ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - บทที่ 427 ใช้จิ่งเหวินซีเอาผิดจิ่งขุย
ดวงตาของหลี่จิ้งเหยียนเบิกกว้าง จ้องเขม็งเกือบจะหลุดออกจากเบ้าตาอยู่แล้ว ผ่านไปนานจึงกัดฟันและพูดว่า ” เยี่ยม ไม่คิดว่าเซียวหย่วนซานบัณฑิตน่าสงสารนั้นมีลูกสาวที่อ่อนแอ แต่หลานสาวกลับเป็นคนที่โหดเหี้ยมเช่นนี้ เพียงแต่ว่า เจ้าเป็นเพียงเด็กน้อย เมื่อก่อนนี้ยังเรียกข้าว่าท่านปูอยู่เลย ทำไมหรือ ข้าอาบน้ำร้อนมาก่อนเจ้า หากว่าเจ้าคิดจะลอง ข้าก็จะเล่นกับเจ้าอย่างเต็มที่”
เมื่อเห็นว่าหลี่จิ้งเหยียนเป็นเช่นนี้ หยุนชางก็ทราบว่าหากถามต่อไปก็คงไม่มีประโยชน์อะไร นางขมวดคิ้วและยืนอยู่ข้างๆ จักรพรรดิหนิงเหลือบมองหลี่จิ้งเหยียนอย่างเฉยเมย จากนั้นเหลือบมองอ๋องเจ็ดแห่งแคว้นเซี่ย แล้วจึงกล่าวเบาๆว่า “ไปกันเถอะ”
ทั้งสองออกจากอุโมงค์ลับไป จักรพรรดิหนิงมองดูหยุนชางที่สีหน้าดูไม่มีความสุขเล็กน้อย หัวเราะเบา ๆ แล้วจึงตรัสว่า “ข้าพบว่าหลังจากที่เจ้าอภิเษกสมรสกับจิ้งอ๋องแล้ว เจ้าได้เลียนแบบความเย็นชาและโหดร้ายของเขามาบ้างเล็กน้อยแล้ว ”
หยุนชางเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงกระซิบเบา ๆว่า ” เสด็จพ่อคิดผิดไปแล้วเพคะ หม่อมฉันมิใช่คนใจดีแต่แรกแล้วเพคะ” คนที่มีแต่ความเกลียดชังอยู่ในใจ จะใจดีได้อย่างไร? ความเมตตาของนางในชาตินี้ หายไปตั้งแต่วันที่นางตื่นขึ้นตอนอายุแปดขวบแล้ว
จักรพรรดิหนิงตกตะลึงเมื่อได้ยินเช่นนี้ แต่ก็ยิ้มเล็กน้อย มิได้ตอบกลับอะไร ทั้งสองเดินควบคู่กันไปครู่หนึ่ง จักรพรรดิหนิงก็หยุดลงและตรัสว่า “เรื่องของหัวจิ้งเจ้ามีความคิดเห็นเช่นไรหรือ?”
“ในจดหมายของเสด็จพี่กล่าวไว้ว่า ชางเจียชิงซูร่วมมือเป็นพันธมิตรกับหลี่จิ้งเหยียน และพวกเขาเผยแววอย่างแผ่วเบาว่าต้องการกำจัดชางเจียคังหนิง เพียงแต่ว่าหลี่จิ้งเหยียนและอ๋องเจ็ดนั้นเป็นคนปากแข็งทั้งคู่ ฉะนั้นก็คงลงมือได้ยาก หม่อมฉันคิดว่าให้ผู้พิพากษาศาลต้าหลี่สาวใช้นั้นให้มากๆเสียดีกว่า เมื่อสักครู่สาวใช้ก็กล่าวมาเพียงคร่าวๆ แต่มีรายละเอียดหลายที่ที่เราสามารถถามเจาะลึกลงไปได้”
จักรพรรดิหนิงพยักหน้า แต่ก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “จะไม่สอบสวนคดีนี้จริงหรือ?”
