ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - บทที่ 424 แสดงละคร (๓)
หลังจากพูดไป นางก็หยุดและเงยหน้ามองจักรพรรดิหนิง ” เสด็จอยากไปที่จวนท่านอ๋อง แล้วนำเรื่องนี้ไปพูดคุยกับแขกทั้งของที่อยู่ในจวนของหม่อมฉันหรือไม่เพคะ? บางทีอาจพบเบาะแสบางอย่าง”
เมื่อจักรพรรดิหนิงได้ยินเช่นนี้ เขาก็กวาดสายตาไปที่หยุนชาง เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และในที่สุดก็พยักหน้า “ได้เวลาที่เจิ้นควรไปพบเขาทั้งสองแล้วล่ะ” ขณะที่พูดเขาก็ยืนขึ้นและตรัสต่อผู้พิพากษาแห่งศาลต้าหลี่ว่า “นำศพขององค์หญิงหัวจิ้งส่งกลับไปที่จวนองค์หญิงก่อนดีกว่า เจิ้นจะสั่งการให้คนไปจัดการให้ดี สาวใช้นี้ก็ตามกลับไปด้วยเถิด เจ้าส่งคนปกป้องนางให้ดี อย่างได้ให้ใครฉวยโอกาสไป”
ผู้พิพากษาแห่งศาลต้าหลี่ตอบอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าจักรพรรดิหนิงกำลังจะจากไป จึงรีบตามไป แต่จักรพรรดิหนิงกลับกันมามองเขาและตรัสว่า ” คดีนี้เจ้ามิต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวแล้ว เจ้ารอที่จวนเถิด” จากนั้นเขาก็เดินจากห้องนั้นไป
ผู้พิพากษาแห่งศาลต้าหลี่ขมวดคิ้ว เกิดความสงสัยในใจว่า จักรพรรดิหนิงหมายความว่าอย่างไรหรือ? หรือว่าพระองค์ทรงทราบแล้วว่าเป็นฝีมือใคร? หรือว่าฝ่าบาทไม่สนใจความตายขององค์หญิงหัวจิ้งเลย?
จักรพรรดิหนิงและหยุนชางนั่งรถม้าไปด้วยกัน จักรพรรดิหนิงมองดูหยุนชางที่นิ่งเงียบโดยแปลกจากปกติไปและกล่าวว่า “เจ้ากำลังคิดกระไรอยู่?”
หยุนชางเหม่อลอยแล้วจึงมีสติ นางยิ้มรอยยิ้มขมขื่นเล็กน้อย “เสด็จพ่อคงหวังให้ข้ากับเสด็จพี่ได้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข แต่สุดท้ายแล้วเสด็จพี่กับข้าก็ทะเลาะกันจนกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ ในที่สุดแม้แต่นางเสียชีวิตไป แต่ข้ากลับไม่รู้สึกอะไรมากมายเลย ”
จักรพรรดิหนิงหัวเราะ ” เหล่าผู้หญิงเยี่ยงพวกเจ้านั้นชอบหาเรื่องอยู่เสมอ เรื่องเพียงเล็กน้อยก็สามารถโกรธแค้นไปชั่วชีวิตได้ ถึงอย่างไรก็เป็นพี่น้องที่เติบโตมาด้วยกัน แล้วจะมีความคับแค้นใจมากมายเช่นนี้ได้อย่างไรหรือ?”
