ภรรยาที่ทั้งสวยทั้งรวยของผม - บทที่ 329 แกไม่สามารถเปลี่ยนชะตาของแกได้
“แกคิดว่าคนอย่างฉันจะต้องมีคนมาคอยปกป้องอย่างงั้นเหรอ?” ฉินเฉิงเลิกคิ้วขึ้น “เป็นแกซะมากกว่า เกรงว่าแกยังต้องให้ครอบครัวของแกคอยปกป้องอยู่เลยหนิ? ไม่อย่างงั้น ก็ไม่รู้เลยว่าแกจะต้องตายไปแล้วกี่ครั้ง”
ซูหยู่ไม่โกรธ มันดูราวกับว่าเค้าจะเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจในครอบครัวของเค้า
“แกกับซูวานนังบ้านั่น ปากแข็งเหมือนกันเลยนะ” ซูหยู่ก็เยาะเย้ยขึ้นมา
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ สีหน้าของฉินเฉิงก็เย็นชาขึ้นมาในทันที
จู่ๆซูหยู่ก็หัวเราะขึ้นมา มันดูราวกับว่าเค้าเจอจุดอ่อนของฉินเฉิงแล้ว
“ดูสิ คนอย่างแก มันไม่มีทางได้เป็นเจ้าคนนายคนหรอก กับอีแค่ผู้หญิงคนเดียวแกยังสับสนขนาดนี้เลย?” ซูหยู่เยาะเย้ย
ฉินเฉิงหรี่ตาลงแล้วพูดว่า: “แกนี่มันนิสัยเสียเหมือนแม่ของแกเลยนะ”
“แกพูด***อะไรของแก!” ซูหยู่โกรธจัด ออร่าที่น่ากลัวก็โหมกระหน่ำเข้ามา จากนั้นรถทั้งคันก็สั่นสะเทือนขึ้นมา!
โชคดีที่โจวติ่งหยุดมันได้ทัน มันทำให้รถกลับมามั่นคงอีกครั้ง
“ซูหยู่ มีเรื่องอะไรก็รอลงจากรถก่อนแล้วค่อยว่ากัน โอกาสยังมีอีกเยอะ” โจวติ่งก็พูดขึ้นมา
“ครับอาจารย์” ซูหยู่รีบคำนับ
ทันใดนั้นเองเค้าก็ไปกระซิบที่ข้างหูของฉินเฉิงเบาๆว่า: “เด็กที่ปากดีอย่างแก แกควรมีทักษะมากกว่านี้นะ ไม่อย่างนั้นแกได้สูญเสียครั้งใหญ่อย่างแน่นอน”
ฉินเฉิงไม่พูดอะไร เค้านั่งอยู่ในรถแล้วหลับตาลงเพื่อพักผ่อน
จากนั้นไม่นาน รถทั้งคันก็ตกอยู่ในความมืดแล้วสายตาของทุกคนก็พร่ามัว
“เพื่อปกป้องสถานที่แห่งประสบการณ์ที่โชกโชนจากการถูกฝ่าฝืน ในตอนนี้ ฉันจะปิดกั้นการมองเห็นของทุกคนด้วยวิธีการลับเฉพาะ” โจวติ่งก็พูดขึ้นมา
ฉินเฉิงไม่ได้พูดอะไร ทรัพยากรดีๆเหล่านี้ถูกครอบครองโดยสมาคมศิลปะการต่อสู้ นี่มันเป็นเรื่องยากสำหรับคนธรรมดาที่จะเข้าถึงมัน
ไม่รู้เลยว่ารถนี่มันขับมานานแค่ไหนแล้ว ในที่สุดมันก็หยุดลงแล้วการมองเห็นของทุกคนก็กลับคืนมาในทันที
เมื่อมองลงมาจากรถ ฉากซากปรักหักพังก็ปรากฏต่อหน้าทุกคน
ในเวลาเดียวกันนี้เอง ลมหายใจที่เรียบง่ายมันก็มาถึงที่ตรงหน้าพวกเค้า
“ลงจากรถกันเถอะ” โจวติ่งพูดขึ้นมาอย่างเย็นชา
ทุกคนรีบลงจากรถ พวกเค้าต่างก็รู้ว่าโจวติ่งเป็นอาจารย์ของซูหยู่ ดังนั้นพวกเค้าก็พยายามที่จะเอาอกเอาใจซูหยู่
ซูหยู่ดูเหมือนจะชอบความรู้สึกนี้มาก เค้ามองฉินเฉิงที่อยู่ไม่ไกลอย่างเฉยชาแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า: “แค่เชื่อฟังมันก็จะมีข้าวกิน”
มีผู้เข้าร่วมกว่ายี่สิบคน ยกเว้นเถิงอาวกับฮั่นจิ่วเถียนที่ไม่ต้องเอาใจซูหยู่ คนอื่นๆส่วนมากก็มายืนกันอยู่ที่ฝั่งของซูหยู่
