ภรรยาที่ทั้งสวยทั้งรวยของผม - บทที่ 391 ความโกรธของซูหยู่
เมื่อเงยหน้ามองขึ้นไป มันก็เห็นเพียงแค่ร่างของซูหยู่ที่เน่าไปกว่าครึ่ง ถ้าไม่มีเสื้อผ้าที่สวมใส่ไว้ สภาพของเค้ามันก็ไม่ต่างอะไรไปจากซอมบี้เลย
ซูฉีไห่ตกใจ เค้าลุกขึ้นแล้วพูดว่า: “ลูก… ลูกเป็นอะไรไป?”
ซูหยู่ยิ้มแล้วพูดว่า: “พ่อครับ…พ่อไม่ต้องห่วง…ตอนนี้ผมดีขึ้นมาแล้ว… มันดีขึ้นกว่าก่อนหน้านี้มาก!”
ซูฉีไห่หรี่ตาลง จากนั้นเค้าก็พูดขึ้นมาอย่างเย็นชาว่า: “ลูกถูกวิญญาณเข้าสิงอย่างงั้นเหรอ?”
“ใช่แล้ว…” ซูหยู่ไม่ปกปิดอะไร “ผมมีวิญญาณโบราณที่ทรงพลังอย่างยิ่ง…พ่อ…ฉินเฉิงมันตายแล้วใช่ไหม…”
ซูฉีไห่ขมวดคิ้วขึ้นมาแล้วส่ายหัว
ซูหยู่หัวเราะแล้วพูดว่า: “พ่อ ไม่ต้องห่วง… ฉินเฉิงมันจะต้องตายด้วยเงื้อมมือของผมอย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้น ไม่ช้าก็เร็วตระกูลซูจะต้องสรรเสริญพ่อ…”
หลังจากพูดจบ มันก็มีเสียงหัวเราะแปลกๆที่ดังขึ้นมาจากลำคอของซูหยู่
…
การตายของราชาผานมันก็ได้แพร่สะพัดไปทั่วอย่างรวดเร็ว
ในตอนนี้เอง เรื่องของฉินเฉิงก็ดังระเบิดราวกับพายุ
“ถ้าไม่มีจอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่ปรากฎตัวขึ้นมา บนโลกนี้ก็จะไม่มีใครสามารถเอาชนะฉินเฉิงได้เลย!” ในฟอรั่มศิลปะการต่อสู้ก็มีคนพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา
สเตตัสนี้มันก็มีคนกดไลค์นับพันคน แทบจะทุกคนต่างก็คิดเหมือนกัน
แต่ในตอนนี้เอง มันก็มีความเห็นหนึ่งที่ไม่สอดคล้องกันปรากฎขึ้นมา: “คุณพูดอะไร ฉินเฉิงคนนี้ไม่มีใครสู้ได้? มันมีหลายคนที่เก่งกว่าเค้าแล้วเค้าก็เทียบอะไรไม่ได้เลย”
ID ของคนที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นนี้เป็น ID หลายคนก็แสดงความคิดเห็นกับเค้าอย่างไม่หยุดหย่อน
“นายเก่งจริงเหรอ?”
“ถ้าเก่งจริงนายก็ลองไปประลองฝีมือกับเค้าสิ จะมัวหลบอยู่หลังหน้าจอทำไม?”
“หมายเลขยังไม่แสดงตัวตนเลย นักเลงคีย์บอร์ด?”
