ภรรยาคนที่เจ็ดของประธาน - 37 ข้าวดิบหุงเป็นข้าวสุก
ตอนที่ 37 ข้าวดิบหุงเป็นข้าวสุก
ค่ำคืนมืดมิด สายลมอ่อนค่อย ๆ จางหายไป แปรเปลี่ยน เป็นอากาศเริ่มเย็นลง ปยุตมองผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้า เขา ออกไปเพียงไม่กี่นาที แต่ตอนนี้เธอกลับฟุบลงไปบนโต๊ะ เรียบร้อยแล้ว
เดินเข้าไปช้า ๆ เขาถอดเสื้อสูทคลุมมันลงบนตัวเธอ แล้วยกแขนข้างหนึ่งของเธอ หลังจากนั้นจึงพาออกจาก
ตลาดกลางคืน
ไปที่ด้านข้างของตัวรถ เปิดประตูออกและผลักเธอ เข้าไป ผ่อนลมหายใจสั้น ๆ และเสยผมตัวเองอย่างหัวเสีย “ฉันต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ ที่มาสนใจความเป็นตายของผู้ หญิง”
เขาเดินไปขึ้นไปนั่งอีกฝั่ง เอื้อมมือไปรัดเข็มขัดนิรภัย ให้เธอ แล้วผลินก็ลืมตาขึ้นด้วยสายตาที่พร่ามัว ถามคำถาม อย่างคลุมเครือ “คุณมาทําอะไรใกล้ ๆ ฉัน”
“อยู่เฉย ๆ”
ปยุตจ้องมองอย่างหงุดหงิด มือก็ยังคงทำหน้าที่ต่อไป
มันไม่ง่ายเลยที่จะมัดเธอไว้ เมื่อเขาจะขยับออกแขน นุ่มก็ยกขึ้นคล้องรอบคอของเขา เขาตัวแข็งทื่อ มองไปที่ผู้ หญิงตรงหน้า พบกับดวงตากระจ่างใสลึกล้ำไม่มีที่สิ้นสุด บริสทธิ์ราวกับน้ำทะเล และเพราะมันใกล้เกินไปทำให้แม้แต่ลมหายใจของกันและกันก็ยังรู้สึกชัดเจน
ผลินยิ้มจนเห็นฟันและพยักหน้า “ถึงแม้จะอารมณ์ไม่ดี แต่คนเราก็สามารถเติบโตขึ้นได้
มือของเธอย้ายไปยังใบหน้าคมของเขา ลูบใบหน้าของ เขาอย่างไร้ซึ่งความเขินอาย เวลานี้เขากลายเป็นคนโง่ ปล่อยให้เธอสัมผัสเขาเหมือนสัตว์เลี้ยง
ใกล้เสียจนสัมผัสถึงรู้ขุมขนบนใบหน้าของเธอหนึ่งครั้ง คิดว่าในที่สุดมันจะเพียงพอแล้ว แต่ไม่คิดว่าเธอจะโน้มตัว ลงมาพิงไหล่เขา ปยุตตกใจผลักเธอออกอย่างรุนแรง เปิด หน้าต่างออกและเอื้อมมือออกไปนอกหน้าต่าง ลมพัดเข้า มาปะทะ ทันใดนั้นสมองก็ปลอดโปร่งขึ้นมาก
สตาร์ตรถและขับรถออกไปจากตรงนั้น ในช่วงเวลาที่ ใกล้จะถึงบ้านเขาได้ยินเสียงบางอย่างคล้ายเสียงยุงหรือ เสียงแมลงวัน “อย่าตกหลุมรักฉัน…เด็ดขาด…ฉันจะไม่ ตกหลุมรักคุณ…แน่นอน…
รถหยุดลง พาเธอเข้าไปในห้องนั่งเล่น ดวงไฟในห้อง นั่งเล่นส่องสว่าง นอกจากคุณพ่อแล้วทุกคนยังไม่มีใครไป พักผ่อน
“พระเจ้า นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
คุณนายท่านก้าวออกมาด้วยความประหลาดใจ ได้กลิ่น แรงของแอลกอฮอล์ “ลูกสะใภ้ดื่มมาเหรอ”
“ครับ”
ปยุตตอบเสียงเรียบแล้วเดินไปทางบันได
“พวกเธอไปดื่มด้วยกันมาเหรอ แล้วทำไมถึงไม่รับ โทรศัพท์เลย”
เธอถามอย่างสงสัยจากด้านหลังของลูกชายและลูก สะใภ้แต่ก็ไม่มีใครสนใจเธอ ลูกสาวเดินย่องเข้ามาและพูด ขึ้นว่า “แม่คะ มีสภาพการณ์”
“สภาพการณ์อะไร
“แม่ไม่เห็นเสื้อผ้าของพี่ชายที่อยู่บนตัวพี่สะใภ้เหรอคะ พี่ สะใภ้คงไม่สามารถถอดเสื้อของพี่ชายได้แน่เพราะเธอเมา มาก ดังนั้นทางเดียวที่เป็นไปได้คือพี่ชายถอดเสื้อแล้วใส่ให้ เธอ!”
