ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - บทที่ 403 ปรมาจารย์ด้านการปลอมแปลง
ตำหนักชิงซินเป็นดังที่จักรพรรดิหนิงได้กล่าวไว้ ที่นี่ถูกทำความสะอาดทุกวันและไม่ได้มีอะไรแตกต่างจากก่อนที่หยุนชางจะแต่งงานออกไปเลย บางทีอาจเป็นเพราะตำหนักฉินเจิ้งส่งคนมาบอกเหล่านางกำนัลในตำหนักแล้ว เมื่อหยุนชางกลับมาที่ตำหนักชิงซิน พวกนางก็เตรียมน้ำร้อนกันไว้เรียบร้อยแล้ว หยุนชางรีบอาบน้ำชำระร่างกายและเข้านอนอย่างรวดเร็ว
ยามที่นางตื่นขึ้น นางกำนัลก็มาบอกนางว่าวังจิ่นซิ่วส่งคนมา ตอนนี้รออยู่ด้านนอกตำหนักบอกว่ากุ้ยเฟยเหนียงเหนียงกำลังรอรับประทานอาหารกับนางอยู่
โชคดีที่จิ่นกุ้ยเฟยไม่ได้ถามอะไร เพียงแค่รับประทานอาหารด้วยกันแล้วก็ปล่อยนางออกจากวังไป
ในขณะที่รถม้ากำลังวิ่งไปบนถนน หยุนชางก็ได้ยินเสียงซุบซิบจากภายนอกดังแว่วมา นางได้ยินชื่อของจิ่งเหวินหลานอยู่หลายครั้ง หยุนชางครุ่นคิดเล็กน้อย สถานที่เช่นจวนอัครมหาเสนาบดีนั้นมีคนมากมาย ต่างคนก็ต่างปาก เกรงว่าคงมีใครหลุดปากออกมาจึงทำให้ข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วเมือง
สิ่งที่หยุนชางได้ยินล้วนไม่ใช่คำที่น่าฟังนัก นางขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วจึงปิดม่านในรถม้าอย่างมิดชิด คิ้วของนางขมวดมุ่นอย่างไม่พอใจนัก
แต่เฉี่ยนอินกลับค่อนข้างสุขใจ “ดูจากนิสัยของจิ่งเหวินซีนั่นแล้ว ทั้งพ่อแม่พี่น้องของนางคงไม่ใช่คนดีอะไรนัก ผลกรรมตามทันอย่างรวดเร็วจริงๆ มีเรื่องอย่างครั้งนี้แล้วเกรงว่าจวนจิ่งคงจะฟื้นตัวกลับมาไม่ง่ายนัก”
หยุนชางหลับตาลงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน แต่ในใจนางกลับคิดว่าเรื่องคนทำดีไม่แพร่งพราย แต่คนทำชั่วกลับลือกระฉ่อนไกลถึงพันลี้ ไม่ว่าจะมีอำนาจมากมายเพียงใด หากก้าวพลาดไปเพียงก้าวเดียวแล้วทำให้ข่าวลือเสียหายถูกแพร่ไป แม้คิดจะเริ่มต้นอ้างความดีที่เคยทำมาแต่ครั้งก่อนใหม่ก็คงยากนัก ลมปากของผู้คนนั้นยากจะหยุดยั้ง หยุนชางขมวดคิ้ว
ยามนางกลับมาถึงจวน พ่อบ้านก็กำลังรอนางอยู่ที่ห้องโถงอย่างกระวนกระวาย เมื่อเขาเห็นว่าหยุนชางมาถึงแล้วก็รีบเดินเข้ามาหานางทันทีและยื่นจดหมายฉบับหนึ่งให้นาง “นี่คือของที่สายลับของพระชายากำชับข้ารับใช้ที่ออกไปซื้อของว่าต้องส่งให้ถึงมือของพระชายาขอรับ ข้ารับใช้ผู้นั้นเข้าไปที่เรือนไม่ได้ ทั้งแม่นางเฉี่ยนอินและพระชายาต่างก็ไม่อยู่ เขาจึงนำมาให้ข้าและกำชับข้าว่าให้รีบนำมันมอบให้กับพระชายา”
“หือ?” หยุนชางเลิกคิ้วเล็กน้อย เปิดซองจดหมายออกดู ด้านในมีรูปภาพหนึ่ง หยุนชางมองดูรูปนั้นก็รู้สึกคุ้นตา ตรงกลางของรูปนั้นมีอักษรจิ้ง(靖)เขียนอยู่ เพียงแต่นางคิดอยู่นานก็คิดไม่ออกว่านี่คือรูปอะไร นางครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วจึงยื่นให้พ่อบ้านดู “นี่เป็นสิ่งของอะไรของท่านอ๋องหรือไม่?”