หยุนชางถอนหายใจและกล่าวว่า “เสด็จพ่อเป็นจักรพรรดิแห่งแคว้นหนิง ดังนั้นจึงได้เป็นห่วงและกังวลเพียงแค่เรื่องของอาณาจักรเช่นนี้ก็เป็นเรื่องธรรมดา และแน่นอนว่าท่านคงไม่ทราบเรื่องต่างๆ ในวังหลัง ชางเอ๋อร์ ได้รับการเลี้ยงดูจากฮองเฮาตั้งแต่ยังเด็ก โดยปราศจากการดูแลของเสด็จแม่ เพื่อชื่อเสียงของฮองเฮา ฉะนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าทุกคนฮองเฮาดีกับหม่อมฉันอย่างมาก แต่เบื้องหลังนั้นเขากลับยอมให้เหล่าคนในวังรังแกหม่อมฉัน และไม่สนใจเมื่อหัวจิ้งรังแกหม่อมฉัน หัวจิ้งฉลาดมาตั้งแต่เด็กและเสด็จพ่อก็ชมนางอยู่มาก คนที่ทำให้เสด็จพี่โดดเด่นได้ก็คือหม่อมฉัน หม่อมฉันไม่โปรดการเย็บปักถักร้อย ไม่โปรดการอ่านเขียน เสด็จพ่อเห็นเพียงแค่ว่าหม่อมฉันไม่โปรดสิ่งเหล่านี้ แต่กลับไม่เคยทราบว่าเพราะเหตุอันใด”
“เพราะเหตุใดหรือ?” จักรพรรดิหนิงขมวดคิ้ว แววตาของพระองค์เต็มไปด้วยความสับสนเล็กน้อย
หยุนชางยิ้มอย่างขมขื่น “เพราะเหตุใดอย่างนั้นหรือ? ก็เพราะว่าเสด็จพี่จะบอกกับหม่อมฉันทุกๆ วัน ว่าท่านครูนั้นเข้มงวดเช่นไร หากท่านครูไม่พอใจเพียงเล็กน้อยท่านก็จะตีนักเรียน เหล่าคนในวังบอกกับหม่อมฉันทุกวันว่า องค์หญิงหัวจิ้งถูกท่านครูตีอย่างรุนแรงด้วยไม้บรรทัด เพราะนางเขียนตัวหนังสือผิดไปเพียงหนึ่งคำ และด้วยเหตุนี้ นางลุกจากเตียงไม่ได้เป็นเวลาสามวัน ดังนั้น ในความคิดของหม่อมฉัน ท่านครูเป็นคนที่น่ากลัวอย่างมาก และในตอนนั้น พระราชินีก็จะทรงตรัสกับหม่อมฉันอย่างอ่อนโยนว่า หม่อมฉันมิต้องเรียนหนังสือ เพราะหม่อมฉันเป็นองค์หญิงผู้สูงส่งที่สุด”
“ฮองเฮายังสอนให้หม่อมฉันทุบตีดุว่านางกำนัล ถึงขั้นที่เฆี่ยนฆ่า ฮองเฮาบอกว่าหม่อมฉันเป็นองค์หญิง หากว่าใครทำให้หม่อมฉันไม่พอใจ ก็ฆ่ามันซะ ฉะนั้นข้าจึงมีนิสัยที่ดุร้าย” หยุนชางค่อย ๆ ปิดตาลง “ตอนที่หม่อมฉันยังเด็ก หม่อมฉันได้รับบาดเจ็บมากมาย ทั้งหมดนี้ล้วนเกิดจากความประมาทของนางกำนัล หรือว่าความไม่ได้ตั้งใจของเสด็จพี่”
หยุนชางยิ้มอย่างขมขื่น ” บางทีเสด็จพ่ออาจยังจำได้บ้างว่า หม่อมฉันได้รับบาดเจ็บเมื่ออายุแปดขวบ ฮองเฮาได้เชิญนักบวชลัทธิเต๋ามาขับไล่ความชั่วร้าย แต่อันที่จริงแล้วต้องการเอาชีวิตของหม่อมฉันไป โชคดีที่หม่อมฉันทราบก่อน และได้เตรียมพร้อมรับมือกับมัน และหม่อมฉันก็ล้มป่วยอย่างกะทันหัน จนต้องไปที่วิหารแคว้นหนิงอย่างช่วยไม่ได้ นั่นมิใช่การลงโทษของพระเจ้าแต่อย่างใด แต่เพราะหม่อมฉันถูกเสด็จพี่วางยาพิษ…เพราะพวกนางรู้สึกว่าหม่อมฉันได้เชิญพระราชกฤษฎีกาฝนมาได้สำเร็จ ได้แย่งโอกาสแสดงตนของหัวจิ้งไป แต่เพราะเสด็จแม่ทราบข่าวจึงได้พาเจิ้งมามาแอบมาเยี่ยมหม่อมฉัน เจิ้งมามาจึงได้พบว่าหม่อมฉันต้องยาพิษ ท่านตานั้นสนิทกับเจ้าอาวาสอู๋น่าอยู่บ้าง เสด็จแม่จึงเขียนจดหมายถึงท่านตาอย่างลับๆ เพื่อให้ท่านไปขอร้องให้เจ้าอาวาสอู๋น่ามารับหม่อมฉันออกจากพระราชวังไป และด้วยเหตุที่แก้พิษช้าไป ร่างกายของหม่อมฉันจึงถูกทำลาย และไม่สบายอยู่บ่อยๆ”
จักรพรรดิหนิงขมวดคิ้วอย่างเหลือเชื่อ “เหตุให้เจ้าจึงไม่มาบอกกับข้า?”
