ภรรยาที่ทั้งสวยทั้งรวยของผม - บทที่ 415 การชิงเต่าวิญญาณ
เย่อจุนปีนออกมาจากซากปรักหักพังโดยถือโล่สีดำไว้ในมือ
“บ้าจริง ถ้าไม่ใช่เพราะโล่นี่ ฉันคงตายไปแล้ว!” เย่อจุนพูดขึ้นมาอย่าไม่พอใจ
“ขอโทษด้วย” เสวี่ยเทียนจุนพูดขอโทษขึ้นมา “แต่กระบี่เล่มนี้ควรระวังมันเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะยังไงก็ตามไม่ควรเข้าใกล้มัน”
ฉินเฉิงกับคนอื่นๆพยักหน้าแสดงความเข้าใจในทันที
แม้ว่าสิ่งประดิษฐ์เหนือธรรมชาติมันจะเทียบไม่ได้กับการลงมืออย่างจริงจัง แต่พลังของมันก็ไม่สามารถจินตนาการได้เลย
แม้แต่จอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่เองก็ยังกล้าที่จะเผชิญหน้ากับอาวุธขั้นสุดยอดแบบนี้
“ตอนนี้มันก็สายมากแล้ว เราออกเดินทางกันเถอะ” เสวี่ยเทียนจงห่อดาบด้วยผ้าสีดำอย่างระมัดระวัง
พวกเค้าออกจากโรงแรมในทันทีแล้วมุ่งหน้าตรงไปที่เทือกเขา
แน่นอนว่าสถานที่แห่งนี้มันนั้นถูกปิดกันเอาไว้อย่างสมบูรณ์ มันมีทหารหลายสิบคนพร้อมปืนและกระสุนจริงคอยคุ้มกันสถานที่แห่งนี้เอาไว้
ส่วนที่รอบๆเต่าวิญญาณนั้น มันก็มีผู้ชายในชุดขาวจำนวนมากที่กำลังศึกษาและวิจัยอยู่
“มันยังไม่ถึงเวลา” ฉินเฉิงพูดขึ้นมา “รอให้ดึกก่อน”
หลายคนซ่อนตัวอยู่ในความมืด พวกเค้าเฝ้ารอกันมาทั้งวัน
จะเห็นได้ว่าพวกเค้าไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรมากกับเต่าวิญญาณนี่ เมื่อถึงเวลาสี่ห้าทุ่มกว่า การวิจัยก็จบลง
“ลงมือได้แล้ว” เสวี่ยเทียนจงลุกขึ้นและพูด
ฉินเฉิงส่ายหัวแล้วพูดว่า: “รออีกเดี๋ยว”
“รออะไรอีก?” เสวี่ยเทียนจงขมวดคิ้วขึ้นมา “วันนี้ฉันจะต้องเอากระบี่หยกโลหิตนี่กลับไปคืนนะ”
ฉินเฉิงก็พูดว่า: “ฉันเกรงว่าอีกเดี๋ยวมันจะมีคนมา”
เสวี่ยเทียนจงมองไปที่ฉินเฉิงอย่างระมัดระวัง มันดูราวกับว่าเค้ากังวลว่าฉินเฉิงจะฉกกระบี่โลหิตของตัวเองไป
หลังจากผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมง เสวี่ยเทียนจงก็ลุกขึ้นแล้วพูดว่า: “ตอนนี้ได้ยัง?”
ฉินเฉิงเหลือบมองนาฬิกาแล้วพูดว่า: “รออีกเดี๋ยว”
เสวี่ยเทียนจงก็พูดอย่างโกรธเคืองว่า: “นายกำลังรออะไรอยู่กันแน่? มีอะไรต้องรอกันอีก?”
ฉินเฉิงเหลือบมองเสวี่ยเทียนจุนแล้วพูดว่า: “นี่มันก็วันนึงแล้ว จะรออีกหน่อยมันจะเป็นอะไรไป”
“เอาหละ เอาหละ!” เสวี่ยเทียนจงดึงกระบี่หยกโลหิตออกมา เค้าเหยียดกระบี่ไปข้างหน้าแล้วพูดว่า: “ฉันจะรอนายอีกแค่หนึ่งชั่วโมงเท่านั้น”
เวลาผ่านไปเร็วมาก หนึ่งชั่วโมงมันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เสวี่ยเทียนจงลุกขึ้นมาด้วยความโกรธแล้วพูดว่า: “นายอยากจะรอก็รอไป ฉันไม่รอแล้ว”
“รออีกเดี๋ยว” ญาณหยั่งรู้ของฉินเฉิงถูกปล่อยออกมาอย่างเงียบๆ “มีคนกำลังมาทางนี้”
“หึหึ ฉันคิดว่านายกำลังมองหาโอกาสที่จะฉกกระบี่หยกโลหิตของฉันใช่ไหม?” เสวี่ยเทียนจงเหล่ตาของเค้าแล้วพูดว่า: “ฉินเฉิง ฉันจะบอกนายให้นะ ตระกูลเสวี่ยถือว่ากระบี่หยกโลหิตนี่มันมีความสำคัญมากกว่าชีวิต ทางที่ดีนายอย่าคิดฉกมันน่าจะดีกว่านะ!”
ฉินเฉิงพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังว่า: “ฉันไม่ได้สนใจอะไรกับกระบี่หยกโลหิตของนายหรอกนะ”
เสวี่ยเทียนจงพูดขึ้นมาเบาๆว่า: “นายจะรอก็รอไป ฉันไม่รอแล้ว”
หลังจากพูดจบ เค้าก็ก้าวเดินออกไป
ทันใดนั้นเอง ที่ไม่ไกลออกไปก็มีเงาของคนสามคนที่ปรากฎขึ้นมา!
ทันทีที่สามคนนี้ปรากฏตัว ทหารที่รับผิดชอบในที่เกิดเหตุก็เริ่มระวังตัวแล้วรีบยกปืนขึ้นมาและเล็งไปที่พวกเค้า
อย่างไรก็ตาม ด้วยคลื่นแสงจากมือของชายทั้งสามคน ทหารจำนวนมากเหล่านั้นก็ล้มลงไปกับพื้นในทันที
“กลั้นหายใจ” ฉินเฉิงรีบพูดขึ้นมา “ไม่รู้เลยว่าพวกเค้าใช่ยาพิษอะไร อย่าหายใจเข้าไป”
ทั้งสามก้าวเข้ามาอย่างรวดเร็ว พวกเค้าเดินตรงเข้าไปที่เต่าวิญญาณในทันที
“เห้อ” ฉินเฉิงถอนหายใจยาวแล้วพูดว่า: “โอเค ตอนนี้ออกไปได้แล้ว”
เสวี่ยเทียนจงก็พูดขึ้นมาอย่างกระอักกระอ่วมว่า: “เมื่อกี้นายรอพวกเค้าอย่างงั้นเหรอ?”,
“ไม่ใช่” ฉินเฉิงส่ายหัว “ฉันเกรงว่านักวิจัยเหล่านั้นจะกลับมา คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเค้าจะบังเอิญโผล่มา”
“การมีพวกเค้ามาหนุนหลัง พวกเราก็จะปลอดภัย” เซี่ยงเหม่ยเอ๋อหัวเราะเบาๆแล้วพูดขึ้นมา
“ไม่เลวเลย” ฉินเฉิงพยักหน้า
ด้วยความแข็งแกร่งในตอนนี้ของฉินเฉิง มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเผชิญหน้ากับกองกำลังทหารสมัยใหม่
ดังนั้น ฉินเฉิงเองก็ต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง
คนทั้งสามยืนอยู่หน้าเต่าวิญญาณ ในฝ่ามือของพวกเค้าก็มีแสงสีดำจางๆ
แสงนี้มันบริสุทธิ์มาก ภายในระยะเวลาอันสั้น มันก็ครอบคลุมเต่าวิญญาณทั้งหมด!
“ท่าไม่ดีแล้ว” เมื่อเห็นแบบนี้ สีหน้าของฉินเฉิงก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“พวกเค้ากำลังใช้กระดองชุบชีวิต!” ฉินเฉิงพูดขึ้นมาด้วยความตกใจ
ในมรดกที่ได้รับมา ฉินเฉิงเคยเห็นวิธีการแบบนี้มาก่อน
บางสำนักจะช่วยวิญญาณที่ตายแล้ว จากนั้นก็จะหาร่างใหม่เพื่อให้การคืนชีพ
อย่างไรก็ตาม วิธีนี้มันได้สูญหายไปนานแล้วและแน่นอนว่าสำนักทั่วไปไม่สามารถทำมันได้
“ถ้าพวกเค้าใช้กระดองชุบชีวิตได้แล้ว พวกเราจะไม่มีทางเอาเต่าวิญญาณนี้มาได้เลย” สีหน้าของฉินเฉิงเย็นชาลง เค้าก้าวเดินออกมาอยู่ตรงหน้าชายทั้งสาม
ชายทั้งสามตกใจ การเคลื่อนไหวที่มือของพวกเค้าก็หยุดลงโดยไม่รู้ตัว
“แกเป็นใครกัน” หนึ่งในนั้นก็ถามขึ้นมาอย่างเย็นชา
ฉินเฉิงพูดขึ้นมาด้วยความประหลาดใจเล็กน้อยว่า: “คนของเหยี่ยเซี่ย? พวกแกมาจากสำนักไหนกัน?”
