ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - บทที่ 432 ครั้งแรกในการเยือนแคว้นเซี่ย (เข้าจวน)
- Home
- ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง
- บทที่ 432 ครั้งแรกในการเยือนแคว้นเซี่ย (เข้าจวน)
นานพอควรที่ไม่มีใครเอ่ยปากตอบ หยุนชางมองดูผู้คนด้านล่างต่างมองหน้ากันเป็นเวลานาน จากนั้นก็มีชายวัยกลางคนคนหนึ่งก้าวออกมาและกล่าวว่า “เรียนท่านอ๋องและพระชายา เรือนฝั่งตะวันตกมีเรือนที่เงียบสงบอยู่ แต่นั่นเป็นเรือนรับรองขอรับ…… ”
“เรือนรับรองก็เรือนรับรองเถิด ข้าและพระชายาชอบความเงียบสงบ ทรงเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางครั้งนี้มากแล้ว พาเราไปที่เรือนฝั่งตะวันตกเถอะ” ลั่วชิงเหยียนที่มีสีหน้าบึ้งตึง แฝงด้วยความเยือกเย็นที่น่ากลัว
หยุนชางยิ้มเล็กน้อย “เราเพิ่งมาถึงแคว้นเซี่ย และหลายสิ่งหลายอย่างยังไม่เจ้าที่เข้าทาง ในช่วงเวลานี้ พวกเจ้าที่ทำในสิ่งที่พวกเจ้าเคยทำเถิด”
ทุกคนรีบตอบรับ และชายวัยกลางคนคนนั้นก็ก้าวออกมา “ท่านอ๋อง พระชายา เชิญที่นี่ขอรับ”
ลั่วชิงเหยียนกับหยุนชางตามชายวัยกลางคนไป ระหว่างทางหยุนชางมองไปรอบๆ และพูดคุยกับชายคนนั้น แต่ได้รู้หลายๆอย่าง เช่นผู้ชายคนนั้นชื่อหลินฉวิน เดิมทีรับผิดชอบในการจัดซื้อของจวนรัชทายาท เช่นจวนรัชทายาทมีขึ้นเมื่อหลายร้อยปีก่อน ไม่เคยมีองค์ชายอื่นยกเว้นรัชทายาทอาศัยในจวนหลังนี้
เรือนฝั่งตะวันตกโทรมกว่าส่วนอื่นในจวนรัชทายาทมาก มีต้นบ๊วยเพียงไม่กี่ต้นที่ปลูกในลานบ้าน มีป่าไผ่เล็กๆหลังบ้าน ซึ่งค่อนข้างเงียบสงบ หยุนชางพอใจ จึงพยักหน้าและ ให้เฉี่ยนอินและคนรับใช้ที่อยู่ข้างหลังวางสัมภาระทั้งหมดลง เมื่อเห็นเช่นนี้จิ้งอ๋องจึงยิ้มและพูดกับหลินฉวินว่า “ต่อจากนี้ไปข้านี้และพระชายาก็พักอยู่ที่นี่”
หลินฉวินอ้าปากดูเหมือนจะต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ท้ายที่สุด เขาไม่ได้พูดอะไร และถอยลงไป
เฉี่ยนอินนำคนรับคนเข้าๆออกๆเพื่อจัดของให้เรียบร้อย หลายวันมานี้หยุนชางนอนในรถม้ามาพอควร จึงไม่รู้สึกง่วงเท่าไรนัก นางจึงพาลั่วชิงเหยียนนั่งในห้องและพูดคุยสนทนากัน “ข้ารู้สึกว่า เมื่อจู่ๆมาถึงที่ที่ไม่คุ้นเคยแห่งนี้ ได้พบเห็นแต่คนที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน ข้าก็รู้สึกสับสนเล็กน้อย ตอนที่อยู่ประตูวัง ข้าเห็นว่าฮองเฮาน่าจะเป็นผู้ที่มากอุบายแน่ เฉกเช่นเดียวกับที่เซี่ยหวนอวี่ที่จู่ๆก็วางท่านอ๋องไว้บนคลื่นพายุ และประทานจวนรัชทายาทนี้ให้กับท่านอ๋อง ไม่รู้ว่าเขามีแผนการอะไรอยู่”
ลั่วชิงเหยียนยิ้มเบาๆและจับมือหยุนชาง “ไม่เป็นไร พวกเราคอยระวังให้ดี แค่นั้นพอ”
หยุนชางพยักหน้าและได้ยินเสียงเฉี่ยนอินพูดขณะกำลังวางสัมภาระ “นี่ก็มาถึงแคว้นเซี่ยแล้ว พระชายายังเอาแต่เรียกเซี่ยหวนอวี่ เซี่หวนอวี่อยู่ ถ้ามีคนได้ยินเข้า จะแย่เอานะเพคะ”
หยุนชางได้ยินก็อดหัวเราะไม่ได้ “เฉี่ยนอินก็ระวังตัวขึ้นแล้ว”
เฉี่ยนอินฟังและเดินเข้ามา เมื่อเห็นว่าจิ้งอ๋องหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน นางก็เอนไปข้างหูของหยุนชาง และกล่าวว่า “พระชายา เมื่อไหร่เราจะได้พบกับหัวหน้าเฉี่ยนเฉียนเพคะ?”