“แกหมายความว่าพี่ชายของแกเป็นห่วงพี่สะไภ้น่ะเหรอ”
“ใช่แล้วค่ะ”
“สัญญาณที่ดี มันเป็นสัญญาณที่ดี” คุณนายท่านพูดอย่าง ยินดี “ดูเหมือนว่าหลานชายตัวน้อยของฉันจะมาเร็ว ๆ นี้”
ปาณีเบิกตากว้าง แล้วความคิดแปลก ๆ ก็ออกมา “แม่คะ ในเมื่อแม่อยากจะกอดหลานชาย ถ้างั้น…
“ถ้างั้นยังไง”
“ก็เอายาให้พี่ชายสิคะ บางทีคืนนี้อาจจะมีหลานชายตัว น้อยของแม่ แล้วก็หลานชายตัวน้อยของฉันด้วย
“เป็นความคิดที่ดี เป็นความคิดที่ดีจริง ๆ”
เมื่อคุณนายท่านตื่นเต้นก็ลืมที่จะบ่นว่าการพูดจาของ
ลูกสาว
“แล้วหลังจากนั้นพี่ชายของแกจะไม่โกรธเอาเหรอ”
“โอ๊ยย ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ข้าวดิบกลายเป็นข้าวสุกไปแล้ว ถ้าเขาโกรธก็ปล่อยให้เขาโกรธไป แม่เป็นแม่จะกลัวอะไร มี แม่ที่ไหนกลัวลูกชายบ้างคะ จริง ๆ เลย
เมื่อคุณนายท่านได้ฟังลูกสาวของเธอพูดก็เกิดความ กล้า เมื่อสัปดาห์ที่แล้วมีคนนำเข้ายาเสพติดชนิดกล่อม ประสาทมาจากต่างประเทศ เป็นเพราะกังวลเกี่ยวกับอารมณ์ ของลูกชาย แต่เธอก็ไม่กล้าใช้มัน และดูเหมือนว่าทัศคติ ของลูกชายที่มีต่อลูกสะไภ้จะดีขึ้นมาก วันนี้เป็นวันปะทะกับ ดวงอาทิตย์ด้วย ก็แล้วทำไมจะไม่ทำอย่างนั้นกันเล่า
ปยตเหวี่ยงผลินลงไปบนเตียงของเธอ น้องสาวเดินเข้า มาในห้องพร้อมกับแก้วสีขาวที่มีน้ำอุ่น
“พี่คะ คงเหนื่อยแย่เลย ดื่มน้ำสักแก้วสิคะ”
“ถ้างั้นยังไง”
“ก็เอายาให้พี่ชายสิคะ บางทีคืนนี้อาจจะมีหลานชายตัว น้อยของแม่ แล้วก็หลานชายตัวน้อยของฉันด้วย
“เป็นความคิดที่ดี เป็นความคิดที่ดีจริง ๆ”
เมื่อคุณนายท่านตื่นเต้นก็ลืมที่จะบ่นว่าการพูดจาของ
ลูกสาว
“แล้วหลังจากนั้นพี่ชายของแกจะไม่โกรธเอาเหรอ”
“โอ๊ยย ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ข้าวดิบกลายเป็นข้าวสุกไปแล้ว ถ้าเขาโกรธก็ปล่อยให้เขาโกรธไป แม่เป็นแม่จะกลัวอะไร มี แม่ที่ไหนกลัวลูกชายบ้างคะ จริง ๆ เลย
เมื่อคุณนายท่านได้ฟังลูกสาวของเธอพูดก็เกิดความ กล้า เมื่อสัปดาห์ที่แล้วมีคนนำเข้ายาเสพติดชนิดกล่อม ประสาทมาจากต่างประเทศ เป็นเพราะกังวลเกี่ยวกับอารมณ์ ของลูกชาย แต่เธอก็ไม่กล้าใช้มัน และดูเหมือนว่าทัศคติ ของลูกชายที่มีต่อลูกสะไภ้จะดีขึ้นมาก วันนี้เป็นวันปะทะกับ ดวงอาทิตย์ด้วย ก็แล้วทำไมจะไม่ทำอย่างนั้นกันเล่า
ปยตเหวี่ยงผลินลงไปบนเตียงของเธอ น้องสาวเดินเข้า มาในห้องพร้อมกับแก้วสีขาวที่มีน้ำอุ่น
“พี่คะ คงเหนื่อยแย่เลย ดื่มน้ำสักแก้วสิคะ”ฉันไปนอนแล้วนะ ราตรีสวัสดิ์ค่ะพี่”
ยังไม่ทันที่จะได้รับอนุญาตจากปยุต เธอก็วิ่งหนีออกไป อย่างรวดเร็ว