เมื่อพ่อบ้านรับมาดูก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป “พระชายา นี่เป็นป้ายหยกที่ท่านอ๋องพกติดตัวตลอดเวลาขอรับ”
ป้ายหยกของท่านอ๋อง หยุนชางขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วจึงนึกออก ตอนที่องค์รัชทายาทของแคว้นเย้หลางตาย ได้ยินมาว่าในมือของเขากำป้ายหยกของท่านอ๋องอยู่ ดังนั้นทุกคนจึงคิดว่าจิ้งอ๋องเป็นผู้สังหารเขา
หยุนชางรีบถามต่อ “เขาได้บอกหรือไม่ว่าได้พบที่ที่ใด?”
พ่อบ้านส่ายหัว “ข้ารับใช้ผู้นั้นเพียงบอกว่าจดหมายนี้สำคัญมาก ต้องส่งให้ถึงมือพระชายา ไม่มีอะไรอย่างอื่นอีกขอรับ”
หยุนชางเงียบไปเล็กน้อยแล้วฉีกซองจดหมายออกอย่างแรง นางพบว่าด้านในของซองจดหมายมีอักษรขนาดเล็กเท่ายุงเขียนอยู่ หยุนชางอ่านอย่างละเอียดแล้วจึงขมวดคิ้วขึ้นอีก “ป้ายหยกในมือของชางเจียคังหนิงเป็นของปลอม”
“ของปลอม?” พ่อบ้านและเฉี่ยนอินต่างก็ตกใจ พ่อบ้านขมวดคิ้วแล้วจึงเอ่ยว่า “ไม่น่าเป็นไปได้ ป้ายหยกนั้นเป็นสิ่งที่ฝ่าบาทพระราชทานให้แก่ท่านอ๋องด้วยตนเอง หลังจากที่ชางเจียคังหนิงตาย ได้ยินมาว่าป้ายหยกนั้นถูกส่งไปให้องค์จักรพรรดิทอดพระเนตรด้วยตนเอง หากเป็นของปลอม ฝ่าบาทจะดูไม่ออกได้อย่างไร?”
หยุนชางยิ้มเย็น “ผู้ร้ายตัวจริงคงจะทุ่มเงินลงไปอย่างมาก ป้ายหยกนี้เป็นของที่หลี่เชียนปรมาจารย์จอมเลียนแบบทำขึ้นจึงไม่ต่างกับของจริงมากนัก เมื่อคืนเขาเสียชีวิตแล้วที่วัดเก่าๆ ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ห่างออกไปสิบลี้
“ฆ่าปิดปาก?” เฉี่ยนอินขมวดคิ้ว
หยุนชางส่ายหน้าเล็กน้อย “หากเป็นการฆ่าปิดปาก คนร้ายต้องไม่ปล่อยให้ภาพนี้ติดอยู่กับตัวของหลี่เชียนรอให้สายลับของข้าไปเอามาแน่ นอกจากนี้ผู้ที่สังหารหลี่เชียนดูเหมือนตั้งใจให้ภาพนี้ตกถึงมือของข้า เดิมทีสายลับของข้าหาตัวเขาไม่พบ แต่มีขอทานน้อยผู้หนึ่งมาบอกเขา”
“หรือจะเป็นการซ้อนกลอะไรหรือไม่?” เฉี่ยนอินขมวดคิ้วมุ่น
