ภรรยาที่ทั้งสวยทั้งรวยของผม - บทที่ 326 ประสบการณ์ที่โชกโชน
ในตอนที่ฟางเสี่ยวเต๋อเดินเข้ามาในวอร์ด เธอก็รีบไปที่ด้านข้างของฉินเฉิง
“นายไม่เป็นไรใช่ไหม?” ฟางเสี่ยวเต๋อวิ่งวนรอบตัวของฉินเฉิง
ฉินเฉิงยิ้มแล้วพูดว่า: “ฉันจะเป็นไรได้หละ ดูดวงตาของเธอสิ มันบวมหมดแล้ว ขี้เหล่มากเลยนะ”
“นายยังจะมาว่าฉันอีก! หน้านายเองก็จะกลายเป็นหมูแล้วเหมือนกัน!” ฟางเสี่ยวเต๋อพูดอย่างโกรธเคือง
หยูเหม่ยเหรินที่อยู่ด้านข้างก็เดินเข้ามา เธอยิ้มแล้วพูดว่า: “เสี่ยวเต๋อ เธอช่วยไปซื้ออาหารเช้าให้เราหน่อยจะได้ไหม?”
ฟางเสี่ยวเต๋อไม่ใช่คนโง่ เธอรู้ว่าทั้งสองคนจะพูดอะไร เธอตอบตกลง: “ก็ได้ งั้นเดี๋ยวฉันมานะ”
หลังจากที่ฟางเสี่ยวเต๋อออกไปแล้ว ฉินเฉิงก็พูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังว่า: “ซูวานก็ตกอยู่ในมือของพวกเค้าเหมือนกัน”
“เรื่องปกติ” หยูเหม่ยเหรินพยักหน้า “การที่ตระกูลซูต้องการหาตัวใครซักคน มันก็ไม่ยากเลย พวกเค้าสามารถเรียกตำรวจทั้งประเทศได้”
ฉินเฉิงกัดฟันแล้วพูดว่า: “เสียวหยู่เชี้ยน นังสารเลว ไม่รู้เลยว่ามันจะทำอะไรกับซูวานบ้าง…”
หยูเหม่ยเหรินก็ปลอบ: “อย่าคิดมากเลย อย่างน้อยๆตอนนี้ซูวานก็ยังมีชีวิตอยู่”
“ใช่” ฉินเฉิงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก นี่คือสิ่งที่เค้าโล่งใจมากที่สุด
“ฉินเฉิง ฉันต้องเตือนนาย” หยูเหม่ยเหรินขมวดคิ้วขึ้นมา “การที่ซูวานปลอดภัย มันไม่ได้หมายความว่านายจะปลอดภัยนะ”
“นี่หมายความว่ายังไง” ฉินเฉิงถาม
หยูเหม่ยเหรินก็พูดว่า: “เหตุผลที่นายมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้ก็เพราะการนัดประลองของนายกับซูหยู่ที่เป็นเหมือนเครื่องรางของขลัง แต่ถ้าเครื่องรางนี้หายไป นายคิดว่าตระกูลซูจะปล่อยนายไว้อย่างงั้นเหรอ”
ฉินเฉิงยิ้มแล้วพูดว่า: “ปัญหานี้ ฉันเองก็คิดมาแล้ว”
“มีวิธีรับมือไหม?” หยูเหม่ยเหรินถาม
ฉินเฉิงส่ายหัว: “ไม่มีหรอก ค่อยๆเป็นค่อยๆไป”
ตอนนี้แม้แต่เรื่องการประลองเค้าเองก็ยังคงมีปัญหาอยู่ว่าตัวเองจะสามารถเอาชนะซูหยู่ได้หรือไม่ บางทีเค้าอาจจะต้องพ่ายแพ้ต่อซูหยู่ในสังเวียน
ดังนั้นการคิดถึงเรื่องนี้มันจะไปมีประโยชน์อะไร?
“ใช่สิ งานประสบการณ์ที่โชกโชนของสมาคมศิลปะการต่อสู้จิงตู เธอรับคำเชิญไหม?” ฉินเฉิงถาม
หยูเหม่ยเหรินก็หัวเราะคิกคักแล้วพูดว่า: “ฉันคิดวิธีที่เอาไว้แล้ว”
“อืม” ฉินเฉิงพยักหน้า “ยังมีเวลาอีกกี่วัน?”