เช้าวันรุ่งขึ้น ผลินลงมาข้างล่างเห็นแม่สามีและน้องสามี มองมาด้วยสายตาระยิบระยับ ดูเหมือนว่าเธอจะทำอะไรบาง อย่างที่ผิดไป
“หนูลิน ฉันให้ในครัวต้มซุปแก้เมาไว้ให้เธอแน่ะ ดื่มก่อนที่ มันยังร้อนสิจ๊ะ”
“ได้ค่ะ”
ผลินถือชามและส่งมันเข้าปาก สายตาเหลือบมองไป ทางชายหนุ่ม ไม่มีอะไรที่ผิดปกติกับสีหน้าของเขา หัวใจ ก็พลันโล่ง แต่ก็ยังกังวลเกี่ยวกับอาการเมาเมื่อคืนว่าจะมี พฤติกรรมอะไรที่ไม่เหมาะสมหรือเปล่า
โทรศัพท์มือถือในกระเป๋าสั่นอยู่สองสามครั้ง เธอวาง ชามลงและมองดู สายตาลังเลเล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้นและ พูดขึ้นว่า “คุณพ่อคุณแม่คะ ฉันขอตัวไปรับโทรศัพท์นะคะ”
หลังจากนั้นไม่นานเธอก็กลับมาจากการรับโทรศัพท์ คุณ แม่สามีก็ถามว่า “ใครเหรอจ๊ะ”
“น้องสาวของฉันค่ะ”
“อ้าว มีอะไรหรือเปล่า”
“ไม่มีอะไรสำคัญหรอกค่ะ คุณพ่อกับคุณแม่คิดถึงฉัน พวก ท่านก็เลยอยากให้กลับไปทานข้าวด้วยน่ะค่ะ”
คุณพ่อพูดออกมาหนึ่งประโยค “พาสามีของเธอไปด้วย
สิ ก็ไม่ได้กลับไปหลายวันแล้วนะ
“ตอนเย็นผมมีงานเลี้ยง” ปยุตปฏิเสธ
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันจะไปคนเดียว อาจจะค้างคืนด้วย”
แม่สามีพยักหน้า “ดีแล้วจ้ะ ยังไงก็ไม่ได้กลับไปนาน แล้ว คงมีเรื่องที่อยากจะคุยกับคุณแม่อยู่มาก
เสียงของปยุตหัวเราะเยาะ แม้ว่ามันจะเบาแต่ผลินก็ได้ ยิน สีหน้าของเธอเหมือนถูกแช่แข็ง ไม่ได้พูดอะไรอีกตั้งแต่ เวลาทานอาหารเช้าจนกระทั่งไปทำงาน
ก้าวเดินเชื่องช้าไปที่ป้ายรถเมล์ ทันใดนั้นก็มีรถมาจอด อยู่ข้าง ๆ เธอ หน้าต่างถูกเปิดออก เผยให้เห็นสีหน้าของ ปยตที่กําลังตลกขบขัน เขาจงใจทำให้เธออับอาย “พ่อแม่ คิดถึงคุณเหรอ พ่อแม่ของคุณจะคิดถึงคุณงั้นเหรอ คุณคิด อย่างนั้นจริง ๆ น่ะเหรอ”
ถามออกมาสามประโยคโดยที่ไม่รอคำตอบ ทิ้งรอยยิ้ม เยาะไว้แล้วขับรถจากไป
ผลินหัวเราะทั้งน้ำตา เมื่อวานเราดื่มด้วยกัน วันนี้เขา เยาะเย้ยเธอ เขานี่มันช่างโรคจิต
ตั้งแต่แต่งงาน ยกเว้นตอนที่กลับคราวก่อน นี่เป็นครั้งที่ สองที่ผลินกลับบ้าน
เข้าไปในห้องนั่งเล่น ธินิดากำลังนั่งเล่นอยู่กับแมว เปอร์เซีย เมื่อเห็นเธอก็ทำเป็นพูดด้วยสีหน้าตกตะลึง “โอ้ วันนี้ดวงอาทิตย์คงส่องแสงมากกว่าปกติ คุณนายน้อยที่ แต่งงานไปกับมหาเศรษฐีกลับบ้านมาโดยไม่พูดอะไรสัก
“ชุดาบอกว่าคุณอยากให้ฉันกลับมา
ผลินตอบด้วยน้ำเสียงบางเบา สำหรับปีศาจหยินหยาง อย่างธนิดาแล้วเป็นเสียงที่เคยชิน
“อ่า ไม่ใช่นะ ฉันไม่ได้อยากให้เธอกลับมาหรือต้องการให้ เธอกลับมา มันไม่จำเป็นต้องมีใบหน้าแบบนี้ที่นี่ ตอนนี้เธอ มันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว”