เถิงอาวที่ซ่อนตัวอยู่หลังหน้าจอ เค้าก็โกรธจนแทบจะระเบิดออกมา
ใช่แล้ว ID นี้เพิ่งลงทะเบียนใหม่นี้เป็นของเถิงอาว เค้าศิษย์อันดับหนึ่งของเหยี่ยนเซี่ยที่สง่างาม แน่นอนว่าเค้าไม่มีทางเห็นด้วยกับคำพูดพวกนี้
“ไอ้สารเลวพวกนี้ ฉันจะฆ่าพวกแกให้หมด!” เมื่อเห็นคอมเม้นพวกนี้ในโทรศัพท์ เถิงอาวก็โกรธจนสั่นไปหมด
เช้าวันรุ่งขึ้น เถิงอาวก็ลุกขึ้นแล้วออกมาจากคฤหาสน์ตระกูลจู้
เค้าอ้างว่าเค้าจะกลับไปเก็บตัว ถ้าไม่ก้าวเข้าสู้ขอบเขตของจอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่ เค้าจะไม่ออกมา แม้แต่เรื่องหมั่นกับตระกูลซู เค้าก็ลืมมันไปหมด
ในตอนนี้ ฉินเฉิงก็ไม่สนใจคอมเม้นพวกนี้เลย
ตอนนี้เค้าก็กำลังกลืนกินยาเม็ดสีทองที่ได้มาจากจอมยุทธ์อยู่
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉินเฉิงแก่นปราณทองคำ แต่แก่นปราณทองคำที่เค้ากินไปก่อนหน้านี้ล้วนแล้วแต่เป็นของอสูร ซึ่งพลังปราณของมันก็เทียบไม่ได้กับพลังของราชาผานคนนี้เลย
หลังจากที่กลืนยาเม็ดสีทองลงไปในท้องแล้ว ตันเถียนของฉินเฉิงก็ถูกจุดไฟขึ้นมาแล้วร่างทั้งร่างของฉินเฉิงก็เปล่งแสงออกมา
ท่ามกลางความมืด มันสามารถเห็นท้องที่เรืองแสงของฉินเฉิงได้
แก่นปราณทองคำนี้ ฉินเฉิงต้องใช้เวลากว่าสามวันในการบ่มเพาะมันจนเสร็จ
“ฮู้วววววว”
ฉินเฉิงก็ถอนหายใจออกมา เค้าตบท้องของตัวเองแล้วพูดว่า: “แก่นปราณทองคำทองของจอมยุทธ์นี่ มันไม่สามารถทำให้ฉันก้าวข้ามระดับขั้นไปนี้ไปได้เลย… ถ้าฉันอยากจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตของจอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่ มันอาจจะต้องใช้เป็นสิบเป็นร้อยเม็ดหรืออาจจะต้องใช้มากกว่านั้น?”
ฉินเฉิงคิดเรื่องนี้อยู่นาน แต่เค้าก็ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ ดังนั้นเค้าจึงทำได้เพียงแค่เดินไปตามน้ำ
“ต่อไปสำนักเทียนหยวนก็น่าจะลงมือ” ฉินเฉิงคิดกับตัวเอง
ที่สำนักเทียนหยวน
ซงดาก็นั่งอยู่ที่ตำแหน่งเจ้าสำนักเทียนหยวน สีหน้าของเค้าเย็นชาเป็นอย่างมาก
“แม้แต่ราชาผานก็ยังแพ้มัน” ซงดาสูดหายใจเข้าลึกๆ “สำนักเทียนหยวนจะทำอะไรมันได้บ้าง?”
“รอให้ท่านเจ้าสำนักออกมาก่อนหละกัน” ผู้อาวุโสที่อยู่ข้างๆก็เสนอขึ้นมา
ซงดาพยักหน้าแล้วพูดว่า: “งั้นก็คงต้องเป็นแบบนี้”
ช่วงหลายวันมานี้ คลื่นลมในเมืองจิงตูก็สงบนื่ง
ที่บ้านตระกูลซู
“ได้ ฉันเข้าใจแล้ว” ในห้องหนังสือ นายท่านซูที่สีหน้าสงบนิ่งก็วางสายโทรศัพท์ลง
หลังจากนั้น เค้าก็ด่าขึ้นมาว่า: “เย่อชิงยุนมันหมายความว่ายังไง! มันต้องการจะปกป้องฉินเฉิงอย่างงั้นเหรอ!”
“นายท่าน นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น” ผู้จัดการก็รีบเข้าไปแล้วถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น
นายท่านซูก็พูดขึ้นมาอย่างเย็นชาว่า: “ฉันจะให้สมาคมศิลปะการต่อสู้แห่งเมืองจิงตูไปจับ แต่คำตอบจากศิลปะการต่อสู้แห่งเมืองจิงตูก็คือพวกเค้าไม่สามารถไปจับกุมได้เพราะไม่มีเหตุผลที่เหมาะสมพอ การฆาตกรรมของฉินเฉิงนี่มันยังไม่ถือเป็นหลักฐานอีกเหรอ!”