“สองวัน” หยูเหม่ยเหรินพูดว่า “ฉันเดาว่าถ้าสองวันนี้หน้านายยังไม่หายบวม เกรงว่าเมื่อถึงตอนนั้นนายจะถูกเยาะเย้ย”
ฉินเฉิงฮัมเพลงเบา ๆ : “แผนการนี้ เสียวหยู่เชี้ยนก็ไตร่ตรองไว้แล้ว มันโง่สิ้นดีเลย เธอเอาแต่หน้าตาเป็นเรื่องสำคัญ นี่มันไร้สาระสิ้นดี”
“ในฐานะหมอยา นายลดอาการบวมไม่ได้เหรอ?” หยูเหม่ยเหรินถาม
“ก็มีทางอยู่ แต่ไม่จำเป็น” ฉินเฉิงส่ายหัว
ผู้คนที่ชนชั้นต่างๆ ต่างก็พูดในสิ่งที่แตกต่างกันออกไป
คนที่มาจากบนฟ้าจะไปเข้าใจชีวิตคนที่เดินติดดินได้อย่างไรกัน?
“สองวันนี้ก็พักผ่อนเยอะๆก็แล้วกัน” หยูเหม่ยเหรินก็พูดขึ้นมา
ฉินเฉิงฮัมเพลงแล้วหยุดพูด
หลังจากนั้นไม่นาน หยูเหม่ยเหรินก็พูดขึ้นว่า: “ฉันอยากจะเตือนนายอีกเรื่องหนึ่ง”
“เรื่องอะไรเหรอ?” ฉินเฉิงถามอย่างสงสัย
“ระวังเสี่ยวเต๋อหน่อย” หยูเหม่ยเหรินก็พูดว่า “เด็กนั่นอาจชอบนาย”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ฉินเฉิงแทบจะพ่นน้ำออกมา
เค้ากลอกตาแล้วพูดว่า: “ยังเด็กขนาดนี้จะไปรู้ได้ไงว่าความชอบคืออะไร มันก็แค่ช่วงเวลาของการชื่นชมก็เท่านั้น”
“อืม” หยูเหม่ยเหรินยิ้ม “แต่ความรักในวัยนี้ก็อันตรายที่สุดเหมือนกันนะ”
ในตอนที่เธอกำลังพูดอยู่ ฟางเสี่ยเต๋อก็กลับมา เธออยู่ที่ประตูพร้อมกับอาหารเช้า
“โอ้ รีบกินๆเข้าไป” ฟางเสี่ยวเต๋อวางปลาท่องโก๋กับโจ๊กไว้บนโต๊ะ จากนั้นเธอก็หยิบช้อนขึ้นมาแล้วเดินเข้าไปหาฉินเฉิง
“จะทำอะไร?” ฉินเฉิงกลอกตา
“จะป้อนข้าวนายไง” ฟางเสี่ยวเต๋อบ่นพึมพำ
ฉินเฉิงรีบโบกมือแล้วพูดว่า: “แขนขาฉันยังดีอยู่ เธอไม่ต้องมาป้อนข้าวฉันหรอก”
“เห้อ ฉันไม่ได้ป้อนข้าวใครง่ายๆนะ อย่าดื้อสิ!” ฟางเสี่ยวเต๋อพูดพร้อมกับสูดหายใจเข้า
…
ในวันเดียวกันนี้เอง ฉินเฉิงก็ออกจากโรงพยาบาลแล้วกลับไปที่อพาร์ตเมนต์
แต่ในอีกสองวันต่อไป ฉินเฉิงก็ไม่ออกไปไหนเลย
เหลือเวลาอีกแค่หนึ่งวันก่อนประสบการณ์ที่โชกโชน รายชื่อผู้เข้าร่วมก็ปรากฏในฟอรัมศิลปะการต่อสู้
มองมองดู ทั้งหมดมีเพียงแค่ 20 คนเท่านั้น มันรวมถึงซูหยู่จากตระกูลซู ฮั่นจิ่วเถียนจากตระกูลฮั่น จงเผิงจากตระกูลจง จู้เหยาจากตระกูลจู้แล้วก็ยังมีเด็กที่มีพรสวรรค์อีกมากมายจากตระกูลใหญ่
เมื่อคนเหล่านี้มารวมตัวกันใรโอกาสแบบนี้ มันก็ไม่มีใครรู้เลยว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
ฉินเฉิงมองไปรอบๆ เค้าก็พบว่านอกจากหยูเหม่ยเหรินแล้ว มันก็ไม่มีใครที่เค้ารู้จักอีกเลย
“แม้แต่เหรินกุ้ยอีก็ไม่ได้เข้าร่วมอย่างงั้นเหรอ” ฉินเฉิงคิดกับตัวเองแล้วเอามือลูบไปที่คางของเค้า
“บางทีนี่อาจจะเป็นสิ่งที่เรียกว่าทรัพยากรทั้งหมด” จากนั้นฉินเฉิงก็ส่ายหัวขึ้นมาอีกครั้ง
ในตอนนี้เอง ฟอรัมศิลปะการต่อสู้ก็ได้ดังระเบิดขึ้นมาอีกครั้ง
“พวกนายรู้ไหมว่าคราวนี้ใครนำทีม” ใครบางคนก็พูดขึ้นมา
“รู้แล้วๆ โจวติ่ง หรือที่รู้จักในนามท่านราชครู! เค้ายังเป็นอาจารย์ของซูหยู่อีกด้วย!”
