ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - บทที่ 402 คนร้ายตัวจริง (๒)
เนื่องจากในวังแต่เดิมมีคนช่วยสืบหาข้อมูลค่อนข้างเยอะ จึงไม่ได้ยุ่งยากอะไรที่จะต้องการสืบหาข่าวต่าง ๆ หากแต่วันนี้ในวังจิ้งอ๋องนั้น ล้วนแต่เต็มไปด้วยหูตาที่จับจ้องอยู่ จึงเป็นการยากที่จะสามารถส่งข้อมูลข่าวสารเข้ามาได้ หยุนชางที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น จึงสั่งให้พ่อบ้านจัดเตรียมรถม้า เพียงกล่าวว่านางป่วยมาแล้วหลายวัน เกรงว่าจิ่นกุ้ยเฟยเมื่อได้รับข่าวแล้วจะเกิดความวิตกกังวล จึงเข้าวังไปหาจิ่นกุ้ยเฟยเพื่อให้นางคลายความวิตกกังวลลง พลางเรียกให้เฉียนยินมาช่วยตกแต่งเสื้อผ้าอาภรณ์ พร้อมทั้งแต่งหน้าแต่งตา จึงให้เฉียนยินพยุ่งนางขึ้นรถม้าเพื่อเดินทางเข้าวัง
เนื่องจากร่างกายที่อ่อนแอเป็นอย่างมาก ขณะที่กำลังพูดคุยกับจิ่นกุ้ยเฟยอยู่นั้น พลันเป็นลมล้มลงไป จิ่นกุ้ยเฟยทั้งวิตกกังวลทั้งกรุ่นโกธรเป็นอย่างมาก จึงให้หยุนชางพักผ่อนอยู่ในวังเพียงคืนนึง ผู้คนภายในวังล้วนแต่ได้ยินว่า หยุนชางอยู่แต่ในวังจิ่นซิ่ว มิได้เดินไปไหนเลยสักก้าวเดียว จิ่นกุ้ยเฟยได้แต่ดูแลนางอยู่ข้าง ๆ หากแต่ให้ข้ารับใช้วิ่งวุ่นไปมาในวังเสียวุ่นวายไปหมด ผ่านไปชั่วครู่จึงให้คนไปเรียกหมอหลวงมาทำการตรวจร่างกาย อีกชั่วครู่พลางเตรียมน้ำร้อน อีกชั่วครู่ต้มยา สนมภายในวังทั้งหลายได้แต่เฝ้ามองอยู่หน้าประตู แม้แต่จักรพรรดิหนิงยังมารับสำรับที่วังจิ่นซิ่วเพียงชั่วครู่
ในช่วงบ่ายของวันที่สอง ร่างกายหยุนชางค่อย ๆ ดีขึ้นแล้ว อยากกลับวังของตนจะแย่ หากแต่จิ่นกุ้ยเฟยร้องห้าม เมื่อฟังเหตุผลของหยุนชางแล้ว จิ่นกุ้ยเฟยจึงมิอาจห้ามอันใดได้ “ชางเอ๋อร์เป็นบุตรตรีที่แต่งออกไปแล้ว หากให้มาพักในวังนาน ๆ คงจะไม่ดีแน่ อีกทั้งตอนนี้ในวังของหม่อมฉันไม่มีคนดูแลเลยแม้แต่คนเดียว ชางเอ๋อร์ไม่อาจวางใจได้เพคะ”
จิ่งกุ้ยเฟยเมื่อรู้ว่ามิอาจห้ามอะไรได้นั้น จึงร้องขอให้จักรพรรดิหนิงนำหมอหลวงไปที่วังจิ้งอ๋อง หยุนชางมิสามารถขัดต่อคำสั่งได้ นางจึงต้องพาหมอหลวงกลับมายังที่วังด้วย
“หวางเฟย หม่อมฉันได้ข่าวมาแล้วว่า ช่วงนี้คุณชายจิ่งนั้นได้เข้าวังมาหลายรอบ เมื่อครั้งที่จักรพรรดิและกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงเพิ่งกลับมาจากวังเฟิงไหลนั้น ในตอนที่ประชุมขุนนาง คุณชายจิ่งก็เข้าร่วมด้วย หลังจากงานเลี้ยงครบร้อยวันของท่านชายน้อย งานเลี้ยงปีใหม่ งานส่งท้ายปีใหม่ และงานเลี้ยงสิ้นปี คุณชายจิ่งเข้าร่วมไม่เคยขาด หากแต่พบเมิ่งเจี๋ยยวี๋เมื่อครั้งแรกตอนงานเลี้ยงส่งท้ายปีเก่าเท่านั้น อีกทั้งท่านชายจิ่งยังเคยเล่นฉิน แล้วถูกจักรพรรดิชื่นชมอยู่หลายครั้ง ” อีกด้านเฉียนยินกำลังช่วยหยุนชางคลายผมออก อีกด้านนึงพลางรายงานเหตุการณ์ให้ฟัง