ฉินเฉิงเหล่ตาของเค้าแล้วกวาดมองออกไปเพื่อดูว่ามีกี่คนที่ไม่คิดที่จะเอาใจซูหยู่ เค้ามองดูสถานการณ์นี้อย่างเงียบๆ มันดูไม่ออกเลยว่าเค้ากำลังคิดอะไรอยู่
“ที่นี่มันมีเจตนาสังหาร ถ้าไม่อยากตาย ก็ตามฉันมา” โจวติ่งพูดขึ้นมาอย่างเย็นชา
“ครับ หัวหน้าโจว” ผู้คนต่างก็รีบพูดขึ้นมา
ในตอนนี้เอง ซูหยู่ก็ก้าวออกมาในทันที เค้าพูดขึ้นมาอย่างเย็นชาว่า: “ไม่ต้องห่วง มันมีบัญชีที่จะต้องสะสางให้เรียบร้อยซะก่อน”
ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าซูหยู่หมายถึงอะไร ดังนั้นพวกเค้าเองก็อดใจไม่ได้ที่จะมองไปที่ฉินเฉิง
ซูหยู่ก็เดินเข้าไปหาฉินเฉิงทีละก้าวแล้วพูดขึ้นมาอย่างเย็นชาว่า: “ฉินเฉิง แกยั่วยุตระกูลซูที่ยิ่งใหญ่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตระกูลซูของฉันจะไม่ลงมือกับแกมันคงจะไม่ได้แล้วสินะ?”
อ่อร่าการสังหารของซูหยู่ในตอนนี้มันก็แรงกล้ามาก การฝึกฝนของเค้ามันก็ก้าวไปถึงขอบเขตของจอมยุทธ์ขั้นสามที่น่าสะพรึงกลัวแล้ว
ในฐานะคนที่เก่งอันดับต้นๆของพวกเด็กรุ่นใหม่ ฉินเฉิงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเค้าอย่างแน่นอน
“ตอนนี้ฉันจะให้โอกาสแกซักครั้ง” ซูหยู่พูดขึ้นมาอย่างเย็นชา “แกคุกเข่าคำนับฉันสามครั้งแล้วฉันจะให้อภัยแก”
ฉินเฉิงเยาะเย้ยแล้วพูดว่า: “ทำไมถึงได้เอาแต่พูดเรื่องไร้สาระแบบนี้?”
“โอเค!” ซูหยู่ก็ตะโกนขึ้นมา “ถ้าอย่างนั้นก็อย่ามาโทษฉันที่ไม่สุภาพก็แล้วกัน!”
ในตอนที่เค้าพูดอยู่นี้เอง ออร่าสีม่วงก็เปล่งประกายขึ้นมาบนร่างของซูหยู่!
ลมหายใจนี้มันน่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่ง ร่างของซูหยู่นี่เกือบจะดูเหมือนกับพระเจ้า!
หลังจากนั้น ด้วยความปราถนาที่แรงกล้าของซูหยู่นี้เอง จู่ๆเค้าก็ชกเข้าไปที่ฉินเฉิง!
ความเร็วของเค้ามันเร็วมาก ฉินเฉิงไม่สามารถหลบหลีกอะไรได้เลย!
ด้วยความสิ้นหวัง ฉินเฉิงทำได้เพียงแค่ยกหมัดขึ้นเพื่อทักทาย!
หมัดของซูหยู่ มันเต็มไปด้วยความแข็งแกร่ง พลังของมันไม่มีใครเทียบได้เลย!
ทันทีที่พลังของทั้งสองปะทะกันนี้เอง ร่างกายของฉินเฉิงก็ไม่มั่นคง เค้าถอยออกไปหลายก้าวติด!
ซูหยู่ฉวยโอกาสนี้ไล่ตามฉินเฉิง มือของเค้าเต็มไปด้วยออร่าสีม่วง มันดูราวกับสายรุ้ง จากนั้นมันก็ปะทะกันอย่างดุเดือดท่ามกลางอากาศ!
ฉินเฉิงตะโกนขึ้นมา ทันใดนั้นเองร่างของเค้าก็สว่างขึ้นด้วยแสงสีทองแล้วหมัดของเค้ามันก็ดูเหมือนกับดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงระยิบระยับ!
“ตูม!”
ลำแสงที่ตกลงมาชนกับหมัดของฉินเฉิง
รังสีของแสงทั้งสองก็ระเบิดออกในทันทีแล้วเปลวไฟสีม่วงที่เหมือนกับเนินเขามันก็กดลงไป!