“หึหึ มันไม่ยุติธรรมจริงๆ ตระกูลซูนี่มีอำนาจมากจริงๆ”
“โจวติ่งจะมอบทรัพยากรทั้งหมดให้กับซูหยู่อย่างแน่นอน”
“เฮ้ ว่ากันว่าฉินเฉิงเองก็จะเข้าร่วมด้วย เค้าจะกล้าไปไหม? ถ้าเค้าไม่กล้าไปมันก็จะทำให้เค้าขายหน้านะ”
ทุกคนต่างก็พากันพูดกันไปเรื่อย หลายคนต่างก็รู้สึกว่าเรื่องนี้มันไม่ยุติธรรมต่อฉินเฉิงเลย
น่าเสียดายที่อิทธิพลของฟอรัมศิลปะการต่อสู้มีจำกัด พวกเค้าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย
ฉินเฉิงไม่ได้กังวลอะไรมากนัก ที่ผ่านมาเค้าก็เจอเรื่องลำบากมาโดยตลอดและจิตใจของเค้าก็สงบลงแล้ว
เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น ทุกคนต่างก็รีบไปที่สมาคมศิลปะการต่อสู้จิงตู
ฉินเฉิงตบหัวจิ้งจอกไฟแล้วพูดว่า: “อยู่บ้านอย่างเชื่อฟัง อย่าสร้างปัญหาให้ฉัน รอฉันกลับมาแล้วจะพาไปเลี้ยงข้าว”
จิ้งจอกไฟก็ส่ายหัวเล็กน้อยราวกับว่าตอบตกลง
ทันทีหลังจากนั้น ฉินเฉิงกับฟางเสี่ยวเต๋อรีบไปที่สมาคมศิลปะการต่อสู้จิงตู
สมาคมศิลปะการต่อสู้จิงตูเป็นหนึ่งในองค์กรที่สำคัญที่สุดในโลกของศิลปะการต่อสู้
ตามรายงาน คนที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกล้วนแล้วมารวมตัวกันในสมาคมศิลปะการต่อสู้ ตัวตนของพวกเค้าถูกซ่อนเอาไว้ มันไม่มีใครรู้เลยว่ามีปรมาจารย์กี่คนที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังพวกเค้า
สมาคมศิลปะการต่อสู้มีพื้นที่ขนาดใหญ่ ห้องประชุม ที่คุมขังและอื่นๆ
ในวันนี้ ผู้คนจำนวนมากมารวมตัวกันในบริเวณใกล้เคียง
ที่ประตู จอมยุทธ์ขั้นเจ็ดสองคนที่รับผิดชอบการตรวจจดหมายเชิญ มันก็เพียงพอที่จะเห็นแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของสมาคมศิลปะการต่อสู้จิงตูแล้ว
“มาดูเร็ว ตระกูลซู ซูหยู่มาถึงแล้ว!”
ในตอนนี้เอง มันก็มีเสียงโห่ร้องจากผู้คนจำนวนมาก
เมื่อมองไปรอบๆ ก็เห็นรถโรลส์รอยซ์สีดำที่กำลังใกล้เข้ามา ทันทีที่รถหยุด ก็มองเห็นซูหยู่ที่เดินลงมาในชุดสูทพร้อมกับรองเท้าหนัง
ซูหยู่ยังเต็มไปด้วยเย่อหยิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของตระกูลซู แววตาของเค้ามันดูจองหองมาก
หลังจากที่ซูหยู่เดินไปที่ประตู คนที่ยืนอยู่ข้างๆและสมาชิกที่มีส่วนร่วมในประสบการณ์ที่โชกโชนก็เข้ามาทักทาย แต่เค้ากลับแสดงท่าทีเพิกเฉย
“จงเผิงจากตระกูลจง มาแล้ว!”
ที่ไม่ไกลออกไป กลุ่มวัยรุ่นก็กำลังเดินเข้ามาอย่างช้าๆ
จงเผิงเป็นคนรูปร่างเตี้ย เค้าตัวเตี้ยมาก แต่เต็มไปด้วยพลังความแข็งแกร่ง เสื้อผ้าที่เค้าสวมใส่มันก็ทำให้เค้าดูไม่เลวเลย
“คุณชายจง ไม่ได้เจอซะนานเลยนะ” หลังจากที่เห็นจงเผิงแล้ว ซูหยู่ก็พูดขึ้นมาอย่างเชยชา
จงเผิงกวาดมองไปที่ซูหยู่แล้วรีบเดินเข้ามา