ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - บทที่ 406 สืบข้อเท็จจริง
เฉี่ยนอินขายรับแล้วจึงพุ่งออกไปอย่างรีบร้อนอีกครั้ง หยุนชางมองร่างที่ว่องไวปราดเปรียวราวกับสายลมแล้วก็หัวเราะเบาๆ สูดหายใจครั้งหนึ่งแล้วจึงเอนกายลงบนเบาะนุ่มนั้น
เมื่อตื่นมาอีกทีก็เป็นยามเช้าแล้ว หยุนชางตกตะลึงเล็กน้อย ช่วงนี้นางไม่ได้หลับลึกเช่นนี้บ่อยนักเพราะจิ้งอ๋องไม่อยู่ นางรู้สึกไม่เคยชินจึงได้นอนไม่หลับอยู่หลายคืน นางมักตื่นขึ้นมากลางดึกบ่อยครั้ง วันนี้ช่างเป็นการนอนหลับแสนสบายที่หาได้ยากยิ่ง
“เฉี่ยนอิน…” หยุนชางร้องเรียกแต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับอยู่นาน นางขมวดคิ้ว เลิกผ้าห่มออกแล้วลุกขึ้น ห้องด้านข้างเป็นห้องที่เฉี่ยนอินใช้นอน เพราะเกรงว่าเมื่อหยุนชางตื่นมาแล้วจะต้องการอะไร หากหยุนชางไม่ได้นอนกับจิ้งอ๋อง เฉี่ยนอินก็มักจะมานอนที่ห้องด้านข้างนี้ หยุนชางเดินไปดูที่ประตูแต่ด้านในกลับไร้เงาคน
กลับเป็นสาวใช้ด้านนอกที่เมื่อเห็นหยุนชางก็รีบเข้ามาทันที “พระชายากำลังหาพี่เฉี่ยนอินอยู่หรือเจ้าคะ?”
หยุนชางพยักหน้า สาวใช้คนนั้นจึงรีบเอ่ยว่า “เมื่อคืนพี่เฉี่ยนอินดูรีบร้อนมาก เข้ามาดูพระชายาอยู่หลายรอบ เมื่อเห็นว่าพระชายาหลับอยู่ตลอดจึงได้จากไปอีก นางได้กำชับข้าน้อยไว้ว่าหากพระชายาตื่นแล้วให้คอยปรนนิบัติพระชายาเจ้าค่ะ”
สาวใช้ผู้นี้เป็นผู้ที่มารับใช้นางหลังที่นางสมรสกับจิ้งอ๋องแล้ว ดูเหมือนนางจะชื่อเหออวิ้น? หยุนชางพยักหน้า “เข้ามาเถอะ”
เหออวิ้นรีบก้าวเข้าไป นางหาชุดกระโปรงสีขาวกับสีฟ้าที่เข้ากันแล้วจึงหันมาหาหยุนชาง “วันนี้พระชายาสวมชุดนี้เป็นอย่างไรเจ้าคะ?”
หยุนชางกวาดตามองอย่างเรียบเฉยแล้วพยักหน้าน้อยๆ เหออวิ้นจึงหยิบชุดนั้นมาแล้วค่อยๆ ช่วยหยุนชางแต่งตัวอย่างระมัดระวัง “ข้าน้อยเห็นว่าพระชายามักจะทำทรงผมที่ค่อนข้างเรียบง่าย เช่นนั้นหม่อมฉันจะเกล้าเป็นมวยเซียนโบยบิน*นะเพคะ” (*เป็นการเกล้ามวยสูงชนิดหนึ่ง ทำให้มวยผมที่เกล้าขึ้นไปตั้งยอดสูงนั้นแยกเป็นสองข้างคล้ายเซียนสาวที่กำลังโบยบิน สตรีชั้นสูงนิยมทำ โดยสตรีที่ทำทรงผมดังกล่าวมักถูกเปรียบเทียบเป็นดังเทพเซียนที่งดงาม)
หยุนชางตอบรับไปอย่างลวกๆ เหออวิ้นรีบหยิบหวีขึ้นมาเกล้าผมให้หยุนชาง ในขณะที่กำลังรวบผมอยู่ เฉี่ยนอินก็พุ่งเข้ามาราวกับพายุ เพียงแต่เมื่อเห็นว่าเหออวิ้นกำลังจะเกล้าผมให้หยุนชาง ปากที่กำลังจะอ้าเอ่ยอะไรออกมาก็ปิดลงและกลืนคำพูดนั้นลงไป
หยุนชางมองเห็นเฉี่ยนอินในกระจก เมื่อพินิจดูนางโดยละเอียดแล้วจึงเอ่ยว่า “เมื่อคืนเจ้าไม่ได้นอนหรือ?”
