ภรรยาที่ทั้งสวยทั้งรวยของผม - บทที่ 290 นายคงไม่ใช่ฉินเฉิงนะ
เมื่อนึกถึงตรงนี้หยานรัวหยูก็อดไม่ได้ที่จะร้องออกมาอีกครั้ง
ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นเจ้าสำนักที่ยิ่งใหญ่ แต่เธอก็เป็นผู้หญิง และก็ไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนเจ้าสำนักของตำหนักเทพโอสถ
เมื่อต้องมาเจอกับปัญหาแบบนี้ แน่นอนว่าเธอก็ต้องอ่อนแอแบบนี้แหละ
และในตอนนี้ฉินเฉิงกำลังนั่งอยู่ในห้องและศึกษาเกี่ยวกับต้นเซียนเทียน
ในความมืด ต้นเซียนเทียนส่องแสงสีฟ้าครามจางๆ เหมือนกับที่พำนักของพระเจ้า
ฉินเฉิงค่อยๆรูปที่ต้นเชียนเทียนด้วยความระมัดระวัง ความตื่นเต้นละความปรารถนาในตาของเขาก็เผยออกมาอย่างชัดเจน
“ในหนังสือโบราณ ต้นเชียนเทียนมีไว้เพื่อชำระจิตใจของคนให้บริสุทธิ์ และใช้มันเพื่อเป็นตัวช่วยในการข้ามขีดจำกัด” ฉินเฉิงพูดออกมา “และในหนังสือยังบอกอีกว่า ต้นเชียนเทียนต้นนี้ยังสามารถสืบหาเส้นทางของใจคนเพื่อทำให้หาเส้นทางที่เหมาะกับตนเองได้มากที่สุด”
เนื่องด้วยหัวใจของทุกคนต่างกัน ดังนั้นเส้นทางที่ทุกคนเลือกเดินก็ต่างกันอย่างชัดเจน
และต้นเชียนเทียนนี้ก็สามารถขยายจิตใจได้อย่างไร้ขีดจำกัดและทำให้เข้าใจในเส้นทางของตัวเองมากขึ้น
ตอนที่อยู่ใต้น้ำฉินเฉิงไม่ได้สังเกตต้นเชียนเทียนนี้มากนัก ดังนั้นเขาจึงใช้เวลาทั้งคืนในการศึกษามันว่ามันเอามาใช้ประโยชน์ได้อย่างไร
เขาเอาต้นเชียนเทียนมาไว้ที่ตรงหน้าผากของเขา จากนั้นก็ค่อยๆหลับตาลง และร่างกายของเขาก็มีออร่าที่มหาศาลเข้าไปทันที
และในตอนที่เขาหลับตา ภาพแปลกๆก็เกิดขึ้นมาในหัวของฉินเฉิงเต็มไปหมด
มีศพกองเกลื่อนกลาดอยู่ทุกหนทุกแห่ง ภาพที่เกิดขึ้นเต็มไปด้วยการฆ่า ทำให้ผู้คนรู้สึกสยดสยอง
ในตอนนั้นฉินเฉิงก็ลืมตาขึ้นทันที
มีเหงื่อไหลออกมาจากหน้าผากของเขา
ใบหน้าของเขาดูน่าเกลียดเล็กน้อย และภาพนี้พิสูจน์ให้เห็นถึงปัญหา นั่นก็คือ เส้นทางที่ฉินเฉิงเลือกเดิน อาจจะเป็นเส้นทางของการฆ่า
“นี่มันไม่เข้ากับนิสัยของฉันเลย” สีหน้าของฉินเฉิงดูไม่ค่อยดี
ฉินเฉิงเป็นคนใจดีเสมอมา ถ้าหากไม่ใช่ว่าเป็นเพราะสถานการณ์บีบบังคับ เขาคงไม่ฆ่าใครง่ายๆ
แต่ภาพที่เขาเห็นจากการใช้ต้นเชียนเทียน เส้นทางของเขาคือเส้นทางของการฆ่า
เมื่อเส้นทางแห่งความเป็นจริงขัดภาพที่เกิดขึ้น มันจะทำให้การฝึกฝนของเขายากยิ่งไปอีก
ฉินเฉิงพูดออกมาอีกว่า “หรือว่าฉันจะต้องไปเดินเส้นทางนั้นจริงๆ”
เขาอดไม่ได้ที่จะนึกไปถึงภาพมรดกที่เขาเคยได้เห็นมา พ่อของเขาก็เดินเส้นทางเดียวกัน
สีหน้าของฉินเฉิงเริ่มดูจริงจังขึ้นมา ถ้าหากจะต้องเลือกเส้นทางดังกล่าวจริงๆ ฉินเฉิงไม่รู้ว่าควรจะเลือกยังไง
“ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเวลา” ฉินเฉิงถอนหายใจออกมา เขาหยิบต้นเชียนเทียนขึ้นมาไว้ที่ศีรษะของเขาอีกครั้งและเริ่มพัฒนาตนเอง
ฉินเฉิงถูกทรมานทางจิตใจนับครั้งไม่ถ้วนในคืนนั้น
เขาเห็นภาพของสิ่งมีชีวิตตายไปต่อหน้าของเขาทีละตัวๆ เห็นภาพของคนถูกตัดหัว ภาพของภูเขาและแม่น้ำถูกทำลาย
“นั่นไงเขา!”
