ภรรยาหน้าหวานของพี่ใหญ่ - บทที่ 301 ลี่เย่ถิงไม่สามารถเทียบกับพี่คิงได้
หยวนชิงหลิง ย่อมไม่รู้ว่าในใจเขามีแผนการอันใด ขอเพียงแค่เขามิคิดทำเรื่องผิดศีลธรรมอันใดเป็นพอ หากว่ากันตามจริง หากเขาแต่งฉู่หมิงหยางเข้ามานั้น ก็มิได้เป็นอันตรายต่อเขาเลยแม้แต่น้อย ทว่า เขามิต้องการทำร้ายชีวิตของฉู่หมิงหยาง เมื่อเป็นเช่นนั้น เขาจึงได้ยอมเสียผลประโยชน์ตนเองไปเช่นนี้ นางก็มิถือว่าเขาเป็นบุรุษที่เลวร้ายที่ใช้ความรุนแรงในครอบครัวแต่อย่างใด
“คืนดีกันเถอะ ?” อวี่เหวินฮ่าวมองนางพร้อมถามคำถามขึ้นมา
น้ำเสียงของเขาที่เปล่งออกมานั้น มิได้แสดงอำนาจแต่อย่างใด. หยวนชิงหลิงจึงจ้องมองไปในดวงตาของเขา เมื่อเห็นแต่แววตาที่สื่อมามีแต่ความจริงใจนั้น
นางในตอนนี้ ล้วนแต่มีศัตรูทั่วทุกสารทิศ จึงมิจำเป็นต่อสู้ภายในกับอวี่เหวินฮ่าวอีกต่อไป นางพยายามพยุงหัวของตนเองขึ้นมา เพื่อที่จะได้มองหน้าเขาได้อย่างชัดเจน พร้อมเอ่ยด้วยวาจาจริงจังออกมาว่า “คืนดีกันก็ได้เพคะ. หากแต่หม่อมฉันมีข้อแม้”
“พูด !” อวี่เหวินฮ่าวกล่าวออกมาอย่างง่ายดาย
“เรื่องที่หนึ่ง. ยังเป็นคำพูดเดิมเพคะ ห้ามทำร้ายหม่อมฉัน”
“ได้! ”
“เรื่องที่สอง หากว่าการแต่งงานจักต้องต้องถูกหยิบยกขึ้นมาพูดอีกครั้ง ห้ามนำหม่อมฉันไปเป็นโล่กันเกาทัณฑ์ที่ท่านไม่ยอมแต่งพระชายารองเข้ามาเป็นอันขาด”
อวี่เหวินฮ่าวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งพร้อมกล่าวออกมาว่า “ได้!”
“เรื่องที่สาม. อย่าได้เข้ามาจำกัดอิสรภาพของหม่อมฉันมากจนเกินไป”
“ย่อมได้อยู่แล้ว” เขามิเคยคิดที่จะจำกัดอิสรภาพของนางตั้งแต่แรก แต่แรกเขาก็มิคิดจะเข้ามาพูดคุยกับนางเสียด้วยซ้ำ
“เรื่องที่สี่ หากมีโอกาสที่ดีแล้ว ขอให้ท่านช่วยหย่ากับหม่อมฉันด้วยเถอะเพคะ พวกเราจักได้มีความสุขกันทั้งสองฝ่ายเสียที”
อวี่เหวินฮ่าวค่อยๆพยักหน้าลงเล็กน้อย “เจ้าวางใจเถอะ นั่นเป็นสิ่งที่เปิ่นหวางก็คิดเห็นเช่นกัน”
“เรื่องที่ห้า”
อวี่เหวินฮ่าวพลางขมวดคิ้วลงเล็กน้อย “เจ้ายังกล่าวไม่หมดอีกหรือ? เช่นนั้น ไม่ต้องคืนดีกันแล้ว”
“สุดท้ายแล้วเพคะ ” หยวนชิงหลิงรีบร้อนพูดขึ้นมาทันที “เรื่องกล่องยาของหม่อมฉัน. ท่านไม่สามารถนำไปป่าวประกาศหรือพูดคุยกับผู้ใดได้”
อวี่เหวินฮ่าวเหลือบมองหยวนชิงหลิงเพียงเล็กน้อย “หากเปิ่นหวางเก็บเป็นความลับแล้ว ย่อมหมายถึงเปิ่นหวางต้องเสี่ยงอันตรายเพื่อเจ้า หากเป็นเช่นนั้น เจ้าจักต้องบอกเปิ่นหวางถึงความเป็นมาของกล่องยาอันนี้และเล่าถึงการใช้งานของมัน ว่าเหตุใดมันถึงสามารถเปลี่ยนเป็นกล่องเล็กกล่องใหญ่ได้เช่นนี้ ”
หยวนชิงหลิงเพิ่งแต่เรื่องเสร็จไปเมื่อครู่ เมื่อได้ยินเขาพูดขึ้นมาเช่นนี้ จึงกล่าวว่า “เรื่องกล่องยากล่องนี้ หม่อมฉันก็ยังไม่ค่อยเข้าใจมันมากนักเพคะ. ท่านยังจำเรื่องราวของหั่วเกอที่ข้าถูกท่านโบยได้หรือไม่? ครั้งนั้นหม่อมฉันได้สลบไปแล้วเพคะ หากแต่ หม่อมฉันกลับฝันเรื่องหนึ่งขึ้นมา. ภายในฝันมีคนผู้หนึ่งนามว่าหมอผี เขาได้สอนทักษะการแพทย์ทั้งหลายให้กับหม่อมฉันเพคะ ในยามนั่นหม่อมฉันคิดว่า มันเป็นเพียงแค่เรื่องหลอกลวงเท่านั้น ทว่า หลังจากที่หม่อมฉันฟื้นขึ้นมา ก็ปรากฏกล่องยากล่องนี้ที่ข้างกายของหม่อมฉันแล้วเพคะ เมื่อหม่อมฉันยื่นมือออกไปนั้น. กล่องยาก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นเล็กลง จนถึงตอนนี้ หม่อมฉันยังรู้สึกว่ามันเป็นเพียงแค่เรื่องในฝันเท่านั้น”
