ภรรยาที่ทั้งสวยทั้งรวยของผม - บทที่ 406 ประลองกลั่นยา
เมื่อได้ยินแบบนั้นฉินเฉิงก็เงียบอยู่นาน เขามองไปที่หยูฉงชือด้วยสายตาที่เยือกเย็น
หมูทอดซอสเปรี้ยวหวาน เป็นอาหารที่ฉินเฉิงชอบกินมากที่สุด
แต่เขาเองก็จำได้ดี ในตอนที่เขายังเด็กหยูฉงชือเอาหมูทอดซอสเปรี้ยวหวานไปให้หมากิน แต่กลับไม่ให้ฉินเฉิงกิน
“ไปกันเถอะ ฉันจะพาไปเอง….”
“ไปให้พ้น” ฉินเฉิงพูดออกมาด้วยความเยือกเย็น
หลังจากนั้นเขาก็หันมาทางหลินชิงชือแล้วพูดว่า “ถ้าหากเธอยังอยากเรียนกับฉันอยู่ ช่วยบอกให้แม่ของเธออยู่ห่างจากฉันหน่อย”
เมื่อพูดจบ ฉินเฉิงก็เดินจากไป
“จะอะไรกันหนักหนา! ของชอบก็ไม่กิน คิดว่านายเป็นใคร!” หลังจากที่ฉินเฉิงเดินจากไป หยูฉงชือก็อดไม่ได้ที่จะบ่นออกมา
…..
ในตอนกลางคืนเจ้าสำนักเดินมาที่ห้องของฉินเฉิง
“เตรียมพร้อมแล้วหรือยัง?” เจ้าสำนักถาม
ฉินเฉิงลุกขึ้นและตอบกลับไปว่า “ครับ ผมว่าจะกลั่นยาเม็ดสวรรค์ ไม่รู้ว่าจะทำสำเร็จหรือเปล่า”
“ยาเม็ดสวรรค์?” แววตาของเจ้าสำนักมีความสงสัยปรากฎออกมา “นายมีวิธีการกลั่นยาเม็ดสวรรค์?”
“ครับ” ฉินเฉิงพยักหน้า “ถ้าหากเจ้าสำนักอยากได้ ผมจะเขียนมันให้กับคุณฉบับหนึ่ง”
เจ้าสำนักส่ายหน้า แล้วถามออกมาอีกว่า “แล้วยาของสำนักงานความมั่นคงหละ?”
“เรื่องนั้นวันนี้ผมจะทำการวิจัยอีกสักหน่อย น่าจะไม่มีปัญหาอะไรครับ” ฉินเฉิงตอบ
ในมรดกที่พ่อของเขาทิ้งไว้ สามารถเรียกได้ว่าเป็นคลังยาในการบ่มเพาะจิตวิญญาณ
แค่หยิบวิธีการกลั่นยาออกมาก็เพียงพอที่จะทำให้โลกสะเทือน
รวมถึงยาที่สำนักงานความมั่นคงต้องการ สำหรับโลกใบนี้แล้วอาจจะกล่าวได้ว่ายากมาก แต่สำหรับฉินเฉิงแล้วมันไม่ได้ยากอะไรเลย
เพียงแค่เขาลดความซับซ้อนของสูตรยาที่พ่อของเขาทิ้งไว้ให้ไม่กี่อย่างก็พอแล้ว แต่จะผลิตจำนวนมาแค่ไหนนั้นก็ขึ้นอยู่กับ ตำหนักเทพโอสถ
เจ้าสำนักยิ้มและพูดออกมาว่า “การแข่งที่สมาคมกลั่นยานานาชาติในครั้งนี้ลูกศิษย์ของประธานสมาคมลงแข่งเอง นายอย่าไปกลัวหละ”
เมื่อฉินเฉิงได้ยิน เขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “ต่อให้ประธานมาเอง ผมก็ไม่กลัว”
เจ้าสำนักพยักหน้า “รีบพักผ่อน”
วันรุ่งขึ้นฉินเฉิงเดินมาที่ห้องกลั่นยา
เมื่อมาถึงที่หน้าประตูเขาก็เห็นผู้หญิงยืนอยู่สองคน
ทั้งสองคนมีดวงตาที่สดใสและฟันที่ขาว สวยงามและน่ารับประทาน และมีแก้มแดงระเรื่อราวกับแต่งตัวมาเป็นพิเศษ
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ทั้งสองเป็นฝาแฝดกัน
“ผู้อาวุโสฉิน” หลังจากที่เห็นฉินเฉิงทั้งสองคนก็รีบเดินเข้ามา
“พวกเธอมีเรื่องอะไร?” ฉินเฉิงถามออกไป
ผู้หญิงทั้งสองคนรีบพูดออกมาว่า “ไม่…ไม่มีเรื่องอะไร พวกเราแต่อยากมาเรียนการกลั่นยากับคุณ…”
“อร๊าย!”
