ภรรยาที่ทั้งสวยทั้งรวยของผม - บทที่ 392 การรวมกลุ่มโจมตี
เมื่อได้ยินแบบนี้แล้ว เจ้าสำนักหลายคนต่างก็เงียบลง
“ผมเห็นด้วย” ทันใดนั้นเอง ซงดาก็ลุกขึ้นแล้วพูด
“ฉินเฉิงคนนี้มันหยิ่งผยองมาก เมื่อสองสามวันก่อนมันบุกเข้าไปที่สำนักของผมแล้วก่อความวุ่นวายและยังฆ่าลูกชายของผมอีก ผมเองก็ไม่พอใจมันเหมือนกัน” ซงดาสูดลมหายใจอย่างเย็นชา
“ใช่ ฉินเฉิงคนนี้มันยังก่อตั้งสำนักที่ชื่อว่าสำนักฉิน ตอนนี้จำนวนลูกศิษย์ก็เพิ่มขึ้นเป็นหลายพันคน หากว่ามันยังพัฒนาต่อไปแบบนี้หละก็ การเป็นสำนักอันดับหนึ่งของโลกมันก็ไม่ใช่เรื่องไกลตัวเลย” ใครบางคนกล่าว
“แต่ทว่า ฉินเฉิงมันไม่ใช่คนธรรมดา” ใครบางคนก็ขมวดคิ้วขึ้นมา
“หึหึ ฉินเฉิงมันแข็งแกร่งแค่ไหนกันเชียว? มันอยู่ในด้านสว่าง ส่วนฉันก็รออยู่ในด้านมืด!” ซงดาก็พูดขึ้นมาอย่างเฉยชา “เพียงแค่มีคนร่วมมือกับฉัน ต่อให้เป็นจอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่ เราก็สามารถจัดการได้! ยิ่งไปกว่านั้น มันก็เป็นแค่จอมยุทธ์เท่านั้น!”
นายท่านซูก็ขมวดคิ้วขึ้นมาแล้วพูดว่า: “ใครก็ตามที่ฆ่าฉินเฉิงได้ คนนั้นก็จะได้กลายเป็นมิตรกับตระกูลซูตลอดไป แน่นอนว่าพวกเค้าก็จะได้ผลประโยชน์จำนวนไม่น้อยจากตระกูลซู”
หลังจากได้ยินแบบนี้แล้ว ทุกคนต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย
“คนแบบนี้ถ้ายังเก็บมันไว้ ต่อไปมันก็จะมีแต่ปัญหาอย่างไม่รู้จบ!”
“ใช่แล้ว ความบาดหมางระหว่างมันกับตระกูลซู มันเป็นเรื่องที่ไม่สามารถยอมได้เลย ถ้ามันยังคงเป็นแบบนี้ต่อไป มันจะปล่อยพวกเราไปอย่างงั้นเหรอ?”
“พวกเราเองก็มีจอมยุทธ์มากกว่าสามสิบคน การจะฆ่าฉินเฉิง มันก็ง่ายเหมือนกับการปลอกกล้วยเข้าปาก!”
ในตอนนี้เอง ทุกคนต่างก็บรรลุข้อตกลงร่วมกัน
นายท่านซูก็เอามือตบไปที่เก้าอี้แล้วพูดว่า: “เอาหละ เรื่องนี้ก็ให้ซงดาเป็นคนจัดการก็แล้วกัน”
ซงดาตกตะลึง เค้าพูดขึ้นมาอย่างกังวลใจว่า: “นายท่านซู ผมทำไม่ได้! พวกเราต่างก็เคารพคุณซู ซูฉีไห่มาโดยตลอด เราจะข้ามหัวเค้าไปแบบนี้ได้ยังไงกัน?”
นายท่านซูเหลือบมองเค้าแล้วพูดขึ้นมาว่า: “เค้าจะไม่มีส่วนรับผิดชอบกับเรื่องของตระกูลซูอีกต่อไป”
ร่างของซูฉีไห่ก็สั่นขึ้นมาด้วยความโกรธในทันที ส่วนความโกรธของซูหยู่ก็เพิ่มมากขึ้น
นายท่านซูเชิญทุกคนมาที่นี่ไม่ใช่แค่เพื่อฆ่าฉินเฉิงเท่านั้น แต่มันเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าเค้ามีจุดประสงค์อื่น
นั่นคือการเอาอำนาจที่อยู่ในมือของซูฉีไห่กลับคืนมา
“ซงดา เธอจะเป็นคนรับช่วงต่อ” นายท่านซูพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “ฉันให้เวลาเธอครึ่งเดือน ฉันต้องการเห็นผลลัพธ์”
ซงดาดีใจมาก เค้ารีบพยักหน้าขึ้นมาแล้วพูดว่า: “โปรดวางใจได้เลยครับนายท่านซู! ผมจะไม่ทำให้คุณผิดหวัง!”