หยุนชางอดหัวเราะไม่ได้เมื่อได้ยินเช่นนี้ “เสด็จพ่อมีขุนนางมากมายเช่นนี้ หากว่าหม่อมฉันแย่งงานพวกเขามาจนหมดสิ้น เช่นนี้พวกเขาก็ไม่มีงานทำแล้วมิใช่หรือเพคะ? เสด็จพ่อตามใจพวกเขาเช่นนี้ไม่ได้นะเพคะ”
จักรพรรดิหนิงมิได้กล่าวอะไรมาก จากนั้นเขาก็หันหลังและพาขันทีออกจากจวนจิ้งอ๋องไป หยุนชางอมยิ้มแล้วจึงกลับไปที่ห้อง จิ้งอ๋องนอนพักสายตาอยู่บนเบาะ ราวกับว่าเขาหลับลึกมาก หยุนชางเดินไปนั่งข้างเบาะเบา ๆ แล้วจ้องมองจิ้งอ๋องอยู่นาน ดูเหมือนว่าน้อยครั้งที่นางจะได้เห็นภาพที่จิ้งอ๋องนอนหลับ โดยปกติแล้วจิ้งอ๋องเข้านอนช้ากว่านาง และนางก็ชอบนอนตื่นสายเป็นประจำ เมื่อตื่นขึ้นมา จิ้งอ๋องก็ตื่นมานานแล้ว หยุนชางคิดอยู่ว่า ที่แท้แล้วเวลาจิ้งอ๋องนอนหลับเป็นเช่นนี้นี่เอง เขาก็ไม่ได้ดูเย็นชาเหมือนปกติ ขนตาที่ยาวๆของเขามีเงาสะท้อนอยู่บนเบ้าตา เผยความเหนื่อยล้าออกมาเล็กน้อย
หยุนชางมองดูอยู่ครู่หนึ่ง และรู้สึกว่าตนก็ง่วงเล็กน้อย จึงได้หมอบที่ข้างเบาแล้วหลับไป ผ่านไปครู่หนึ่ง นางรู้สึกว่ามีคนกำลังลูบศีรษะของนางเบาๆ หยุนชางรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยกับการที่ถูกรบกวน นางจึงลืมตาขึ้นและเงยหน้า แล้วพบว่าจิ้งอ๋องกำลังจ้องไปที่นางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสนใจ
“ทำไมเจ้าถึงหลับอยู่ข้างเบาะล่ะ?” จิ้งอ๋องหัวเราะเบา ๆ หยุนชางหลงใหลและเหม่อลอยไปกับรอยยิ้มของเขา
“นอนจนมึนไปแล้วหรือ?” จิ้งอ๋องตบหน้าผากของนางเบาๆและพูดด้วยรอยยิ้ม
หยุนชางหน้าแดงเล็กน้อยแล้วก้มหน้าลง “เปล่า เมื่อสักครู่นี้ข้ากลับมา เห็นว่าเจ้าหลับสบายอย่างมาก ก็รู้สึกง่วงเช่นกัน จึงได้หลับอยู่ข้างเบาะสักเลย”
“อืม” จิ้งอ๋องยิ้มและยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าของหยุนชาง “เป็นอย่างไรบ้างหรือ?”
หยุนชางนั่งตัวตรง “ทั้งหมดกำลังดำเนินการตามคำสั่งของท่านอ๋อง ท่านอ๋องเก่งเสียจริง วางแผนทุกอย่างได้แม่นยำชัดเจนอย่างมาก”
เมื่อจิ้งอ๋องเห็นว่านางประจบตนเองเช่นนี้ เขาก็หัวเราะออกมา “เกิดอะไรขึ้นหรือ? เจ้ารู้สึกว่าการสมรสกับข้านั้นคุ้มค่าอย่างมากหรือ?”
หยุนชางพยักหน้าโดยไม่ลังเล “ใช่ ท่านอ๋องจะทำอย่างไรต่อไปหรือ?”
จิ้งอ๋องเห็นว่านางพยักหน้ายอมรับโดยไม่ลังเลเลย จึงตะลึงเล็กน้อย และรู้สึกเขินอาย ผ่านไปนานจึงนึกได้ว่าหยุนชางถามกระไรไป และเขาก็รีบตอบกลับ “พรุ่งนี้เจ้าก็จะทราบเอง”
หยุนชางรู้สึกไม่พอใจเมื่อเห็นว่าเขาไม่ยอมบอกตรงๆ จึงกล่าวด้วยความน้อยใจเล็กน้อยพร้อมยืนขึ้น “ไม่บอกก็ช่างมัน”
ยากที่จะเห็นหยุนชางอ้อนเช่นนี้ จิ้งอ๋องตะลึงอีกครั้งแล้วดึงมือของหยุนชางเอาไว้ แต่เมื่อเอ่ยปากกลับพูดถึงเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกันเท่าไหร่ “ทำไมข้าถึงรู้สึกว่า ช่วงนี้เจ้าดูร่าเริงมากขึ้น?”