ผู้จัดการก็พูดขึ้นมาอย่างไม่รู้จะทำยังไง: “นายท่าน คุณต้องเข้าใจความจริงข้อนี้ก่อน ยิ่งมีตำแหน่งมากเท่าไหร่ ข้อจำกัดก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น บางที คุณอาจจะต้องหันมาพึ่งโลกศิลปะการต่อสู้บ้าง
นายท่านซูเหลือบมองไปที่ผู้จัดการแล้วพูดว่า: “งั้นนายก็ไปฆ่าฉินเฉิงให้ฉันซะ”
ผู้จัดการส่ายหัวแล้วพูดว่า: “นายท่าน หน้าที่ของผมก็คือการปกป้องคุณ คุณต้องรู้ว่านอกจากฉินเฉิงแล้วคุณยังมีศัตรูอื่นอีกเยอะเลยนะครับ”
นายท่านสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เค้าไม่รู้จะทำยังไงดี เค้ารู้สึกปวดหัวเล็กน้อย
นี่เป็นเรื่องจริง ตระกูลใหญ่ๆดูเหมือนว่าพวกเค้าจะพัฒนาไปเรื่อย แต่ในความเป็นจริงแล้ว พวกเค้าต่างก็กำลังแข่งขันกันอยู่อย่างลับๆ ถ้าไม่ระวังตัว ก็จะถูกบดขยี้ได้
“นายท่าน ความสัมพันธ์ของศิลปะการต่อสู้ที่ตระกูลซูสั่งสมมาหลายปี เมื่อถึงเวลามันก็จะมีประโยชน์เหมือนกันนะครับ” ผู้จัดการที่อยู่ด้านข้างก็พูดขึ้นมา
นายท่านซูเหลือบมองไปที่เค้าแล้วก็อดไม่ได้ที่จะคิดเกี่ยวกับมัน
หลังจากนั้นไม่นาน เค้าก็พูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า: “ไปในนามของฉัน ไปเชิญสำนักใหญ่ๆในโลกนี้มาเป็นแขกที่บ้านของฉัน”
“ครับ” ผู้จัดการก็เห็นด้วย “แต่…ความสัมพันธ์นี้มันอยู่ในมือของคุณชายแปดมาโดยตลอด ตอนนี้เกรงว่าคุณชายแปดก็ยังต้องการมันอยู่”
สิ่งนี้ทำให้นายท่านซูยิ่งหงุดหงิดมากยิ่งขึ้น เค้าโบกมือขึ้นมาแล้วพูดว่า: “ไปทำตามที่ฉันบอกซะ”
…
สามวันต่อมา ตระกูลซูก็ได้เชิญแขกมาจากทั่วทุกมุมโลก
สำนักน้อยใหญ่ก็กำลังรวมตัวกันอยู่ที่ห้องโถงของตระกูลซู
เจ้าสำนักจากหลายสิบสำนัก ก็กำลังนั่งกันอยู่อย่างเคร่งเครียด
นายท่านซูที่นั่งอยู่ตรงหน้า ส่วนซูฉีไห่ก็กำลังนั่งอยู่ที่ด้านข้าง
ที่ด้านข้างของซูฉีไห่ มันก็มีชายคนหนึ่งที่สวมชุดดำ
คนๆนี้ก็คือซูหยู่
ในตอนนี้เอง ร่างกายของเค้าถูกคลุมด้วยเสื้อผ้าอย่างหนาแน่น ใบหน้าของเค้ามันถูกซ่อนเอาไว้ภายใต้หมวกขนาดใหญ่ มันปกปิดใบหน้าทั้งหมดของเค้า
“แกใส่หมวกอะไรของแก ไม่มีหน้าเจอคนเหรอ!” นายท่านซูก็กระซิบขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
ตั้งแต่ซูหยู่พ่ายแพ้ คุณปู่ซูก็ดูเหมือนว่าจะไม่พอใจเค้ามากขึ้นเรื่อยๆ
และซูหยูที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้หมวก เค้าเต็มไปด้วยมนต์ดำแล้วคลื่นแห่งความโกรธเกลียดมันก็ผุดขึ้นมาจากก้นบึ้งหัวใจของเค้า
ตั้งแต่ที่วิญญาณโบราณเข้ามาสิง ความกลัวของซูหยู่ที่มีต่อคุณปู่ซูก็หายไป
แต่ท้ายที่สุดแล้ว ความโกรธนี้มันก็ถูกระงับไป
นายท่านซูก็พูดขึ้นมาอย่างเย็นชาว่า: “แกมันก็เหมือนกับพ่อของแก เลี้ยงไปก็เปลืองข้าวสุก”
หลังจากนั้น นายท่านซูก็มองไปข้างหน้า
เจ้าสำนักนิกายน้อยใหญ่เหล่านี้ต่างก็นั่งลงที่ตำแหน่งต่างๆตามคุณสมบัติและความสามารถของพวกเค้า
“วันนี้ที่ฉันเชิญพวกแกมาก ฉันมีเรื่องสำคัญที่อยากให้พวกแกทำ” นายท่านซูไม่เคยมองนักศิลปะการต่อสู้พวกนี้อยู่ในสายตาเลย ดังนั้นเค้าก็เลยพูดอย่างไม่สุภาพ
“นายท่านซูพูดออกมาเถอะครับ ผมจะพยายามอย่างเต็มที่” ซงดาที่นั่งอยู่หน้าสุดก็ลุกขึ้นแล้วพูดออกมา
นายท่านซูเหลือบมองเค้าแล้วพูดว่า: “เอาหละ ฉันต้องการให้แกไปฆ่าใครซักคน”
“ใครครับ?” มีคนถามขึ้นมา
“ฉินเฉิง” นายท่านซูพูดขึ้นมาอย่างเย็นชา