นายท่านซูโบกมือแล้วพูดว่า: “เอาหละ จบการประชุม”
หลังจากการประชุม ทุกคนต่างก็มารวมตัวกันที่สำนักเทียนหยวนเพื่อหารือเกี่ยวกับประเด็นสำคัญ
ส่วนซูฉีไห่ เค้าก็กลับมาอย่างโดดเดี่ยว
“ไอ่แก่ ฉันจะทำให้แกต้องเสียใจภายหลังเอง!” ซูหยู่ยืนอยู่ที่สถานที่ๆไกลออกไป เค้าร้องตะโกนออกมา
เสียงตะโกนมันแทบจะดังกึกก้องไปทั่วท้องฟ้า! เสียงที่แหบดังก้องนี่มันน่าขนลุกเป็นอย่างยิ่ง!
“อยากที่จะเข้ามาแทนที่ตระกูลซู…”
ในตอนนี้เอง มันก็มีอีกเสียงหนึ่งที่อยู่ในร่างของซูหยู่ที่ดังขึ้นมา
สีหน้าของซูหยู่เปลี่ยนไปเล็กน้อย เค้าพูดขึ้นมาอย่างเย็นชาว่า: “แทนที่? แทนที่ยังไง ฆ่ามัน? ต่อให้มันตายไป มันก็ไม่มีทางตกมาเป็นของฉันซูหยู่!”
“หึหึ…วิธีการมันมีอยู่มากมาย พวกเราไม่จำเป็นต้องอยู่ที่บ้านคระกูลซูเสมอไป…” เสียงแปลกๆมันก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง “สำนักหยินหมิงของเราเงียบมานานหลายปีแล้ว มันถึงเวลาแล้วที่จะต้องแสดงพลังของมันออกมา…”
…
ในตอนกลางคืน ที่บาร์จิ่วเซ่อ
ชายหนุ่มคนหนึ่งที่รูปร่างสง่างามก็กำลังนั่งดื่มเครื่องดื่มอยู่
คนๆนี้เค้าชื่อหลิวซู่ เค้าคือลูกชายของเจ้าสำนัก สำนักหยู่ติ่งที่มีชื่อเสียง แม้ว่าเค้าจะไม่ได้ดีเท่ากับซูหยู่ จู้เหย้าหรือคนอื่นๆ แต่เค้าก็เป็นคนที่เก่งกาจมาก
“คุณชายหลิว นี่มันก็ดึกมากแล้วนะครับ เราควรกลับกันได้แล้วครับ” ชายชราที่โค้งคำนับแล้วพูดขึ้นมา
หลิวซู่เหลือบมองนาฬิกาของตัวเอง เค้าลุกขึ้นแล้วพูดว่า: “ควรกลับได้แล้วหละ”
เมื่อเดินออกจากบาร์มา ทั้งสองก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับคุณชายหวัง
รอบๆมันไม่มีคนอยู่เลย มันรกร้างสุดๆ
ในฐานะของจอมยุทธ์ สัมผัสของเค้ามันก็มีความอ่อนไหวมากกว่าคุณชายหวังเป็นธรรมดา ดังนั้นเค้าก็สามารถสัมผัสได้ถึงความแปลกในทันที
“มันมีบางอย่างแปลกไป” หลิวซู่พูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“มันแปลกมากจริงๆ” ชายชราที่อยู่ข้างๆเค้าก็ขมวดคิ้วขึ้นมา
ในตอนนี้เอง ชายที่สวมชุดดำก็กำลังก้าวเดินออกมาอย่างช้าๆ
“แกเป็นใครกัน!” หลิวชู่ก้าวถอยไปแล้วตะโกนขึ้นมาด้วยท่าทีที่ระมัดระวัง
ชายชุดดำก็ยิ้มแล้วพูดว่า: “คนที่จะมาฆ่าแก…”
หลังจากนั้นสองนาทีต่อมา
หลิวซู่กับชายชราก็ล้มลงไปที่พื้น ร่างกายของพวกเค้ามันดูเหมือนจะเหี่ยวแห้งลง มันเหลือเพียงแค่เนื้อหนังเท่านั้น
เทคนิคนี้ มันดูเหมือนกับวิชากลืนวิญญาณที่ฉินเฉิงใช้
ส่วนซูหยู่ที่อยู่ไม่ไกลออกในวิลล่าเสิ่นหยุนก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“สบาย สบาย…” เสียงแหบในลำคอของเค้าก็ดังขึ้นมา “มันเป็นไปอย่างที่คิดไว้เลย นักรบหนุ่มที่ทรงพลัง… เห้ ว่ากันตามความเร็วระดับนี้แล้ว ใช้อีกแค่ไม่นานเท่านั้น ฉันก็จะบรรลุมันได้อย่างสมบูรณ์แล้ว!”