และในตอนนั้นก็มีเสียงดังขึ้นทำให้ฉินเฉิงรู้สึกตัว
เขาลืมตาขึ้นและหันไปมอง เขาเห็นผู้อาวุโสและเหล่าลูกศิษย์ของสำนักหลิงตงยืนอยู่ที่หน้าประตูหลายคน
“ไม่รู้ว่าเจ้าหนุ่มคนนี้มาจากไหน แต่มันอันตรายมาก ทุกคนระวังตัว!” ผู้อาวุโสใหญ่ตะโกนออกมา
ฉินเฉิงลืมตาขึ้นช้าๆเขากวาดสายตาไปทางพวกเขาและยิ้ม “ทุกคน ฉันมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเจ้าสำนักของพวกนาย เมื่อวานเย็นพวกนายไม่เห็นหรือไง? ฉันกับเจ้าสำนักของพวกนายขึ้นมาจากน้ำพร้อมกัน”
สีหน้าของผู้อาวุโสใหญ่เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาพูดออกมาด้วยควมโกรธว่า “โกหก! นายทำอะไรกับเจ้าสำนักของพวกเรา! พูดออกมา!”
“ฉันไม่ได้ทำอะไร” ฉินเฉิงตอบ “ฉันแค่ทำเธอร้องไห้เท่านั้น”
“นี่นาย…!” สีหน้าของผู้อาวุโสใหญ่แดงก่ำ เขาชี้มาที่ฉินเฉิงแต่พูดอะไรไม่ออก
“ผู้อาวุโสใหญ่ ไม่ต้องไปเสียเวลากับเขาแล้ว จับเขาเอาไว้ก่อนและค่อยจัดการทีหลัง!” ผู้อาวุโสคนหนึ่งพูดออกมา
ฉินเฉิงก้าวออกมาด้านหน้า ส่ายหน้าและพูดออกมาว่า “เกรงว่าลำพังแค่พวกนายคงจับฉันไม่อยู่”
“ถ้าไม่ลองจะรู้ได้ยังไง!” ผู้อาวุโสคนหนึ่งพูดออกมา
“หยุดนะ”
ในช่วงเวลาวิกฤตินี้ เสียงของหยานรัวหยูก็ดังมาจากด้านหลัง
วันนี้หยานรัวหยูสวมกระโปรงยาวสีแดง ดูแล้วค่อนข้างรื่นเริง
“เธอต้องไปแต่งงานเหรอ?” ฉินเฉิงถามออกไปด้วยความสงสัย
หยานรัวหยูพ่นลมหายใจ เธอไม่ได้สนใจฉินเฉิง โบกมือและพูดออกมาว่า “พวกนายไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ถอยออกไปให้หมด”
“ครับ ท่านเจ้าสำนัก” ทุกคนพยักหน้า จากนั้นก็ถอยออกไป
หลังจากนั้นหยานรัวหยูก็หันหน้าและเดินจากไป
ฉินเฉิงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเดินตามเธอไป
ด้านบนของห้องโถงแห่งสำนักหลิงตง หยานรัวหยูนั้งอยู่ที่นั่ง ใบหน้าของเธอแสดงถึงความโศกเศร้าออกมาให้เห็น
ฉินเฉิงนั่งลงไปที่ข้างๆของเธอและพูดออกมาว่า “ในตอนที่เธอรู้สึกแย่แบบนี้แต่ยังสามารถออกความคิดแทนคนอื่นได้ ดูท่าแล้วเธอคงเป็นคนดีคนหนึ่ง”
“แล้วไงหละ?” หยานรัวหยูกัดฟันและพูดออกมา เธอมองมาที่ฉินเฉิงด้วยความโกรธ
“เนื่องจากฉันเป็นคนดี จึงถูกนายเอาเปรียบไง!” หยานรัวหยูพูดออกมา
ฉินเฉิงพูดออกมาด้วยความกังวล “เธอพูดอะไรออกมา ฉันไปเอาเปรียบเธอตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“แก่นแท้ของพลังวิญญาณที่ฉันสะสมมาสิบปีถูกนายใช้ไป นี่ยังไม่เรียกว่าการเอาเปรียบอีกเหรอ?” หยานรัวหยูตบโต๊ะและพูดออกมาด้วยสีหน้าที่เยือกเย็น
และผู้อาสุโสหลายคนที่นั่งอยู่ข้างๆเธอก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป ผู้อาวุโสใหญ่ก้าวออกมา พูดออกมาด้วยความกังวลว่า “ท่านเจ้าสำนัก แก่นแท้ของพลังวิญญาณนั่น…มันไม่ได้อยู่ที่คุณเหรอ?”