หยุนชางส่ายศีรษะ “ที่ข้ารู้ว่าหลี่เชียนเป็นปรมาจารย์ด้านการปลอมแปลงนั้นเป็นเพราะท่านตาก็เคยถูกเขาหลอกมาก่อน ฝีมือการทำของเลียนแบบของเขานั้นไร้เทียมทาน เพียงแต่เขามีความเคยชินอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือการทิ้งร่องรอยของเขาไว้บนผลงานที่เขาทำขึ้น” หยุนชางชี้ไปที่ภาพบนกระดาษ บนเส้นเส้นหนึ่งมีร่องรอยบางอย่างอยู่ เป็นช่องว่างเล็กๆ ราวกับพู่กันยังไม่ได้จุ่มหมึกอย่างทั่วถึง แต่เมื่อพินิจดูอย่างละเอียดแล้วจึงได้เห็นว่ามันเป็นตัวอักษรหลี่ (李)
“ข้าเพิ่งกลับมาจากวัง หากเข้าวังไปอีกอาจทำให้ผู้คนสงสัยได้ พรุ่งนี้ข้าค่อยเข้าวังอีกครั้ง ไปพบเสด็จพ่อและขอป้ายหยกอันนั้นมาดูว่าเป็นสิ่งที่หลี่เชียนทำปลอมขึ้นมาหรือไม่” หยุนชางเก็บภาพนั้นไป
นอกจากป้ายหยกแล้ว หลักฐานที่ทำให้ผู้คนคิดว่าจิ้งอ๋องเป็นผู้ลงมือสังหารชางเจียคังหนิงนั้นก็คือเสียง ตอนนั้นผู้ที่ทานอาหารอยู่ในหอยวี่หมั่นต่างก็ได้ยินเสียงทะเลาะกันของจิ้งอ๋องและชางเจียคังหนิง หากป้ายหยกเป็นของปลอม เสียงนั้นก็ย่อมต้องเป็นของปลอมด้วยเช่นกัน
“นอกจากตัวของท่านอ๋องเองแล้ว ยังมีใครที่สามารถเลียนเสียงของท่านอ๋องได้เหมือนอีกนะ?” หยุนชางมุ่นคิ้ว พึมพำเสียงเบา
เฉี่ยนอินที่อยู่ด้านหลังครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วจึงเอ่ยว่า “ตอนที่หม่อมฉันยังเด็ก มีนักเลียนเสียงมาที่หมู่บ้าน เขาสามารถเลียนเสียงของสัตว์ได้ทุกชนิด อีกทั้งยังเลียนแบบได้เหมือนมากด้วยเพคะ”
นักเลียนเสียงงั้นหรือ? ในใจของหยุนชางอึ้งไป นางหันไปพูดกับเฉี่ยนอินว่า “สั่งการลงไปว่าให้จับตาดูนักเลียนเสียงทุกคนในเมืองหลวง แล้วสืบหาการเคลื่อนไหวของหลี่เชียนในช่วงที่ผ่านมานี้ว่าเขาไปพบใครมาบ้าง ไปสืบมาให้ชัดเจน”
เฉี่ยนอินขานรับ หยุนชางเงียบไปพักหนึ่งแล้วจึงรู้สึกแปลกประหลาด ชางเจียคังหนิงอยู่ที่หอยวี่หมั่น หลายคนต่างเห็นเขาเดินลงมาจากหอ หากบอกว่านักเลียนเสียงสามารถหลอกเหล่าคนที่อยู่ด้านล่างได้ ชางเจียคังหนิงและจิ้งอ๋องมีปากเสียงกันนานเช่นนั้นคงไม่มีทางที่จะถูกนักเลียนเสียงคนหนึ่งหลอกได้เป็นแน่
ในใจของนางเต็มไปด้วยความข้องใจ หยุนชางขมวดคิ้วแต่กลับไม่มีวิธีการอื่นใด ตอนนี้ชางเจียคังหนิงได้ตายไปแล้ว นางคงจะให้เขามาบอกนางไม่ได้ว่าเขาได้พบจิ้งอ๋องจริงๆหรือไม่?