“โอ้ ? ยังได้ยินอะไรมาอีก ข้ามิได้บอกเจ้าก่อนหน้านั้นแล้วหรือว่าต้องฟังให้ระเอียด อย่าได้พลาดแม้แต่เรื่องเล็กน้อยแต่เพียงเรื่องเดียว” หยุนชางพลางมองไปยังใบหน้าขาวซีดของหญิงสาวในกระจก พร้อมพูดเบา ๆ
เฉียนยินนำหวีขึ้นมาสางผมให้หยุนชางเบา ๆ พร้อมกระซิบบอกหยุนชางว่า “นู๋ปี๋จำคำพูดของท่านได้หมดทุกคำ ในงานเลี้ยงครั้งแรก เมิ่งเจี๋ยยวี๋มิถูกกับการดื่มสุราเท่าใดนัก จึงออกจากงานเลี้ยงกลางคัน หลังจากนั้นคุณชายจิ่งก็ออกจากงานในครึ่งชั่วโมงต่อมา หลังจากนั้น ทุกครั้งที่คุณชายจิ่งเข้าวังนั้น เมิ่งเจี๋ยยวี๋จะมิเข้าไปร่วมงาน หากแต่จะเดินเล่นอยู่ในสวนอุทยานเพียงคนเดียวหากเมื่อออกจากงานแล้ว คุณชายจิ่งจึงค่อยเดินตามออกไป เวลานั้นคงเป็นฉีเอ๋อร์ที่ได้เข้ามาอยู่ข้างกาย เมิ่งเจี๋ยยวี๋กระมัง ช่วงเวลาเข้าออกของสาวใช้นั้น สาวใช้ข้างกายคนก่อนของเมิ่งเจี๋ยยวี๋ที่หายไปนั้น เป็นเพราะมาขโมยของนายท่าน ในตอนนั้นข้างกายของเมิ่งเจี๋ยยวี๋ขาดสาวใช้ เมื่อสาวใช้คนใหม่เข้ามา ฉีเอ๋อร์จึงเป็นหนึ่งในนั้น นู๋ปี๋ได้ยินมาว่า มีคนหลายคนที่เห็นความสนิทสนมระหว่างเมิ่งเจี๋ยยวี๋และคุณชายจิ่ง หากแต่เห็นไม่ค่อยชัดเจนนัก จึงไม่มีใครกล้าพูดมันออกมา”
หยุนชางยิ้มขึ้นมาอย่างเย็นชา “ข้าได้ยินมาว่าเสด็จพ่อและจิ่งเหวินซีคงจะสนิทสนมในเวลานั้นกระมัง ช่วงที่เสนาบดีเข้ารับตำแหน่งได้ไม่นาน ข้าได้ยินมาว่าความสัมพันธ์ระหว่างจิ่งเหวินซีและพี่ชายไม่ได้แย่ เสนาบดีจิ่งต้องการที่จะส่งบุตรีไปเชื่อมสัมพันธ์ หากแต่พี่ชายไม่ยอม หากแต่ไม่สามารถขัดคำสั่งพ่อของตนเองได้ จึงหาคนที่จะสามารถคอยช่วยเหลือน้องสาวของเขาได้นั้น หากแต่สนมในวังที่เขาเคยพบนั้น ล้วนแต่เป็นสนมขั้นสูง ตอนนี้ในวังหลวงล้วนแต่แห้งเหี่ยวไปหมด จึงตามหาสนมขั้นล่างๆ เล็งเห็นว่ามีแต่ฉินเมิ่งที่เหมาะสมกระมัง อีกคนเป็นสุภาพบุรุษ. อีกคนเป็นสนมที่จักรพรรดิมิโปรดปรานแล้ว. หากคิดที่จะคบหากัน ก็เป็นดังฟ้าแลบและฟ้าร้องที่ต้องมาคู่กัน แค่จุดไฟก็ติดเสียแล้ว”
เฉียนยินมิเคยคิดถึงเรื่องระดับนี้มาก่อน ได้ยินดังนั้น จึงพูดขึ้นมาว่า “หวางเฟยหมายถึงว่าเมิ่งเจี๋ยยวี๋และคุณชายจิ่งลอบคบชู้ ? ”
หยุนชางพลางหัวเราะคิกคักออกมา “นี้ยังไม่ชัดเจนอีกหรือ? เจ้าคิดว่าฉินเมิ่งเป็นคนเช่นไร ?”