หยานรัวหยูไม่ได้พูดอะไร เธอนั่งนิ่งๆราวกับยอมรับชะตากรรม
“หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ คุณยังไม่ได้ก้าวขั้น?” ใบหน้าของผู้อาวุโสใหญ่น่าเกลียดขึ้นเรื่อยๆ “ท่านเจ้าสำนัก ท่านรีบไปจากที่นี่เถอะ ไม่อย่างนั้นเจ้าสำนักหวงจะต้องมาเอาตัวของท่านไปแน่ เมื่อถึงเวลานั้น…..”
“หยุดพูด!” หยานรัวหยูดุออกมา “ถ้าหากฉันไปจากที่นี่ พวกนายทุกคนก็จะถูกทรมานอย่างแน่นอน”
“แต่ว่า….” ผู้อาวุโสใหญ่กำลังอ้าปาก และอยากคิดที่จะพูดอะไรออกมาอีกแต่ก็ถูกหยานรัวหยูโบกมือเพื่อบอกให้หยุดพูด
ฉินเฉิงที่อยู่ข้างๆจึงยิ้มและพูดออกมาว่า “เธอร้องไห้เพราะเรื่องนี้เองเหรอ?”
“หุบปาก!” หยานรัวหยูจ้องมองไปที่ฉินเฉิง
ฉินเฉิงหัวเราะและพูดออกมาว่า “ฉันก็นึกว่ามีเรื่องอะไร ให้ฉันช่วยฆ่าเขาให้เอาไหม”
“นาย? จะฆ่าเขา?” หยานรัวหยูหัวเราะออกมา
“ฉันไม่มีวันเอาของของเธอไปฟรีๆ” ฉินเฉิงยิ้มและพูดออกมา “แก่นแท้ของพลังวิญญาณนั้นมากที่สุดก็ช่วยให้เธอพัฒนาได้หนึ่งระดับ หรือจะพูดอีกอย่างก็คือกลายไปเป็นจอมยุทธระดับสอง แล้วแบบนั้นจะทำให้เธอทีพลังมากพอที่จะจัดการกับเขา ใช่ไหม?”
หยานรัวหยูไม่พูดอะไร เธอกันหน้าหนีไปอีกทางหนึ่ง
ฉินเฉิงพูดออกมาอีกว่า “พูดอีกอย่าง เขาก็คงมีพลังมาที่สุดน่าจะอยู่ในขั้นปลายของจอมยุทธระดัยสอง ใช่ไหม”
“เจ้าหนุ่ม ที่น่ากลัวมันไม่ใช่ความแข็งแกร่งของเขา แต่มันเป็นเพราะเบื้องหลังของเขามากกว่า” ผู้อาวุโสใหญ่พูดออกมา “เบื้องหลังของเขาคือฉื่อหยานแห่งตระกูลฉื่อ และตระกูลฉื่อก็เป็นโคร่งข่ายของตระกูลซูในจิงตู นายจะไหวเหรอ?”
“ตระกูลฉื่อ?” เมื่อฉินเฉิงได้ยินแบบนั้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “พอดีเลยฉันยังมีบัญชีที่ยังคิดไม่เสร็จกับฉื่อหยาน ส่วนทางด้านของตระกูลซู….”
ฉินเฉิงไม่ได้พูดอะไรต่อไป แต่การแสดงออกของเขามันเผยให้เห็นถึงความคิดทั้งหมดของเขา
“ขี้โม้จริงๆ” หยานรัวหยูสบถออกมา “นายคิดว่านายเป็นฮั่นจิ่วเถียนแห่งตระกูลฮั่นหรือไง? หรือว่าเถิงอาวแห่งตระกูลเถิง? หรือว่า…นายคงไม่ใช่ฉินเฉิงคนเขาพูดถึงกันใช่ไหม?”