หยุนชางยิ้มอย่างขมขื่น “เพราะว่าฝ่าบาทเป็นฝ่าบาทของชาวโลกเพคะ ส่วนพระราชินีนั้นเป็นเจ้าแห่งพระราชวัง หลี่จิ้งเหยียนก็ยิ่งเป็นถึงมหาเสนาบดีที่ทรงอำนาจ แต่เสด็จแม่ของหม่อมฉัน กลับเป็นแค่นางสนมที่อยู่ในตำหนักเย็นเท่านั้น เมื่อเทียบกันระหว่างหม่อมฉันกับฮองเฮา หลี่จิ้งเหยียนแล้ว ชางเอ๋อร์ทราบดีว่าใครสำคัญกว่ากันเพคะ”
จักรพรรดิหนิงเงียบมิได้กล่าวกระไร
เมื่อไปถึงจวนจิ้งอ๋อง จักรพรรดิหนิงลงจากรถม้าและเดินเข้าไปในจวนท่านอ๋อง หยุนชางนำจักรพรรดิหนิงไปทางถนนลับ จักรพรรดิหนิงขมวดคิ้วตลอดเวลาและเดินตามหยุนชางไปอย่างเงียบๆ ผ่านไปไม่กี่โค้งก็เห็นประตูหิน หยุนชางบิดปุ่มลับเปิดประตู เปิดประตูหินและเดินเข้าไป ด้านหลังประตูหินเป็นห้องลับซึ่งมืดสนิท
หยุนชางหยิบหินเหล็กไฟออกมา แล้วหยิบคบเพลิงจากผนังด้านข้างแล้วจุดไฟขึ้นมา และจุดคบเพลิงอื่นๆ บนผนัง และห้องลับก็ค่อยๆ สว่างขึ้น หลี่จิ้งเหยียนและอ๋องเจ็ดแห่งแคว้นเซี่ยถูกล่ามโซ่ไว้ในห้องหิน ดูเหมือนพวกเขาจะไม่คุ้นชินกับแสงสว่างเท่าไหร่ ทั้งสองล้วนยกมือขึ้นเพื่อปิดตาไว้ หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็ค่อยๆ วางมือลงและมองดู จักรพรรดิหนิงและหยุนชาง
“ฮ่าฮ่าฮ่า ฝ่าบาท ไม่คาดคิดว่าท่านและข้าจะมีโอกาสได้เจอกันอีกครั้ง” หลี่จิ้งเหยียนเห็นจักรพรรดิหนิงก็หัวเราะดังลั่น จากนั้นก็หัวเราะไม่ออก “แต่แค่ไม่คาดคิดว่า เมื่อได้พบกันอีกครั้งข้าจะอยู่ในสภาพเช่นนี้ ข้าคิดมาโดยตลอดว่า เมื่อข้าได้เจอเจ้าอีกครั้ง เจ้าคงกลายเป็นจักรพรรดิที่ล้มเหลวไปแล้ว ข้ายังคิดอยู่ว่า ข้ากราบเจ้ามาหลายปีแล้ว และสักวันต้องให้เจ้ากราบข้าบ้าง”
“น่าเสียดายที่ไม่มีวันนั้นแล้ว” จักรพรรดิหนิงพูดอย่างเฉยเมย สีหน้าของเขาไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ แววตาของเขากวาดมองที่ใบหน้าของหลี่จิ้งเหยียน อาจเป็นเพราะเขาไม่ได้เห็นแสงอาทิตย์เป็นเวลานาน ใบหน้าของเขาขาวซีดเหมือนคนป่วย “เจ้าทราบหรือไม่ว่าหัวจิ้งถูกชางเจียชิงซูสังหารไปแล้ว”