“ภายนอกดูมิใช่คนใจง่าย หรือว่านางเปลี่ยนไปแล้ว ” เฉียนขบริมฝีปากไปมาด้วยความไม่แน่ใจ
หยุนชางพลางยิ้มเล็กน้อย “ฉินเมิ่งอยู่ในวังมาได้ซักพักแล้ว เจ้าก็รู้ว่านางเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ จริงๆ แล้ว นางแค่กำลังติดสินว่าสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองมากกว่า คนเช่นนี้เป็นพวกใส่ใจต่อคนรอบข้างทั้งหมด หากแต่มิใช่คนที่จะเชื่อใจกับสาวใช้ที่อยู่กับนางไม่ถึงสองเดือนได้. เกรงว่านางฉีเอ๋อร์อาจจะพานางไปพบคนที่นางสามารถเชื่อใจได้กระมัง นางจึงไว้ใจฉีเอ๋อร์ หรืออีกทางหนึ่ง ฉินเมิ่งมิเคยได้ออกจากวังเลย คุณชายจิ่งผู้นั้นก็เข้าวังน้อยมาก พวกเขาจะรู้จักกันได้อย่างไร ? อีกทั้งเจ้ายังพูดว่า ยังเคยมีสาวใช้เห็นพวกเขาสนิทสนมกัน ”
เฉียนยินตกตะลึงไปสักพัก พลางพูดขึ้นมาว่า” สองใจ”
“จะไปพูดว่าสองใจก็ไม่ได้ ฉินเมิ่งแต่เดิมไม่เป็นที่โปรดปรานแล้ว ก่อนหน้านั้นที่นางไปเป็นสตรีของเสด็จพ่อได้ เป็นเพราะการคาดการณ์ของข้า หลังจากนั้นข้าเห็นว่านางยังพอใช้ได้อยู่บ้าง จึงเก็บนางไว้ อีกทั้งยังเลี้ยงดูอย่างดี สุดท้านนางหักหลังข้า ข้าจึงไม่สนใจนางอีกเลย เสด็จพ่อก็ไม่เหลียวแลนาง ในส่วนลึกที่สุดของวังหลัง ล้วนแต่โดดเดี่ยว” หยุนชางพลันหัวเราะเล็กน้อย พร้อมกับลอบมองเฉียนยินที่ทำทรงผมทรงซาลาเปาง่าย ๆ ให้นาง
“คุณชายตระกูลจิ่ง มีนามว่าอะไร ? ”
เฉียนยินรีบร้อนตอบว่า “จิ่งเหวินหลาน”
หยุนชางพยักหน้ารับเล็กน้อย “เป็นชื่อที่ดีเลยทีเดียว ก่อนหน้าได้ยินมาว่า เขามิชอบรับข้าราชการหากแต่ชอบการค้าขาย เกรงว่าเขาจะเก่งในการหว่านล้อมผู้คนเป็นอย่างมาก ฉินเมิ่งที่มิได้มีประการณ์ทางด้านความรักมากนัก จะไปสู้ได้เช่นไร เมื่อคิดดูแล้วหลังจากที่จิ่งเหวินหลานเห็นว่าน้องสาวของตนไม่ได้นั่งในตำแหน่งฮองเฮาแล้ว จึงอารมณ์ไม่ดีกระมัง อีกทั้งคนที่ค้าขายส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเก่งในการวางแผนภายในบ้าน แผนที่วางออกมาจึงดูเงอะงะเช่นนี้”
“ถ้าเช่นนั้น เป็นใครที่ฆ่าฉินเมิ่งกันเพคะ? ทำไมถึงต้องขนศพไปด้วย “เฉียนยินรู้สึกสงสัยเล็กน้อย พลางกระซิบถามเบา ๆ
หยุนชางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงพูดออกมาว่า “นั้นเป็นสิ่งที่ข้าไม่เคยคิดมาก่อน หากแต่เมื่อคิดถึงความสัมพันธ์ระหว่างฉินเมิ่งและจิ่งเหวินหลานแล้ว ข้าเดาว่า อาจจะเป็นเพราะฉินเมิ่งตั้งครรถ์”