นอกจากหลิวซู่แล้ว ยังมีนักยุทธ์อีกมากมายที่เจอเข้ากับเหตุการณ์แบบนี้
…
ในตอนนี้เอง ฉินเฉิงก็กำลังวางแผนที่จะส่งฟางเสี่ยวเต๋อไปมหาลัย
“พรุ่งนี้ฉันจะหาเวลาไปส่งเธอที่มหาลัย” ฉินเฉิงพูดกับฟางเสี่ยวเต๋อ
เวลาผ่านมานานขนาดนี้แล้ว ฟางเสี่ยวเต๋อก็คุ้นเคยกับชีวิตแบบนี้แล้ว
“ฉันไม่พักอยู่ในมหาลัยไม่ได้เหรอ ต่อไปตอนเย็นก็กลับมาที่นี่” ฟางเสี่ยวเต๋อบ่นพึมพำขึ้นมา
“ไม่หละ” ฉินเฉิงปฏิเสธโดยไม่ลังเล
ฟางเสี่ยวเต๋อเม้มปากแล้วพูดว่า: “ทำไม! ฉันจะกลับมา!”
“อยู่ที่มหาลัยกับเพื่อนๆ มันไม่ดีเหรอ?” ฉินเฉิงขมวดคิ้ว “ทำไมถึงจะกลับมา? ไม่รู้เหรอว่าที่นี่มันอันตราย?”
“ฉัน…ฉัน…” ฟางเสี่ยวเต๋ออ้าปากค้าง เธอไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีอยู่ซักพัก
ในใจฟางเสี่ยวเต๋อก็รู้ดีอยู่แล้ว เธอมีความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้กับฉินเฉิง
ถ้ามีซูวานอยู่ เธอก็อาจจะต้องควบคุมมันบ้าง แต่ตอนนี้ซูวานก็จากไปแล้ว มันจะต้องปิดบังความรู้สึกนี้อยู่อีกไหม?
ฟางเสี่ยวเต๋อไม่รู้จะทำยังไง เธอสับสน
“ฉันจะไปชอบนายได้ยังไงกัน!” ฟางเสี่ยวเต๋อพยายามคิดอยู่ในใจ
“เอาหละ ตอนนี้ก็ดึกแล้ว เข้านอนเถอะ” ฉินเฉิงมองไปที่ฟางเสี่ยวเต๋อแล้วพูดขึ้นมา
ฟางเสี่ยวเต๋อถอนหายใจแล้วเดินกลับไปที่ห้องของเธอ
ที่ด้านของหยานหยุน ในตอนนี้เค้าก็ทนไม่ไหว เค้าหัวเราะแล้วก็สายหัว
“หัวเราะบ้าอะไร” ฉินเฉิงมองแล้วพูดขึ้นมา “ฉันจะลงไปเดินเล่นข้างล่าง จะไปด้วยกันไหม?”
“ไม่ไป” หยานหยุนพูดด้วยสีหน้าที่เย็นชา
“ไม่อยากไป?” ฉินเฉิงบ่นพึมพำแล้วเดินลงบันไดไปคนเดียว
เช้าวันรุ่งขึ้น จู้เหยาก็โทรหาฉินเฉิง
เธอหัวเราะทางโทรศัพท์แล้วพูดว่า: “ฉินเฉิง วันนี้สมาคมศิลปะการต่อสู้มีการประมูล นายอยากจะไปด้วยกันไหม?”
“ประมูล?” ฉินเฉิงขมวดคิ้ว “ประมูลอะไรเหรอ?”
“ฉันได้ยินมาว่ามันเป็นสมบัติที่เจอมาจากซากโบราณสถาน” จู้เหยาก็พูดขึ้นมา
“โอ้?” ทันใดนั้นเอง ฉินเฉิงก็เริ่มสนใจขึ้นมา “ทำไมสมาคมศิลปะการต่อสู้แห่งเมืองจิงตูถึงเอามันออกมาประมูล? มันไม่น่าจะใช่ของดีมั้ง?”
“นั่นก็ไม่แน่” จู้เหยายิ้มแล้วพูด “ค่าใช้จ่ายประจำปีของสมาคมศิลปะการต่อสู้มันสูงมาก พวกเค้าต้องการเงิน”
ฉินเฉิงก็ครุ่นคิดอยู่ซักพักหนึ่ง จากนั้นเค้าก็พูดว่า: “โอเค กี่โมงหละ?”
“มันเริ่มตอนประมาณเก้าโมง” จู้เหยาพูดว่า “แต่ว่านายต้องระวังหน่อยนะ ระวังนะถ้าเข้าไปในสมาคมศิลปะการต่อสู้แล้วจะออกมาไม่ได้”