เฉี่ยนอินผงกศีรษะแล้วมองดูหยุนชางในกระจกพลางยิ้มจนตาหยี “เหออวิ้นเกล้าผมได้ไม่เลวเลย ดูฝีมือแล้วดีกว่าข้าตั้งเยอะเลย”
เหออวิ้นยิ้มอย่างเขินอายและไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
หยุนชางมองเหออวิ้นจากกระจกแล้วกระตุกยิ้มมุมปาก “อืม มวยผมที่เฉี่ยนอินเกล้าให้นั้นแย่ที่สุดในบรรดานางกำนัลทั้งหมด คนที่เกล้าได้สวยที่สุดก็คือฉินยี”
เฉี่ยนอินเเลบลิ้นออกมา “รู้แล้วเพคะว่าพระชายารังเกียจหม่อมฉันเป็นที่สุด หม่อมฉันไม่มีฝีมือเท่าฉินยี แต่หม่อมฉันก็ร่าเริงน่ารักว่าฉินยีนะเพคะ”
หยุนชางเห็นมือของเหออวิ้นสั่นอย่างแรง ท่าทางกำลังกลั้นหัวเราะอย่างสุดกำลังจึงได้แต่ส่ายหัว “เจ้ามันหลงตัวเอง”
เมื่อเหออวิ้นเกล้าผมให้หยุนชางเรียบร้อยแล้ว หยุนชางก็โบกมือให้นางออกไปได้แล้วจึงเอ่ยขึ้นอย่างเชื่องช้า “มีเรื่องอะไรที่ทำให้เจ้าไม่ได้นอนทั้งคืนหรือ?”
ดวงตาของเฉี่ยนอินเปล่งประกายชั่วครู่ นางรีบตอบว่า “เหตุผลที่พวกที่จับตาดูเรานอกจวนของเราหายไปกว่าครึ่งก็เหมือนเราเพคะ พวกเขาก็ไปหานักเลียนเสียงเช่นกัน นักเลียนเสียงในเมืองหลวงหากไม่ถึงหนึ่งพันคนก็คงมีถึงห้าร้อยคน หม่อมฉันกำลังคิดไม่ตกว่าจะไปหานักเลียนเสียงผู้นั้นอย่างไร แต่มีสายลับเห็นคนเหล่านั้นเข้าไปในตรอกหลิวสุ่ย ตอนที่ลอบติดตามไปก็เห็นว่าผิดปกตินัก ราวกับพวกเขาต้องการจะฆ่าคนปิดปากจึงเตรียมจะรีบเข้าไปช่วย แต่คิดไม่ถึงว่ามีคนพาเขาไปก่อนแล้ว สายลับซ่อนตัวอยู่ใกล้ๆ แอบฟังที่พวกเขาคุยกันได้ความว่าตอนนี้เจ้านายของพวกเขาไม่สะดวกและไม่สามารถให้คนจำนวนมากออกมาฆ่าเขาจึงได้แต่โยกย้ายให้พวกเขามาทำหน้าที่นี้แทน แต่คิดไม่ถึงว่านักเลียนเสียงผู้นั้นจะไม่อยู่แล้ว”
“อาศัยตอนที่คนเหล่านั้นกลับไปรายงานแล้ว สายลับจึงได้ไปสอบถามจากชาวบ้านในตรอกหลิวสุ่ยมาได้ความว่าเดิมคนที่อาศัยอยู่ที่นั่นก็คือนักเลียนเสียง แต่เขาไม่เหมือนนักเลียนเสียงทั่วไป เขาไม่เพียงชำนาญการเลียนเสียงสัตว์เท่านั้น แต่ยังสามารถเลียนเสียงคนได้ด้วย หนำซ้ำยังทำได้เหมือนมากอีกด้วย”
“ถูกคนพาตัวไปแล้วหรือ?” หยุนชางขมวดคิ้ว “ใครกันที่คิดเรื่องนักเลียนเสียงได้ก่อนเรา คนที่นำตัวเขาไปเป็นมิตรหรือศัตรูกันแน่นะ”
เมื่อเฉี่ยนอินได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของนางก็ยิ่งเปล่งประกาย นางยิ้มและเอ่ยว่า “หม่อมฉันรู้สึกว่า ต้องมีคนคอยช่วยเราอย่างลับๆ อยู่แน่เพคะ ในยามที่เราไม่รู้จะทำอย่างไรดีก็มีคนส่งจดหมายมาบอกว่าที่ตรอกชิงจิ่วมีคนที่เราอยากพบ ตอนที่สายลับส่งข่าวมา เดิมหม่อมฉันคิดจะขอคำแนะนำจากพระชายาสักหน่อย แต่เมื่อกลับมาแล้วก็เห็นว่าพระชายานอนหลับไปแล้ว หม่อมฉันจึงได้ส่งคนหนึ่งคนไปสืบเรื่องราวต่อ คิดว่าหากเป็นหลุมพรางแล้วก็คงจะเสียคนไปเพียงคนเดียวเท่านั้น แต่ปรากฏว่านักเลียนเสียงคนนั้นอยู่ที่จวนเล็กๆ ไม่สะดุดตาในตรอกชิงจิ่วจริงๆ”
“ได้สืบมาหรือไม่ว่าเจ้าของจวนนั้นคือใคร?” หยุนชางหลุบตาลงซ่อนอารมณ์ในดวงตานั้น
เฉี่ยนอินรีบตอบว่า “สืบมาแล้วเพคะ เพียงแต่คนผู้นั้นใช้ชื่อปลอมชื่อว่าเซียวเหยียน สายลับไปสืบอยู่นานก็ยังสืบที่มาของผู้นี้ไม่พบเพคะ”
หยุนชางนั่งลงบนเบาะและหรี่ตาลง “ตอนนี้ซ่อนตัวนักเลียนเสียงไว้เรียบร้อยแล้วหรือ? ได้สอบสวนเขาหรือยัง?”