เฉียนยินพลันครุ่นคิดอยู่นาน จึงพยักหน้าลงเล็กน้อย “หวางเฟยพูดเช่นนั้น นู๋ปี๋ก็คิดเช่นนั้นเหมือนกันเพคะ เมื่อฉินเมิ่งถูกกุมขังอยู่นั้น นางกลับกำลังตั้งครรถ์ คุณชายจิ่งเกรงว่าเรื่องทุกอย่างจะถูกเปิดโปง จึงรีบร้อนฆ่านาง อีกทั้งยังกลัวว่าหวางเฟยจะไปตรวจสอบศพ จึงนำศพหนีออกมาด้วย”
หยุนชางพลันถอนหายใจออกมา แต่เดิมนางคิดว่าฉินเมิ่งจะเป็นคนที่มีส่วนในการเผาคุก และมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องของจิ้งอ๋อง เมื่อขบคิดอยู่ครู่ จึงคิดว่าเรื่องนี้มิได้มีความเกี่ยวข้องกันเลย ภายในใจรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย พร้อมหลับตาลง เหลือบมองไปยังมือของตนด้วยความโศกเศร้า
เฉียนยินเห็นดังนั้น ก็มิได้พูดอันใดให้มากความ พลางกระซิบถามว่า “หวางเฟย เช่นนั้นให้หน่วยเงาที่อยู่ที่ตระกูลจิ่งกลับมาหรือไม่เพคะ ?”
หยุนชางพลันส่ายหัว “ให้อยู่ที่นั่นไปก่อน”
เมื่อพูดจบพลางลุกขึ้นยืน พร้อมผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์ แล้วจึงหยิบตำราขึ้นมาอ่าน หากแต่ไม่มีตัวอักษรใดเข้าหัวเลยสักนิด ในหัวพลันครุ่นคิดอย่างละเอียดกับเรื่องในคุกหลวงกับเรื่องของจิ้งอ๋อง
หากเป็นดั่งคำให้การของหลิ่วหยินเฟิงแล้ว เรื่องคุกหลวงนั้นคงเป็นท่านอ๋องเจ็ดแคว้นเซี่ยและหลี่จิ้งเหยียนเป็นผู้ลงมือเป็นแน่ หากแต่ไม่รู้ว่าเขาเข้ามาในพระราชวังได้เช่นไร ตอนนี้เขาไปอยู่ที่ใดแล้ว ภายในรู้สึกกังวลเล็กน้อย หากแต่เมื่อมั่นใจว่าเป็นฝีมือของพวกเขาแล้ว ทำไมถึงไม่แกะรอยตามพวกเขาไปเล่า บางทีอาจจะเจอเบาะแสใหม่ ๆ ก็เป็นได้
ยามพลบค่ำ หน่วยเงาที่อยู่ในเมืองหลวงมาแล้วสองวันกลับได้รับข่าวสารมาแล้ว
“วันนั้นท่านอ๋องได้ทะเลาะวิวาทกับชางเจี่ยคังหนิงที่หอยวี่หมั่น. หอยวี่หมั่นแต่เดิมก็เป็นกิจการของพวกเราอยู่แล้ว หากแต่วันนั้นเถ้าแก่บังเอิญออกไปหารือเกี่ยวกับการค้าขายจึงมิได้อยู่ที่ร้าน อีกทั้งท่านอ๋องจองห้องเป็นห้องส่วนตัว อีกทั้งที่ทะเลาะกับชางเจี่ยคังหนิงนั้นยังอยู่บนห้องส่วนตัวที่ชั้นสอง ผู้คนในร้านด้านล่างพลันได้ยินแต่เสียงทะเลาะดังออกมา หากแต่มิมีผู้ใดเห็นเหตุการณ์ข้างใน ต่อมา เมื่อชางเจี่ยคังหนิงเดินลงจากร้านไปแล้ว ผู้คนล้วนเห็นหมด. หากตั้งแต่เริ่มจนถึงจบเรื่องนั้น ทุกคนกลับไม่เห็นร่างของจิ้งอ๋องเลย หากแต่ได้ยินแน่ชัดว่าเป็นเสียงของจิ้งอ๋อง อีกทั้งยังเห็นชางเจี่ยคังหนิงอีกด้วย ”