ปริศนาต่างๆ ที่ค่อยๆ ประดังประเดเข้ามาทำให้หยุนชางรู้สึกวิงเวียน นางถอนหายใจออกมาแล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าปวดหัวนิดหน่อย ข้าจะไปนั่งรับลมที่ศาลา เจ้าไม่ต้องคอยอยู่รับใช้ข้าหรอก ไปทำอย่างอื่นเถอะ” นางพูดพลางมุ่งหน้าไปยังศาลาริมน้ำ
ในขณะที่นางเดินไปนั่งลงกลางศาลาแล้ว ในใจก็ยังคงถูกเรื่องต่างๆ รายล้อมจนรู้สึกมึนงง สายตาของนางทอดลงที่ทางเดินฝั่งตรงข้าม ที่ทางเดินนั้นมีข้ารับใช้กำลังทำความสะอาดอยู่ หยุนชางเห็นว่าข้ารับใช้ผู้นั้นราวกับกำลังแอบอู้งานอยู่ เขาปัดกวาดอย่างลวกๆ แล้วจึงนั่งลงข้างระเบียนทางเดินนั้น หยุนชางขมวดคิ้วเล็กน้อยและก็เห็นว่าอีกด้านของระเบียงทางเดินมีผู้ชายในชุดข้ารับใช้เดินเข้ามาหาเขา ทั้งสองพูดอะไรบางอย่างแล้วจึงลุกขึ้นจากไป แม้แต่ไม้กวาดก็ไม่ได้หยิบไปด้วย
หยุนชางถอนหายใจ เดิมทีนางก็ไม่ชอบยุ่งเรื่องในจวน เกรงว่าเหล่าข้ารับใช้ในจวนนี้จะอาศัยประโยชน์จากการที่ท่านอ๋องไปรบอยู่เสียแต่ที่ชายแดนจึงได้ละเลยต่อหน้าที่ แม้ว่าพ่อบ้านจะถือได้ว่าเป็นผู้ที่ใช้ได้แต่อย่างไรก็มีขีดจำกัด หยุนชางใคร่ครวญดูเล็กน้อย เมื่อเรื่องนี้คลี่คลายแล้ว นางจะให้เฉี่ยนอินไปช่วยพ่อบ้านอีกแรง แต่นางก็นึกขึ้นได้ว่าหากเรื่องนี้จบลงแล้ว จิ้งอ๋องก็คงต้องตามเซี่ยหวนอวี่กลับแคว้นเซี่ยไป
ความคิดก่อนหน้านี้ถูกข้ารับใช้อู้งานสองคนขัดขึ้น ในใจของหยุนชางจึงสงบลงมาก เพียงแต่สายลมอุ่นในฤดูใบไม้ผลิช่างสบายนัก ลมพัดมาจนทำให้หยุนชางเริ่มรู้สึกง่วงงุน นางอ้าปากหาวแล้วจึงเดินกลับไปที่ห้องเตรียมตัวนอน
เมื่อก้าวเท้าเข้าไปในห้อง เฉี่ยนอินยังไม่กลับมา หยุนชางไปหยิบผ้าห่มผืนบางมาวางบนเบาะนุ่มและคลายเสื้อผ้าตนเอง ปล่อยผมลงกำลังจะล้มตัวลงนอน นางก็เห็นเฉี่ยนอินพุ่งเข้ามาราวกับพายุ “พระชายาๆ เหล่าคนที่จับตามองเราด้านนอกจวนกำลังจะสลายตัวไปแล้วเพคะ ก่อนหน้านี้หม่อมฉันให้สายลับคอยจับตาดูพวกเขา เมื่อครู่มีสายลับมารายงานว่าเดิมทีมีคนกว่ายี่สิบคนคอยจับตามองพวกเรา แต่ตอนนี้กลับน้อยลงไปกว่าครึ่ง”
“ที่เหลืออีกสิบคนยังคนจับตาดูจวนอ๋องอยู่อีกหรือ?” หยุนชางมองเฉี่ยนอินและถามขึ้น
เฉี่ยนอินพยักหน้า “แล้วพวกที่หายไปอีกสิบกว่าคนไปทำอะไรหรือ?”
หยุนชางนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยว่า “ส่งสัญญาณให้แก่กองกำลังแฝงนอกจวน ให้พวกเขาไปจับตาดูคนอีกสิบกว่าคนที่จากไป ส่งคนไปเยอะหน่อย ต้องคอยเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด”