ภรรยาที่ทั้งสวยทั้งรวยของผม - บทที่ 260 ถูกกดดัน
ฉินเฉิงจ้องมองมาที่หน้าของเขาและพูดออกมาว่า “ยังอยากมีชีวิตอยู่ไหม?”
“อยาก!” ชายชุดดำรีบเงยหน้าขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวัง
“ขอแค่นายไว้ชีวิตฉัน ฉันสัญญาว่าจะฟังคำสั่งของนายคนเดียวเท่านั้น!”
ฉินเฉิงพยักหน้าและพูดออกมาว่า “ดี”
หลังจากนั้นฉินเฉิงก็ชี้ไปที่สัตว์ประหลาดและพูดออกมาว่า “ไปหาสัตว์ประหลาดแบบนี้มาให้ฉันอีกสามตัว”
ชายชุดดำผงะ เขารีบพูดออกมาว่า “อันนี้ฉันทำไม่ได้จริงๆ! ที่ฉันเจอมันก็เพราะแค่ความบังเอิญ แต่ว่าถ้าให้ไปหาอีกสามตัวคงจะเป็นไปไม่ได้!”
“นั่นมันเรื่องของนาย” ฉินเฉิงพูดออกไป “ก่อนต้นปี นายต้องเอาสัตว์ประหลาดมาให้ฉัน ไม่อย่างนั้นนายคงจะรู้ว่าจะเป็นยังไง”
พูดจบฉินเฉิงก็ยกนิ้วขึ้นและชี้ไปที่จุดกึ่งกลางคิ้วของชายชุดดำ
จากนั้นก็เข้าไปสัมผัสกับญานแห่งการหยั่งรู้ของเขาทันที
รอยนี้เรียกว่า ลัทธิวิญญาณ หน้าที่ของมันมีไว้เพื่อควบคุมและจัดการผู้ที่ต้องการจะต่อต้าน
“นายอย่าคิดหนี เพราะถ้าหากก่อนต้นปีฉันไม่เจอหน้านาย ญานแห่งการหยั่งรู้ของนายจะระเบิดทันที” ฉินเฉิงยิ้มและพูดออกมา
ใบหน้าของชายชุดดำน่าเกลียดมาก แต่เขาก็ทำได้แค่ตกลง
สำหรับรอยประทับนี้ ทำได้แค่พยายามหาคนมาลบมัน
“นายไปได้แล้ว” ฉินเฉิงโบกมือและพูดออกมา
ชายชุดดำหันหน้ามาทางคุณชายหวังและพูดออกมาว่า “แล้วพวกเขาหละ?”
“เดี๋ยวฉันจัดการเอง” ชายชุดดำพูดออกมา
ชายชุดดำพยักหน้า เขาไม่ได้อยากอยู่ที่นี่ต่อไปแล้ว
“รอเดี๋ยว” ในตอนที่เขากำลังจะไป จู่ๆฉินเฉิงก็เรียกเขาเอาไว้
“เอารักชั่วนิจนิรันดรมาให้ฉัน” ฉินเฉิงยื่นมือออกมา “และก็นาฬิกาเรือนนั้นด้วย ”
ฉินเฉิงไม่กล้าขัดขืน เขารีบหยิบรักชั่วนิจนิรันดรกับนาฬิกาออกมาจากกระเป๋าทันที
ฉินเฉิงลูบสร้อยคอ เดินขึ้นไปหาซูวาน ยิ้มแล้วพูดว่า “ให้ฉันใส่ให้ไหม?”
“ตั้ง 1000 ล้าน เอามาใส่คอแบบนี้ มันไม่เกินไปหน่อยเหรอ?” ซูวานยิ้มและพูดว่า “ฉันว่ามันน่าจะหนักคอ”
“มันเหมาะกับคุณที่สุด” ฉินเฉิงจับผมของซูวานขึ้น จากนั้นก็สวมสร้อยให้ซูวาน
ซูวานมองมาที่หน้าของฉินเฉิงและพูดออกมาว่า “สวยไหม?”
“สวยมาก” ดวงตาของฉินเฉิงเป็นประกาย “สร้อยเส้นนี้คุณเท่านั้นที่สวมแล้วดูดีที่สุก”
“ปากหวาน” ซูวานยิ้มแล้วพูดออกมา
“พอได้แล้ว…หวานกันอยู่ได้…” ในตอนนั้นคุณชายหวังก็พูดออกมาด้วยความเจ็บปวด
“รีบมาช่วยพวกเราได้แล้ว….”
ฉินเฉิงจับไปที่ศีรษะของตัวเองและพูดออกมาว่า “เอ้า โทษที ฉันลืมไปเสียสนิทเลย”
หลังจากพูดจบ ฉินเฉิงก็กระตุ้นออร่าในร่างกายของเขา เหมือนกับฝนที่ตกลงมาจากท้องฟ้า ปกคลุมทุกคนที่อยู่ตรงนั้น
หลังจากนั้นไม่นาน อาการเจ็บปวดของทุกคนก็หายไปทันที ไม่เหลือแต่เพียงเศษเสี้ยว
“ขอบคุณมากที่ช่วยเหลือพวกเรา!” มีคนที่ดูฉลาดคนหนึ่งกล่าวของคุณฉินเฉิงออกมา
และก็มีคนโง่ที่คิดว่าตัวเองเก่งเช่น หยวนเหมิงและคุณชายหวัง
“นายปล่อยมันไปทำไม?” หยวนเหมิงต่อว่าออกมา “แล้วก็ ทำไมนายถึงไม่ช่วยพวกเราให้เร็วกว่านี้?”
ฉินเฉิงเหลือบมองไปที่เขา จากนั้นพูดออกมาว่า “ฉันช่วยนายแล้ว ตอนนี้นายควรที่จะขอบคุณฉันมากกว่าไหม?”
“ขอบคุณนาย?” ใบหน้าของหยวนเหมิงแดงก่ำ “แกจะบ้าหรือไง ฉันคิดว่านายไม่ได้คิดอย่างนั้น ถ้าหากนายมีน้ำใจจริงๆ ทำไมนายไม่ช่วยพวกฉันตั้งแต่แรก?”
สีหน้าของฉินเฉิงค่อยๆเย็นตัวลง
“นายอยากตาย?” ฉินเฉิงแสดงท่าทางดุร้าย “ถึงฉันจะฆ่านายให้ตายในตอนนี้ มันก็ไม่มีผลอะไรกับฉัน นายเชื่อไหม?”
หยวนเหมิงตกใจจนถอยหลังไปสองก้าว เขายังคิดที่จะพูดอะไรออกมาอีก แต่เหมือนว่ามันติดอยู่ในลำคอ พูดยังไงก็พูดไม่ออก
ฉินเฉิงกระแอมออกมา มองไปที่หน้าของทุกคนและพูดออกมาว่า “เมื่อสักครู่ชายชุดดำได้ใช้พิษที่ร้ายแรงใส่พวกนายทุกคน พิษนี้ร้ายแรงมาก มันจะเข้าไปในสมองและกัดกินเนื้อเยื่อสมองจนตายถายในหนึ่งปี ฉันแค่รักษาอาการเบื้องต้นให้พวกนายเฉยๆ”
เมื่อได้ยินอย่างนั้นทุกคนก็มีอาการตื่นตระหนกขึ้นมาทันที พูดแบบนี้แสดงว่าพวกเขาจะมีชีวิตอยู่ได้แค่อีกปีเดียวเท่านั้น?
“คุณคงจะมีวิธีใช่ไหม” ในตอนนั้นชายวัยกลางคนคนหนึ่งก็ยิ้มและพูดออกมา
ฉินเฉิงยิ้ม พยักหน้าและพูดว่า “ฉลาดมาก ทุกคนอาจจะไม่รู้ นอกจากฉันจะเป็นนักต่อสู้แล้ว ฉันยังเป็นผู้อาวุโสของตำหนักเทพโอสถด้วย”
“ผู้อาวุโสของตำหนักเทพโอสถ?” เมื่อได้ยินแบบนั้นทุกคนก็ดีใจขึ้นมาทันที
พวกเขาไม่ได้สนใจอะไรกับพวกนักต่อสู้ แต่สำหรับหมอยา พวกเขาสนใจเป็นอย่างมาก
และผู้อาวุโสของตำหนักเทพโอสถถือว่าเป็นหมอขั้นเทพ และมีคำกล่าวในแวดวงของพวกเขาว่า “ถ้าหากตำหนักเทพโอสถบอกว่าหมดทางรักษา นั่นก็เท่ากับว่าเตรียมตัวตายได้”
“ที่แท้คุณก็เป็นผู้อาวุโสของตำหนักเทพโอสถ โชคดีจริงๆ!”
“ไม่น่าหละคุณฉินถึงกล้าไปต่อกรกับตระกูลซู ฉันนี่นับถือคุณจริงๆ!”
ฉินเฉิงโบกมือเพื่อหยุดคำพูดของพวกเขา
“หลังจากนี้หนึ่งเดือน ฉันจะไปจิงตู เมื่อถึงเวลานั้นฉันจะนำยารักษาไปให้กับทุกคน” ฉินเฉิงพูดออกมา “แต่แน่นอน ฉันหวังว่าในยามที่ฉันตกอยู่ในอันตราย ทุกคนจะให้ความช่วยเหลือฉันบ้าง”
“คุณฉินวางใจ คุณได้ช่วยชีวิตพวกเราเอาไว้ นี่เป็นบุญคุณที่ยิ่งใหญ่ พวกเราไม่มีทางลืมอย่างแน่นอน!”
“แน่นอน พวกเราไม่มีทางลืมบุญคุณครั้งนี้!”
ถึงแม้ว่าปากของพวกเขาจะพูดออกมาแบบนั้น แต่ในใจของพวกเขาก็เอาแต่หัวเราะออกมา
ช่วยนาย? นายไปมีเรื่องกับตระกูลซู ใครจะไปช่วยนายได้? ใครช่วยนายก็เท่ากับว่าไปเป็นศัตรูกับตระกูลซูไม่ใช่หรือไง?
แล้วคิดเหรอว่าความคิดพวกนี้ฉินเฉิงจะไม่รับรู้?
เมื่อกี้ที่ฉินเฉิงพูดออกไปว่า “ยาพิษ” “พวกเขาจะตายในหนึ่งปี” ทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องที่ฉินเฉิงแต่งขึ้นมาเท่านั้น
ไป๋ตู๋ซาน เป็นเพียงพิษที่ต่ำต้อยที่สุด ไม่ว่าหมอคนไหนก็สามารถรักษาได้
และที่ฉินเฉิงบอกว่าจะให้ยาถอนพิษกับพวกเขา นั่นมันก็เป็นแค่จุดประสงค์อย่างหนึ่งของเขา เพื่อบอกว่าชีวิตของพวกเขาตกอยู่ในกำมือของตนเอง และตนเองก็เป็นเจ้าของชีวิตของพวกเขา
และประโยคที่บอกว่า “หวังว่าในยามที่ฉันตกอยู่ในอันตราย ทุกคนจะให้ความช่วยเหลือฉันบ้าง” นั่นก็เป็นเพียงประโยคที่ทำให้พวกเขาเชื่อใจฉินเฉิง
คนเหล่านี้ล้วนเป็นสุนัขจิ้งจอก ไม่มีทางที่พวกเขาจะช่วยเหลือฉินเฉิงอย่างไม่มีเหตุผลอย่างแน่นอน แล้วจะไปเชื่อพวกเขาได้อย่างไร?
แต่ฉินเฉิงได้เปิดเผยจุดประสงค์ของเขาที่จะช่วยพวกเขา ซึ่งทำให้สิ่งนี้เป็นจริงในเวลานี้
“ยาถอนพิษชนิดนี้ต้องเอาออกมาจากตำหนักเทพโอสถ หมอยาธรรมดาไม่สามารถตรวจสอบได้” และในตอนนั้นฉินเฉิงก็พูดเพิ่มออกมาอีกหนึ่งประโยค
“ดังนั้นทุกคนคงไม่ต้องพยายามคิดหาวิธีอื่นแล้ว” ฉินเฉิงพูดและหัวเราะออกมา
ทุกคนต่างมองหน้ากัน จากนั้นพูดออกมาด้วยท่าทางเรียบร้อย “คุณฉินพูดอะไรออกมา คุณที่เป็นถึงผู้อาวุโสมาอยู่ที่นี่แล้วทั้งคน พวกเราจำเป็นต้องไปหาคนอื่นด้วยเหรอ?”
ฉินเฉิงพยักหน้าและไม่ได้พูดอะไรออกมามากกว่านั้น
ทุกคนขึ้นเรือ เตรียมเดินทางกลับเกาะหนานโจว
หลังจากที่ฉินเฉิงก้าวขึ้นเรือเขาก็ส่งข้อความไปหาจำสำนักแห่งตำหนักเทพโอสถ ความว่า “ท่านเจ้าสำนัก ผมมีเรื่องที่จะขอความช่วยเหลือจากท่านสักหน่อย”
หลังจากนั้นฉินเฉิงก็บอกเรื่องทั้งหมดให้เจ้าสำนักได้รับรู้
“ท่านเจ้าสำนัก ได้โปรดบอกให้ทุกคนช่วยเล่นละครฉากนี้ด้วยเถิด”
หลังจากผ่านไปประมาณ 10 นาที ท่านเจ้าสำนักก็ตอบกลับมาว่า “อืม”