เมื่อเสียงเงียบลง หญิงคนหนึ่งก็เอียงเท้าตนเองและซบไปที่หน้าอกของฉินเฉิง
ตอนแรกคิดว่ามันเป็นฉากที่หอมหวน แต่จู่ๆฉินเฉิงก็หันร่างของเขาไปด้านข้าง และทันใดนั้นเด็กสาวก็ล้มลงกับพื้น
“วิชาที่มีอยู่ใน ตำหนักเทพโอสถมีตั้งมากมาย ทำไมพวกเธอถึงไม่ไปเรียน” ฉินเฉิงถามออกมาด้วยใบหน้าที่เยือกเย็น
หลังจากนั้นเขาก็เดินเข้าไปในห้องกลั่นยาพร้อมกับปิดประตู
ในห้องกลั่นยา หลินชิงชือก็ลังยืนมองออกไปด้านนอกหน้าต่าง เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเมื่อกี้ หลินชิงชือก็เห็นทุกอย่าง
“ฉินเฉิง นายเย็นชาเกินไปหรือเปล่า คนเขาอุตส่าห์เข้าไปกอดแต่กลับปฏิเสธ” หลินชิงชือกลอกตาแล้วพูดออกมา
ฉินเฉิงไม่ได้ตอบคำถาม เขาไปจุดเตาข้างๆและพูดออกมาว่า “หยิบแปะจี้มาให้หน่อย”
…..
ในตอนกลางคืน
หยูฉงชือมาที่ห้องกลั่นยาอรกครั้ง
ครั้งนี้เธอนำอาหารมาด้วย
“แม่ แม่มาอีกแล้ว!” หลังจากที่เห็นหยูฉงชือ หลินชิงชือก็เดินเข้าไปด้วยใบหน้าที่อดทน
หยูฉงชือผลักหลินชิงชือออกไป จากนั้นก็เดินมาด้านหน้าของฉินเฉิง ยิ้มแล้วพูดออกมาว่า “ผู้…ผู้อาวุโสฉิน ฉันขอรบกวนเวลาคุณสักสองนาที พูดแค่ไม่กี่คำ”
“ฉันไม่ว่าง” ฉินเฉิงพูดออก
หยูฉงชือรีบเดินตามเข้ามา เธอยิ้มและพูดออกมาว่า “ฉินเฉิง ไม่รู้ว่านายกำลังโกรธอะไรอยู่ แต่เรื่องมันก็ผ่านมานานขนาดนี้แล้ว มันน่าจะลดลงบ้างแล้วใช่ไหม? นายเองก็หักขาของหลินชิงเฉิงไปแล้วนิ?”
ฉินเฉิงมองไปที่หยูฉงชืออย่างเย็นชาโดยไม่มีร่องรอยของการแสดงออกบนใบหน้าของเขา
หยูฉงชือพูดออกมาว่า “นายลองคิดดู นายเองก็อายุไม่ใช่น้อยๆแล้ว ควรจะมีครอบครัว แถมชิงเฉิงกับนายก็เคยมีความสัมพันธ์ต่อกัน แบบนั้นมันก็ง่ายต่อการสารต่อไม่ใช่เหรอ?”
“ที่จริงฉันอยากจะให้เธอทั้งสองคนคืนดีกันตั้งแต่แรกแล้ว แต่ตอนนั้นมันติดตรงยังมีซูวานอยู่ แต่ตอนนี้ซูวานตายไปแล้ว นาย….”
“ปัง!”
หยูฉงชือยังไม่ทันพูดจบ ใบหน้าของเธอก็มีรอยนิ้วมือทั้ง 5 ติดอยู่ ร่างกายของเธอกระเด็นออกไป อาหารในมือของเธอหล่นกระจายเต็มพื้น
“ที่ฉันไม่ฆ่าเธอไม่ได้เป็นเพราะมีความรู้สึกอะไร แต่มันเป็นเพราะเห็นแก่หน้าของท่านเจ้าสำนัก” ฉินเฉิงพูดออกมา “ถ้าหากเธอยังกล้าพูดจาเหลวไหลอีกหละก็ ฉันจะไม่ยั้งมือเอาไว้แล้วนะ!”