“มันเกี่ยวอะไรกับแกด้วย หลบไปซะ!” พวกเค้าตะโกนขึ้นมาอย่างเย็นชา
ฉินเฉิงเยาะเย้ยแล้วพูดว่า: “ใช้กระดองชุบชีวิต สำนักของพวกแกก็น่าจะอยู่มาเป็นร้อยปีแล้วสินะ?”
เมื่อพวกเค้าได้ยินแบบนี้แล้ว สีหน้าของพวกเค้าก็เปลี่ยนไปในทันที
“แกรู้เรื่องการใช้กระดองชุบชีวิตได้ยังไงกัน แกเป็นใครกัน!” ชายผมยาวที่เป็นหัวหน้าก็ถามขึ้นมาอย่างเย็นชา
“ไม่ว่ามันจะเป็นใครก็ตาม คนที่รู้แผนการของเรามันสมควรตาย! ฆ่ามันซะ!” อีกคนหนึ่งก็ตะโกนขึ้นมา
ทันทีที่เสียงหายไป ทั้งสามคนก็จ้องมองไปที่ฉินเฉิงพร้อมกัน
พวกเค้ารวมพลังแล้วตะโกนเสียงดังขึ้นมา จากนั้นสัตว์ร้ายตัวใหญ่มันก็ปรากฎขึ้นมาต่อหน้าพวกเค้าในทันที!
“เอ๊ะ?” ฉินเฉิงก็ต้องตกใจขึ้นมาอีกครั้ง “พวกแกรู้พลังเวทย์ด้วย? มันน่าประหลาดใจซะจริงๆ”
“ฆ่ามันซะ!” ชายผมยาวพูดขึ้นมาอย่างเย็นชา
สัตว์ร้ายตัวใหญ่ก็ยกกรงเล็บขนาดใหญ่ขึ้นมา มันตบจากอากาศที่ว่างเปล่าเข้าไปหาฉินเฉิงอย่างดุเดือด!
ฉินเฉิงสูดลมหายใจเข้าอย่างเย็นชา เค้าไม่ได้หลบ แต่ถือแสงสีทองไว้ในมือแล้วชกกลับไปด้วยหมัด!
“พัฟ!”
ฝ่ามือของสัตว์ร้ายนั้นถูกโจมตีโดยตรงด้วยหมัดของฉินเฉิง เศษเนื้อเลือดของมันก็กระจายไปทั่ว!
อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้เอง เนื้อและเลือดเหล่านั้นก็รวมตัวกันอีกครั้ง มันซ่อมแซมตัวเองแล้วกลับมาเป็นอุ้งมือขนาดใหญ่เหมือนเดิม!
“หือ? นี่มันเทคนิคอะไรกัน?” ฉินเฉิงแปลกใจมากขึ้นเรื่อยๆ เทคนิคที่คนสามคนนี้ใช้มันเป็นวิชาที่สูญหายไปเป็นพันปีแล้ว!
“มันซ่อมแซมตัวเองได้… ไม่รู้เลยว่าถ้าตัดหัวของมันออกแล้ว มันจะงอกออกมาใหม่ได้ไหม” แววตาของฉินเฉิงเผยให้เห็นจิตวิญญาณของเค้าแล้วร่างของเค้าก็ลุกเป็นไฟขึ้นมา!
หมัดทองคำถูกควบแน่นกลางอากาศ! หมัดนี้ยิ่งใหญ่และทรงพลังเป็นอย่างมาก!
ด้วยหมัดนี้ ฉินเฉิงก็ชกเข้าไปที่หัวของสัตว์ร้ายตัวใหญ่โดยตรง!
ด้วยเสียง “ตุบ” คอของสัตว์ร้ายตัวใหญ่ก็ขาดออก!
หลังจากนั้น ฉินเฉิงก็จุดเพลิงแห่งจิตวิญญาณแล้วสะบัดนิ้วออก เลือดเนื้อที่อยู่บนพื้นก็ถูกเพลิงแห่งจิตวิญญาณกลืนกินในทันที!
“นักเล่นแร่แปรธาตุ?” เมื่อเห็นแห่งจิตวิญญาณ ทั้งสามก็ขมวดคิ้วขึ้นมา
“เด็กคนนี้มันไม่ง่ายเลย เก็บมันไว้ไม่ได้แล้ว” ชายผมยาวพูดขึ้นมาอย่างเย็นชา
“ฉินเฉิง อย่ามัวเสียเวลาอยู่เลย ใช่กระบี่หยกโลหิตสังหารพวกมันซะ” ในตอนนี้เอง เสวี่ยเทียนจงที่อยู่ไม่ไกลออกไปก็ตะโกนขึ้นมา