หลี่จิ้งเหยียนได้ยินเช่นนี้ ก็เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงหัวเราะและกล่าวว่า ” เสียชีวิตแล้วหรือ? เสียชีวิตไปก็เสียชีวิตไปเถิด ถึงอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว เสียชีวิตไปก็ดี สบายดี จะได้มิต้องทนทุกข์อยู่บนโลกใบนี้” ขณะที่พูดก็หันไปมองจักรพรรดิหนิง และกล่าวด้วยความไม่สบอารมณ์ว่า “เจ้าอย่าคิดว่าจะได้เบาะแสอะไรจากข้า แม้ว่าต้องตาย ข้าก็จะไม่พูดแม้แต่คำเดียว”
หยุนชางหัวเราะเบา ๆ และพูดเบา ๆ ว่า ” เจ้าอดทนอยู่ในแคว้นหนิงมานานหลายปี ที่แสดงว่าภักดีต่อแคว้นเซี่ยอย่างมากใช่หรือไม่? เจ้าทำให้ท่านอ๋องแห่งแคว้นเซี่ยต้องติดอยู่ในคุก เจ้าคิดว่าเซี่ยหวนอวี่จะมองเจ้าเช่นไร?”
หลี่จิ้งเหยียนไม่ได้รู้สึกกระทบใดๆ ” แล้วไง? เด็กน้อยอย่างเจ้าจะไปรู้อะไร ก็เพราะว่าข้าอดทนอยู่ในแคว้นหนิงมานานหลายสิบปี ฉะนั้นไม่ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับใคร ข้าก็ไม่รู้ละอายใจต่อตัวเอง”
“ใช่สิ ไม่ว่ากับใครเจ้าก็ไม่รู้สึกละอายใจ แต่ไม่ทราบว่า เจ้าจะกล้าพูดสิ่งเหล่านี้กับครอบครัวของเจ้าหรือไม่ เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย เจ้าส่งลูกสาวของตนไปที่พระราชวังเพื่อแย่งชิงความโปรดปรานจากฝ่าบาท แม้แต่ชีวิตลูกๆ หลานๆ ของเจ้า เจ้าก็ควบคุมทั้งหมด การอภิเษกสมรสของหัวจิ้งนั้นก็เพราะว่าเจ้าอยากที่จะได้รับความสนับสนุนจากจ้าวอิงเจี๋ยที่เป็นถึงแม่ทัพ เรื่องมันจึงได้จบลงเช่นนั้น ทันทีที่เจ้าเป็นกบฏ เจ้าพาคนจองตระกูลหลี่ไปเพียงบางส่วน และทิ้งบางส่วนที่สายเลือดห่างไกลเอาไว้ และพวกเขาได้รับผลกระทบถูกสังหารจนหมดสิ้น และคนที่เจ้าพาไป ตอนนี้กำลังถูกส่งตัวไปยังเมืองหลวง เจ้าบอกว่าไม่ละอายใจแก่ตัวเอง เอาเช่นนี้ดีกว่า ข้าจะส่งคนเข้ามาวันละหนึ่งคน แล้วลงโทษพวกเขาต่อหน้าเจ้าดีหรือไม่?” หยุนชางยิ้มมุมปาก รอยยิ้มของนางเผยความโหดเหี้ยมออกมาเล็กน้อย