หลินชิงชือที่อยู่ข้างๆรีบวิ่งเข้ามาพยุงแม่ของเธอ ส่วนทางด้านของฉินเฉิงก็เดินจากไป
…..
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็ผ่านไปถึงสามวัน
คืนก่อนเดินทาง เจ้าสำนักแห่ง ตำหนักเทพโอสถเดินมาที่ห้องฉินเฉิง
เธอนั่งลงตรงหน้าฉินเฉิงแล้วพูดออกมาว่า “ประธานของสมาคมกลั่นยานานนาชาติเป็นศัตรูตัวฉกาจกับฉัน เรื่องนี้นายเองก็น่าจะรู้”
“ผมเคยได้ยินมาบ้าง” ฉินเฉิงพยักหน้า
เจ้าสำนักพูดออกมาว่า “ดังนั้นไปอเมริกาครั้งนี้ มันอาจจะอันตรายมาก”
หลังจากนั้นเจ้าสำนักก็ยื่นนามบัตรให้กับฉินเฉิงหนึ่งใบ “นี่คือเพื่อนที่อเมริกาของฉัน เมื่อไปถึงแล้วเขาจะเป็นคนดูแลนาย”
หลังจากที่ฉินเฉิงรับนามบัตรมา เขาก็เหลือบตาดูมัน เห็นว่าบนนามบัตรนั้นมีชื่อของคนที่ชื่อว่า เสวี่ยโหง เขียนอยู่
“ท่านเข้าสำนัก ที่จริงคุณไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงผมก็ได้” ฉินเฉิงพูดออกมา “ถึงต่อให้ผมไปเจอกับจอมยุทธผู้ยิ่งใหญ่โดยบังเอิญ ผมก็ยังมีโอกาสที่หนีออกมาได้”
เจ้าสำนักไม่ได้พูดอะไร เธอเดินออกไปทั้งๆอย่างนั้น
เมื่อเดินมาถึงหน้าประตู เธอหันหลังกลับไปแล้วพูดว่า “ดูแลตัวเองดีๆ”
“ครับ” ฉินเฉิงประสานมือตอบรับ
เช้าวันรุ่งขึ้น เจ้าสำนักก็ให้คนขับรถไปส่งฉินเฉิงที่สนามบิน
“ให้เธอไปกับนายด้วย” เจ้าสำนักชี้ไปที่หลินชิงชือแล้วพูดออกมา
หลินชิงชือดีใจมาก เธอรีบตอบกลับมาทันทีว่า “ขอบคุณท่านเจ้าสำนักมาคะ!”
ฉินเฉิงหันไปมองหลินชิงชือ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
จากเหยียนเซี่ยไปอเมริกาต้องใช้เวลาบินกว่า 16 ชั่วโมง
ในระหว่างทาง ฉินเฉิงหลับตาลงและคิดถึงสูตรยาต่างๆอยู่ในใจของเขา
สุดท้ายฉินเฉิงก็นึกถึงยาที่มีชื่อว่า ยาบ่มเพาะโบราณ
ยาบ่มเพาะโบราณถึงแม้จะเป็นยาระดับต่ำ แต่มันก็ถือได้ว่าเป็นราชาของยาระดับเดียวกัน
ประโยชน์ของมันนั้นไม่น่าเชื่อ มันสามารถเพิ่มพลังบ่มเพาะให้กับนักต่อสู้ได้
พูดอีกอย่างก็คือมันเป็นยาที่สร้างทำให้นักต่อสู้ก้าวข้ามระดับที่ตนเองเป็นอยู่ไปได้ ไม่ว่ามันจะเป็นระดับที่อยู่สูงแต่ไหน เมื่อทานยานี้เข้าไปมันก็สามารถช่วยได้
แต่แน่นอน มันก็มีข้อเสียเหมือนกัน ถ้าหากพื้นฐานของการบ่มเพาะไม่ดี เมื่อทานยานี้เข้าไปก็อาจจะทำให้พรสวรรค์และพลังที่มีกลับมาอยู่ในจุดต่ำสุดเลยก็ว่าได้
ถ้าหากใช้ยาบ่มเพาะโบราณในการก้าวเข้าระดับจอมยุทธ อาจจะบอกได้ว่าทั้งชีวิตนี้อาจจะไม่มีสิทธิก้าวไปเป็นจอมยุทธผู้ยิ่งใหญ่ได้อีกเลย
“ถ้าหากฉันมีต้นเชียนเทียน บางที่มันก็อาจจะไม่จำเป็นต้องใช้ยาบ่มเพาะโบราณ” ฉินเฉิงแอบคิดในใจ