หยุนชางยิ้มและแตะปลายจมูกของนาง พูดเบาๆ “ไม่ต้องกังวล เราเพิ่งมาอยู่ที่นี่ มีคนคอยเฝ้าดูดูเรามา ดังนั้นตอนนี้เราควรระวังให้มากกว่านี้”
เฉี่ยนอินเม้มปาก และกำลังจะพูด เมื่อเขาได้ยินเสียงจากด้านนอก “ท่านอ๋อง พระชายา ผู้ดูแลมารายงานว่า ท่านกั๋วกงและฮูหยินแห่งจวนกั๋วกงมาขอรับ”
จวนกั๋วกง? หยุนชางนิ่งเป็นเวลานานก่อนที่จะตอบสนอง จวนกั๋วกงนี้ควรเป็นจวนของฮวากั๋วกงใช่ไหม? หันไปมองและเห็นว่าจิ้งอ๋องดูเหมือนจะไม่ได้ยิน นั่งบนเก้าอี้และอ่านหนังสือโดยไม่มีท่าทีใดๆ หยุนชาง เหยียดมือออกและจับมือของลั่วชิงเหยียน “ท่านอ๋อง ฮวากั๋วกงและฮูหยินมาเพคะ”
ลั่วชิงเหยียนพยักหน้าเบาๆ “ข้าได้ยิน”
ได้ยินแต่ยังเงียบไม่สนใจ หยุนชางคิด เกรงว่าเขาจะไม่พอใจกับการมาถึงของฮวากั๋วกง แต่หยุนชางไม่รู้ว่าอดีตของเขากับฮวากั๋วกงเป็นอย่างไร จึงดึงมือของลั่วชิงเหยียน “ท่านอ๋อง ตอนนี้เราอยู่ในแคว้นเซี่ยนะ”
มือของลั่วชิงเหยียนที่ถือหนังสือหยุดชะงักเล็กน้อย หยุนชางรู้ว่าลั่วชิงเหยียนได้ยินคำพูดของนาง และเข้าใจความหมายของคำพูดของนาง ตอนนี้พวกเขาอยู่ในแคว้นเซี่ย ถ้าเขาต้องการตั้งหลักมั่น จำต้องใช้คนหรืออำนาจที่มีให้เกิดประโยชน์ หยุนชางเหลือบมองที่จิ้งอ๋อง แล้วรีบสั่งผู้คนด้านนอก “เชิญฮวากั๋วกงและฮูหยินไปรอที่ลานโถงดอกไม้เถอะ ข้าและท่านอ๋องจะตามไปในไม่ช้า”
หยุนชางดึงลั่วชิงเหยียนยืนขึ้น ทั้งสองเปลี่ยนเสื้อผ้า และเดินไปที่ลานโถงดอกไม้ด้วยกัน
เมื่อมาถึงลานโถงดอกไม้ หยุนชางเห็นคนสองคนที่นั่งและยืนอยู่ในลานโถงดอกไม้ ฮวากั๋วกงยืนเอาไพล่หลังและมองไปที่ภาพวาดทิวทัศน์ที่แขวนอยู่ อีกคนดูเหมือนหญิงชราที่มีอายุประมาณห้าสิบปี คอยมองเข้าไปในลานโถงดอกไม้ แลดูกังวลเล็กน้อย
หยุนชางได้ยินหญิงชราพึมพำด้วยเสียงแผ่วเบา “นายท่าน ท่านยังดูภาพวาดทิวทัศน์อะไรอยู่ ชิงเหยียนกลับมาแล้ว ทำไมยังไม่ออกมาล่ะ ท่านให้คนใช้ไปเชิญพวกเขาอีทีเถอะ”
ฮวากั๋วกงทำเสียงเชอะอย่างเย็นชา “ไม่มีเหตุผลที่ผู้อาวุโสมานั่งรอ ไม่มีสัมมาคารวะ ไร้มายาท”
ก่อนที่ฮวากั๋วกงฮูหยินจะเปล่งเสียง จิ้งอ๋องก็พูดอย่างเย็นชา “ถ้ารังเกียจข้าที่ไม่มีสัมมาคารวะไร้มารยาท ฮวากั๋วกงไม่จำเป็นต้องมารอที่นี่ และข้าก็ไม่ได้อยากต้อนรับท่าน”