รู้อยู่แล้วว่ามันต้องเป็นแบบนี้ รู้อยู่แล้วว่าชุดาโกหก ไม่ ว่าจะเป็นพ่อที่แท้จริงหรือแม่เลี้ยง บ้านหลังนี้ก็ไม่มีใครเลย ที่จะต้องการให้เธอกลับมา
“ชุดาล่ะคะ”
เธอต้องการที่จะเห็น อะไรคือวัตถุประสงค์ของผู้หญิงที่ได้รับความสุขจากการทรมานเพื่อหลอกให้เธอกลับมา
“ข้างบน”
ธนิดาตอบอย่างไม่เต็มใจ ผลินหันหลังและเดินขึ้นไป
เมื่อมาถึงห้องของชุดาเธอก็เคาะประตู มีเสียงอันเย่อ
หยิ่งของชดาตอบกลับมา “เข้ามาสิ”
ผลินผลักประตูเข้าไปข้างในและถามออกไปตรง ๆ “เธอ
เรียกฉันกลับมาทำไม”
“โอ้พี่สาว ก็ฉันคิดถึงเธอจะตาย”
“พอเถอะ เธอไม่จำเป็นต้องแกล้งแสดงที่นี่ ลดความน่า
รังเกียจให้น้อยลงหน่อย”
“เธอ…”
ใบหน้าของชุดากลายเป็นสีขาวซีดเพราะความโกรธ ต้องขอบคุณเธอ มันไม่ง่ายเลยที่จะมีช่องโจมตีเธอได้ “พี่ คะ อย่าปฏิเสธฉันสิ ถึงแม้เราจะไม่ได้เกิดจากแม่คนเดียวกัน แต่ก็มีพ่อคนเดียวกัน เราสองคนมีสายเลือดเดียวกันนะ ทําไมถึงได้ห่างเห็นอย่างนี้ล่ะ”
บอกตามตรงว่านี่มันช่างน่าขนลุก “มีอะไรกันแน่ ถ้า ไม่มีงั้นฉันกลับ”
“อ๊ะ อย่าเพิ่งไปสิ ฉันบอกแล้ว ฉันบอกแล้ว ”
ชุดารีบหยุดเธอไว้และอ้อนวอน “ฉันเบื่อบ้านหลังนี้แล้ว ขอไปอยู่บ้านพี่สาวสักสองวันได้ไหม”
ผลินเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ “แล้วไปอยู่บ้าน ฉันจะไม่น่าเบื่อหรือไง”
“ใช่ มันไม่น่าเบื่อหรอกก็สภาพแวดล้อมต่างกัน ได้ยินว่า คฤหาสน์นภาเป็นหนึ่งในบ้านที่หรูหราที่สุดในเมืองบี ฉัน อยากเห็นมันด้วยตาของฉันเอง”
ช่างเหมาะสมที่จะเป็นแม่ลูกกันเสียจริง เมื่อต้องการก็มา ทำเป็นดี เมื่อไม่ต้องการก็แค่เตะออกไปยิ่งไกลแค่ไหนก็ยิ่ง ดี เป็นการดีที่สุดที่จะไม่อยู่ในสายตาของพวกเขาไปตลอด
ชีวิต
“ได้ไหม เธอไม่พูดอะไรก็แสดงว่าเธอตกลงใช่ไหม”
“ฉันไม่ตกลง”
ปฏิเสธคำขอของเธอสั้น ๆ หันหลังและเดินออกไป
“ถ้าเธอไม่ตกลงเธอก็อย่ามาโทษฉันก็แล้วกัน”
ชดาไล่ตามมาและงัดไพ่ใบสุดท้าย
“จะทำอะไร”
“ยังไม่ทําอะไรหรอก แต่ยังไงก็ตามฉันก็จะไปที่คฤหาสน์ นภา ถึงเธอไม่พาฉันไปฉันก็จะไปอยู่ดี ฉันจะไม่พูดอะไรถ้า มันยังไม่ถึงเวลา แต่มันก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของฉัน”
มือของผลินสั่นเล็กน้อย เธอรู้ว่าชุดาสามารถทำอย่างที่ พูดได้ ครุ่นคิดชั่วครู่แล้วจึงพยักหน้า “ได้ ถ้าเธออยากจะไป นักก็ไป”
“นั่นคือสิ่งที่ถูกต้องแล้ว เกิดเป็นคนต้องมีความยืดหยุ่น มี คำพูดประโยคหนึ่งในสมัยก่อนดีมากเลยนะ ผู้รู้สถานการณ์ คือวีรบุรุษ…เฮ้…งั้นรอฉันเดี๋ยวนะ”