หยุนชางตัวแข็งทื่อเมื่อได้ยินเช่นนี้ นางครุ่นคิดอยู่นานแล้วจึงสงบลงและพูดเบา ๆ ว่า “หลังจากที่หนิงหัวจิ้งเสียชีวิต ข้าก็กระจ่างบ้างเล็กน้อยแล้วว่า เจ็ดแปดปีที่ผ่านมานี้ ข้าเอาแต่อยู่กับความโกรธแค้นจนมากเกินไป ข้าเกลียดหนิงหัวจิ้งตลอดเวลา เกลียดฮองเฮา เกลียดตระกูลหลี่ เกลียด…………” โม่จิ้งหราน หยุนชางแอบเก็บซ่อนชื่อนี้กลับไป นางหยุดไปสักพักแล้วจึงกล่าวต่อว่า “ข้าเอาแต่เรียนรู้วิธีการแก้แค้น เรียนรู้ทุกสิ่งที่สามารถใช้ในการล้างแค้นได้ ตั้งแต่ขิมจีน หมากรุก เย็บปักถักร้อย จนกระทั่งการทำสงครามและศิลปะการต่อสู้ ข้ายึดติดกับมันเกินไป จนลืมไปว่าทั้งชีวิตของคนเรา มิได้มีเพียงแค่ความโกรธแค้น แต่ข้ายังมีเสด็จแม่ ยังมีเสด็จพ่อ ยังมีเฉินซี และ……ยังมีท่านอ๋องอยู่”
จิ้งอ๋องมองไปที่สีหน้าของนาง ผ่านไปนานจึงก้มหน้าและหัวเราะออกมาเบาๆ ถอนหายใจและกล่าวว่า ” ที่แท้แล้วข้าอยู่ตำแหน่งสุดท้ายนี่เอง”
เมื่อเห็นว่าเขาไม่จริงจังเช่นนี้ หยุนชางก็จ้องเขา แล้วหันกลับไปนั่งที่เบาะ เงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวว่า “ตอนนี้ข้ามีเสด็จแม่มีเสด็จพ่อและเฉินซี ท่านอ๋องนั้นอยู่ท้ายสุด เมื่ออีกไม่กี่วันเมื่อไปถึงแคว้นเซี่ย ข้าก็เหลือเพียงท่านอ๋องแล้ว เสด็จแม่เสด็จพ่อและเฉินซีก็จะอยู่ที่ห่างไกลแสนไกล”
หลังจากได้ยินเช่นนี้ จิ้งอ๋องก็นิ่งเงียบ เขาถอนหายใจเบา ๆ และจับมือหยุนชางไว้ “ข้าขอโทษ”
หยุนชางกลับยิ้มออกมา “ดังนั้น ท่านอ๋องต้องห้ามทำให้หม่อมฉันโกรธเชียวนะ หากว่าข้าโกรธแล้วกลับมาหาเสด็จแม่ เช่นนี้ก็จะไม่กลับไปที่นั่นอีก”
จิ้งอ๋องรู้ว่าหยุนชางอาศัยอยู่ที่แคว้นหนิงมาสิบกว่าปี ก็คงเศร้าใจเล็กน้อยกับการที่ต้องจากที่นี่ไปอย่างกะทันหัน แต่นางแค่กลัวว่าตนจะรู้สึกผิด จึงได้กล่าวเช่นนี้ เขารู้สึกอบอุ่นขึ้นในใจ จิ้งอ๋องดึงหยุนชางมาและกอดนางไว้ พร้อมกระซิบว่า “ตกลง ข้าจะไม่ทำให้เจ้าโกรธเคืองอย่างแน่นอน จะไม่ทะเลาะกับเจ้าและจะตามใจเจ้าที่สุด ให้เจ้ามีความสุขจนลืมคิดถึงที่นี่ไปเลย”
หลังจากพูดจบ ทั้งสองก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
วันที่สอง หยุนชางก็ได้ทราบว่าเรื่องที่เขาไม่ยอมพูดเมื่อวานนี้คืออะไรกันแน่ เช้าตรู่ของวันที่สอง กลองหน้าที่ทำการหวงเฉิงฝู่ก็ดังขึ้น หัวหน้าหวงเฉิงฝู่ก็ได้นำพาที่ดูแลมาเชิญคนที่ตีกลองเข้าไปที่ทำการ นางเป็นผู้หญิงที่แต่งตัวได้ชวนหลงใหลอย่างมาก
หัวหน้าหวงเฉิงฝู่ขมวดคิ้วและมองที่ผู้หญิงคนนั้นพร้อมกล่าว “คนที่คุกเข่าอยู่ในห้องโถงนี้คือใคร? ทราบหรือไม่ว่าหากตีกลองเพื่อร้องขอความเป็นธรรมนั้นต้องโดนเฆี่ยนยี่สิบครั้งก่อนจึงจะร้องขอได้”
ผู้หญิงคนนั้นค่อย ๆ หลับตาลงเมื่อได้ยินเช่นนี้ และหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง รอยยิ้มก็ผุดขึ้นจากมุมปากของนาง “เฆี่ยนเถิด เรื่องนี้ข้าน้อยต้องพูดออกมาให้ได้ มิเช่นนั้นข้าน้อยจะไม่สามารถอยู่อย่างสบายใจได้”