หยุนชางรีบจับมือจิ้งอ๋อง เดินออกไปด้วยรอยยิ้ม โค้งคำนับพวกเขาทั้งสอง กล่าวว่า “คารวะฮวากั๋วกง คารวะท่านฮูหยิน”
ฮวากั๋วกงทำเสียงเชอะไม่ตอบ แต่ฮวากั๋วกงฮูหยินรีบดึงหยุนชางให้ยืนขึ้น ตบมือเบาๆมองไปที่หยุนชางด้วยรอยยิ้ม “นี่คือองค์หญิงหยุนชางสินะ ดี ดี ดูฉลาดมาก แค่ดูก็รู้ว่าต้องเป็นเด็กดีแน่ๆ”
“เจ้ามันตาบอดไปแล้ว” ฮวากั๋วกงพึมพำอย่างไม่พอใจเล็กน้อยจากด้านข้าง
ฮวากั๋วกงฮูหยินเมินไม่สนใจ นางมองไปข้างหลังหยุนชางด้วยร่างกายที่สั่นเทาเล็กน้อย นางเพียงเหลือบมอง น้ำตาก็ไหลอาบตาทันที “ดีดีดี คือชิงเหยียน นายท่าน คือชิงเหยียน เหมือนหลิงเอ๋อร์ตอนเด็ก…” ขณะที่นางพูด ริมฝีปากของนางก็เริ่มสั่น หลังจากนั้นไม่นาน สะอื้นและพูดต่อไม่ได้อีก
เมื่อเห็นเช่นนี้ มือของฮวากั๋วกงก็สั่นเล็กน้อย ถอนหายใจ และดึงฮวากั๋วกงฮูหยินมาและพูดว่า “ก็บอกแล้วว่าไม่ให้เจ้ามาก็ไม่ฟัง พอมาถึงเพียงแค่เห็นครั้งแรก ก็เริ่มร้องไห้ ช่างน่าอายเสียจริง”
หยุนชางมองทั้งสองด้วยรอยยิ้ม คิดว่า ดูเหมือนฮวากั๋วกงจะไม่เป็นเหมือนข่าวลือที่ว่าไม่ชอบฮวากั๋วกงฮูหยิน และกั๋วกงฮูหยินรักท่านอ๋องด้วยใจจริง
กั๋วกงฮูหยินส่ายหัวอย่างรวดเร็ว ดึงมือออกจากมือของฮวากั๋วกง เดินไปหาลั่วชิงเหยียน ยกมือขึ้นอย่างสั่นๆ แต่หยุดด้วยความลังเลเล็กน้อย ยิ้มอย่างลำบากใจ แล้วดึงมือกลับ หลังจากนั้นไม่นาน นางก็เงยหน้าขึ้นและเรียกออกมาเบาๆ “ชิงเหยียน ชิงเหยียน…”
ลั่วชิงเหยียนยืนเงียบและไม่พูด หยุนชางรู้สึกว่าเขาดูหงุดหงิดเล็กน้อย ดังนั้นนางจึงยื่นมือออกมาและจับมือของลั่วชิงเหยียน
“ชิงเหยียน ข้าคือยายของเจ้า…” หลังจากพูดเช่นนี้ นางก็ร้องไห้ออกมาอีกครั้ง
หยุนชางมองมาที่นาง หัวใจของนางค่อนข้างเจ็บปวด แต่นางรู้สึกโชคดีเล็กน้อย ท่านอ๋องอยู่คนเดียวมาหลายปีแล้ว และในที่สุดเขาก็มีคนที่เป็นครอบครัวที่รักเขา เมื่อคิดเช่นนี้ นางก็จับมือจิ้งอ๋องเดินไปหากั๋วกงฮูหยิน แล้วพูดเบาๆว่า “ท่านยาย ท่านอ๋องเป็นคนที่เย็นชาเยี่ยงนี้อยู่แล้ว ท่านอย่าได้ถือสาเลย”
กั๋วกงฮูหยินรีบเอามือเช็ดมุมตาของนาง พูดซ้ำๆ “ไม่ถือสา ไม่ถือสา”
ฮวากั๋วกงเริ่มหงุดหงิดเล็กน้อย และพูดอย่างเย็นชาว่า “ตกลงกันแล้วแค่มาเจอ ประเดี๋ยวพวกเขาจะเข้าวังอีก ไม่ควรพาเจ้ามาที่นี่เลย ไปกันเถอะไปกันเถอะ”