เฉี่ยนอินตอบรับ “สอบสวนแล้วเพคะ วันนั้นที่หอยวี่หมั่นก็คือเขาเอง เขาบอกว่าเมื่อเขาไปถึงที่นั่นก็ถูกนำเข้าไปในห้องห้องหนึ่งและไม่เห็นผู้ใดเลย เพียงแต่ให้เขาเลียนแบบเสียงของจิ้งอ๋องอ่านสิ่งที่คนที่อยู่ในห้องนั้นให้อ่านเท่านั้น ต่อมาเขาก็ถูกขังไว้ที่ตรอกหลิวสุ่ยมาตลอด ดูเหมือนว่าคนผู้นั้นยังมีเรื่องให้เขาต้องทำอยู่จึงยังไม่ได้ฆ่าเขา”
หยุนชางเคาะขอบเบาะเบาๆ และหรี่ตาลงเล็กน้อย “ประทับลายนิ้วมือบนคำสารภาพแล้วหรือไม่?”
เฉี่ยนอินรีบนำม้วนกระดาษหนังแกะยื่นให้นางแล้วพยักหน้า “ประทับแล้ว อยู่ตรงนี้เพคะ”
หยุนชางเปิดออกอ่านอย่างละเอียดแล้วพยักหน้าน้อยๆ “ข้าจะเข้าวังไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ เมื่อวานเจ้าก็ไม่ได้นอนมาทั้งคืนแล้ว ไปพักผ่อนเถอะ”
“เพคะ” เฉี่ยนอินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตกลง “พระชายานำเหออวิ้นไปด้วยเถอะเพคะ”
หยุนชางพยักหน้า เฉี่ยนอินรีบออกไปนอกห้อง สั่งให้คนเตรียมรถม้าแล้วกำชับเหออวิ้นอย่างละเอียดเกี่ยวกับเรื่องที่ต้องระมัดระวังยามอยู่ในพระราชวัง แล้วจึงเข้ามาในห้องอีก นางเอ่ยเสียงเบากับหยุนชาง “ลั่วอี้เคยบอกหม่อมฉันว่าเหออวิ้นเป็นสายลับของท่านอ๋อง เพียงแต่ก่อนหน้านี้หม่อมฉันคิดว่าเพียงหม่อมฉันอยู่ข้างกายพระชายาก็พอแล้ว พระชายาเองก็วิทยายุทธ์สูงส่งย่อมไม่เป็นอะไรแน่ แต่หลังจากคราวที่แล้วในระหว่างกลับจวนที่พระชายาโดนคนลอบสังหารจนได้รับบาดเจ็บนั้น ท่านอ๋องกำชับหม่อมฉันอย่างหนักแน่นว่าจะให้ข้างกายของพระชายาขาดคนไปไม่ได้เด็ดขาด”
หยุนชางได้ยินเช่นนั้นก็อึ้งไป นางเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยว่า “ข้ารู้แล้ว เจ้าไปพักผ่อนเถอะ”
เหออวิ้นเป็นผู้มีนิสัยสงบเรียบร้อยไม่เหมือนกับเฉี่ยนอินที่ชอบส่งเสียงจ้อกแจ้กจอแจ หยุนชางเองก็ไม่ได้รู้สึกไม่ชอบ เมื่อเข้าวังไปก็พบว่าจักรพรรดิหนิงยังว่าราชการไม่เสร็จ ขันทีเจิ้งก็ไม่อยู่ เมื่อขันทีที่ยืนอยู่นอกห้องเห็นหยุนชางก็รีบบอกนางว่า “ยังไม่มีสัญญาณว่าฝ่าบาทจะว่าราชการเสร็จเลยพ่ะย่ะค่ะ เกรงว่าพระชายาอาจจะต้องรอนานสักหน่อย”
หยุนชางพยักหน้า “ขอชาให้ข้าสักกา”
ขันทีผู้นั้นรีบขานรับแล้วนำหยุนชางเข้าไปในตำหนักฉินเจิ้งและนำเก้าอี้มาให้นางนั่งรอแล้วจึงยืนรอฟังคำสั่งของหยุนชางอยู่ด้านข้าง