ายหน้า “อีกเดี๋ยวจะถึงเวลาว่าราชการแล้ว เจิ้นออกว่าราชการแล้วค่อยนอน”
หยุนชางตอบรับแล้วจากไป เฉี่ยนอินรออยู่ที่ด้านนอกตำหนัก เมื่อเห็นหยุนชางออกมาแล้วก็รีบตามไป “พระชายา พวกเราจะกลับจวนหรือไม่เพคะ?”
“ไม่ เรากลับตำหนักชิงซินเถอะ ข้าขอนอนสักหน่อยแล้วค่อยกลับจวนอ๋อง ข้าง่วงแล้ว” นางพูดพลางเดินนำเฉี่ยนอินไปทางตำหนักชิงซิน