“ตูม!”
ภายใต้ออร่าที่ครอบงำนี้เอง หมัดของฉินเฉิงก็ถูกบดขยี้จนพื้นดินทรุดตัวลงหลายจุด!
“ห๊าาา!!”
ฉินเฉิงส่งเสียงตะโกนขึ้นมาแล้วพลังปราณทั้งหมดของเค้ามันก็ถูกนำมาใช้อย่างเต็มรูปแบบในทันทีแล้วแสงสีม่วงนี่มันก็ปะทะเข้ามา!
“หึ มันก็แค่มดตัวหนึ่ง ก็เท่านั้น” ซูหยู่สูดลมหายใจเข้าอย่างเย็นชา เค้ายกฝ่ามือขึ้นมาแล้วซักเข้าไป!
ร่างของฉินเฉิงไม่สามารถป้องกันได้เลย เค้าถูกกดจนติดพื้น!
พลังที่น่ากลัวนี้มันก็ทำให้ปากของฉินเฉิงสั่นและเต็มไปด้วยเลือด เค้าไม่สามารถลุกขึ้นมาได้อยู่นาน
หยูเหม่ยเหรินกลัวมาก เธอกลัวมากจนหน้าซีด ร่างของเธอมันสั่นไปหมด
เธอปิดปากของเธอ มันดูราวกับว่าเธอกำลังจะตกที่นั่งลำบากซะแล้ว
ซูหยู่เดินเข้าไปหาฉินเฉิงทีละก้าว เค้ามองไปที่ฉินเฉิงอย่างเหยียดหยามและเย้ยหยัน: “นี่เป็นสิ่งเดียวที่แกทำได้อย่างงั้นเหรอ? แกจำที่แกพูดเอาไว้ตอนนั้นได้ไหม?”
ฉินเฉิงกัดฟันแล้วยิ้ม: “มันยังไม่ถึงเวลา ฉันไม่ใช่คนที่แกจะฆ่าได้…”
“หึหึ แกคิดว่าแกจะสามารถเปลี่ยนอะไรได้ภายในระยะเวลาหนึ่งเดือนอย่างงั้นเหรอ” ซูหยู่เลิกคิ้วแล้วถามขึ้นมา
“แค่สามวันก็ยังไหว นี่ไม่ต้องพูดถึงหนึ่งเดือนเลย…”
ซูหยู่หรี่ตา เค้าไม่ชอบการต่อล้อต่อเถียงของฉินเฉิงเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะแรงต้านทานจากคนระดับล่างแบบนี้ มันยิ่งทำให้เค้าอับอาย
“ฉินเฉิง ถ้าแกยอมฉัน ฉันจะปล่อยแกไป” ซูหยู่ก็พูดขึ้นมาอย่างเย็นชา
“แกอย่าเอาแต่พูดเรื่องไร้สาระสิ…” ฉินเฉิงยิ้ม “ตราบใดที่ฉันไม่ตาย ตระกูลซูก็จะไม่มีวันสงบสุข”
“รนหาที่ตาย!” ซูหยู่โกรธจัด เค้ายกเท้าขึ้นแล้วเตะเข้าไปที่ฉินเฉิงอย่างดุเดือด
“พัฟ!” ฉินเฉิงกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง!
ดูเหมือนว่าซูหยู่จะรู้สึกอึดอัด เค้าอ้าปากขึ้นมาแล้วถ่มน้ำลายใส่ร่างของฉินเฉิง จากนั้นก็หันหน้าไปมองดูผู้คนแล้วพูดอย่างเย็นชาว่า: “ถ้าใครกล้าเข้าใกล้มัน ฉันจะถือว่าพวกแกเป็นศัตรูของฉัน ซูหยู่”
พวกเค้าคุ้นเคยกับฉากแบบนี้อยู่แล้ว นี่มันไม่ต้องพูดถึงความอัปอายเลย แม้ว่าฉินเฉิงจะต้องมาตายต่อหน้าพวกเค้า พวกเค้าก็จะไม่ทำอะไรเลย
“คุณชายซู ใครจะไปกล้าขุ่นเคืองกับคุณเพราะคนนอกนี่?” ในตอนนี้เองก็มีคนพูดขึ้นมาพร้อมกับหัวเราะคิกคัก
“คุณชายซู ไม่ต้องห่วง พวกเราเองก็ไม่อยากจะมองหน้าไอ่หมอนี่มานานแล้ว”
ในตอนนี้เอง จู่ๆก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งขมวดคิ้วขึ้นมาแล้วพูดว่า: “หัวหน้าโจว คุณเป็นหัวหน้าทีมแต่กลับอยู่เฉยๆโดยไม่ทำอะไรเลยเนี่ยนะ?”