หัวหน้าหวงเฉิงฝู่เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วตามตัวเจ้าหน้าที่มา ” เอาตัวลงไปลงโทษก่อน”
ผู้หญิงคนนั้นยืนขึ้น และตามเจ้าหน้าที่ไป หลังฉากกั้นส่งเสียงดังเปี๊ยะๆๆ และเสียงของหญิงสาวที่กำลังทนต่อเจ็บปวด ผ่านไปครู่หนึ่ง เจ้าหน้าที่ก็ลากตัวผู้หญิงที่ถูกเฆี่ยนจนไม่สามารถลุกขึ้นยืนออกมา
“ในเมื่อเจ้ารับโทษเฆี่ยนไปแล้ว เช่นนั้นก็ขึ้นศาลเถิด” หัวหน้าหวงเฉิงฝู่กล่าวเสียงดัง ประตูของที่ทำการก็เปิดออก เสียง “เข้าสู่ห้องโถงสืบคดีความ” ก็ดังขึ้นในยามเช้าอันเงียบสงบของเมืองหลวงนี้ เสียง “เวยวู” ดังขึ้น ด้านหน้าประตูที่ทำการถูกล้อมรอบด้วยฝูงชนอย่างรวดเร็ว
หัวหน้าหวงเฉิงฝู่เคาะค้อน แววตาของเขาจ้องไปที่หญิงสาวหน้าซีดที่มีเหงื่อออกที่หน้าผาก ” คนที่คุกเข่าอยู่ในห้องโถงคือใคร?”
ผู้หญิงคนนั้นค่อยๆ กัดฟัน คุกเข่าและเหยียดตัวตรง แล้วพูดเบาๆ ว่า ” ข้าน้อยคือเตี๋ยเอ๋อร์มาจากหอเยียนจื่อที่อยู่ในเมืองหลวงเจ้าค่ะ”
“หอเยียนจื่อ?” ผู้คนที่ล้อมรอบอยู่นอกประตูวุ่นวายขึ้นมาในทันที “นั่นเป็นหนึ่งในโรงโสเภณีที่มีชื่อเสียงในเมืองมิใช่หรือ?”
“เตี๋ยเอ๋อร์นี้คงเป็นเตี๋ยเอ๋อร์ที่เขาว่ากันว่ามีเรือนร่างที่อ่อนนุ่มอย่างมากรึเปล่า? ข้าได้ยินมาว่าเหล่าขุนนางหลายท่านอยู่ที่ในเมืองนี้ชอบนางอย่างมาก มิน่าล่ะถึงได้มเผยกลิ่นอายของความเย้ายวนออกมา”
หัวหน้าหวงเฉิงฝู่ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเคาะค้อนอย่างรวดเร็ว “อยู่ในความสงบ”
ผู้คนที่อยู่นอกประตูหยุดพูดคุยกัน จากนั้นหัวหน้าหวงเฉิงฝู่ก็ถามว่า “วันนี้เจ้าตีกลอง เพราะเรื่องใด กล่าวมาอย่างละเอียดได้เลย”
ริมฝีปากของเตี๋ยเอ๋อร์ขาวซีดเล็กน้อย นางกัดฟันและกล่าวว่า “สิ่งที่เตี๋ยเอ๋อร์จะกล่าวในวันนี้ เกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตขององค์หญิงหัวจิ้งเจ้าค่ะ และเกี่ยวข้องกับการสิ้นพระชนม์ขององค์รัชทายาทชางเจียคังหนิงเช่นกันเจ้าค่ะ”
ดวงตาของหัวหน้าหวงเฉิงฝู่เบิกกว้างทันที หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็กล่าวว่า ” เจ้าเป็นเพียงสาวโสเภณี แล้วจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีใหญ่สองคดีนี้ได้อย่างไรหรือ? อย่าได้พูดจาเหลวไหล”
เตี๋ยเอ๋อร์โค้งคำนับหัวหน้าหวงเฉิงฝู่แล้วจึงกล่าวว่า ” เตี๋ยเอ๋อร์เป็นสาวโสเภณีก็จริง แต่ก็เพราะว่าเตี๋ยเอ๋อร์เป็นสาวโสเภณี ฉะนั้นจึงได้ทราบเรื่องสกปรกเหล่านี้มากกว่าคนทั่วไปอย่างมาก หาท่านหัวหน้าสามารถร้องขอความเป็นธรรมให้ข้าน้อยได้ ก็โปรดฟังข้าน้อยกล่าวอย่างละเอียด แต่หากไม่สามารถร้องขอความเป็นธรรมได้ เช่นนั้นข้าน้อยคงต้องไปตีกลองหลวงที่ตั้งอยู่หน้าพระราชวังแล้ว”