ในสมัยโบราณนั้น ยังมีเรื่องเล่าที่นางเคยได้ยินเขาร่ำลือกันว่า ทั่วราชอาณาจักรมีเรื่องราวของหมอเทวดาผู้หนึ่ง ที่ร่ำลือถึงกันว่าเป็นหมอผี. มิใช่คนของเป่ยถาง ได้ยินมาว่า เขาได้เสียชีวิตไปเมื่อนานแล้ว หากแต่ เรื่องราวของหมอผีผู้นี้ถูกนำไปเล่าขานถึงห้าแคว้น. แน่นอนว่า เมื่ออวี่หวินฮ่าวได้ยินนางเอ่ยขึ้นมาเช่นนี้ เขาย่อมเชื่อนางอยู่บ้าง. เนื่องจากว่าเรื่องราวของหมอผีนั้น เป็นเรื่องที่เขาเคยได้ยินมา อีกทั้งยังรู้มาว่า หมอผีผู้นั้น เชี่ยวชาญเรื่องฝีเข็ม อีกทั้งยังเป็นเข็มที่ไม่มีลักษณะเหมือนผู้ใด บางที อาจจะเป็นเหมือนเช่นสิ่งของที่อยู่ในกล่องยาของหยวนชิงหลิงก็เป็นได้ เขาจึงเชื่อใจว่า สิ่งที่หยวนชิงหลิงกล่าวออกมาย่อมต้องเป็นเรื่องจริง. เนื่องจาก เขาเคยสืบเรื่องราวของหยวนชิงหลิงมาก่อน จึงรู้ว่าแต่เดิมนั้นหยวนชิงหลิงมิรู้จักทักษะทางการแพทย์ อีกทั้งไม่กี่วันมานี้ นางก็มิได้ออกนอกวังไปที่ใด นางเริ่มค่อยเๆปลี่ยนไปหลังจากเรื่องราวของหั่วเกอ รวมไปถึงคำโกหกที่รื่นไหลต่างๆ ที่นางสามารถพูดออกมาได้ แม้ว่าเรื่องหมอผีนั้น เมื่อได้ฟังทีแรก คงจะคิดว่ามันเป็นเรื่องเล่าที่ไร้สาระ. ไม่มีทางที่จะมีผู้ใดเชื่อถือได้. หยวนชิงหลิงมิจำเป็นต้องแต่งเรื่องขึ้น เมื่อคิดดูแล้ว. อย่างไรเรื่องนี้ต้องเป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอน
เขากล่าวออกมาว่า “ภายในกล่องยามีแต่ความว่างเปล่า. เจ้าใช้ยาที่อยู่ด้านในหมดไปแล้วหรือ ?”
หยวนชิงหลิงงุนงงไปเล็กน้อย “ว่างเปล่า ?”
หยวนชิงหลิงจึงรีบนำกล่องยาเปิดออกมา. หากแต่ด้านในก็ยังเต็มไปด้วยยาหลากหลายชนิดที่อัดแน่นอยู่ภายในกล่อง “มิใช่เพคะ”
อวี่เหวินฮ่าวเบิกตาทั้งสองกว้างขึ้น. เมื่อครู่เขาเห็นด้วยตาของตนเองว่า. ด้านในกล่องยาว่างเปล่าเพียงใด. ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาจึงเงยหน้ามองหยวนชิงหลิงด้วยสีหน้าที่ประหลาดใจว่า “หยวนชิงหลิง เจ้าเป็นผีหรือ ?”
หยวนชิงหลิงได้ทำการทดสอบกล่องยาของตน ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา กล่องยานั้นจักทำตามความคิดของนางหรือเปลี่ยนไปตามสิ่งที่ ใจนางคิดอยากได้ หรืออีกอย่างหนึ่งก็คือ กล่องยากล่องนี้ผูกกับจิตใจของหยวนชิงหลิง
ยามที่นางตายไปในภพปัจจุบันนั้น. เป็นเพราะนางฉีดยาที่ใช้เพื่อการพัฒนาสมองที่ตนเองกำลังวิจัยอยู่เข้าไปในร่างกายของตนเอง เมื่อครั้งที่ยาตัวนี้ถูกพัฒนาขึ้นมาครั้งแรกนั้น ได้ถูกนำไปฉีดทดลองกับลิง ผลลัพธ์ปรากฏออกมาว่า ลิงตัวนั้นสามารถเข้าใจภาษามนุษย์ได้ เมื่อกำลังพัฒนาไปได้อีกขั้นหนึ่ง เป็นเพราะเจ้าลิงตัวนั้นแอบขโมยไวน์ที่ท่านประธานนำมาให้กับนางจนหมด. จึงได้เมาโซซัดโซเซวิ่งออกมาด้านนอกจนถูกรถชนตายในทันที นางกล้าสรุปผลการทดลองได้ทันทีเลยว่า สมองของนางได้ถูกพัฒนาไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว ทว่า. พัฒนาจนถึงขั้นวิญญาณทะลุมิติมาอีกมิตินึงได้นั้นเป็นเพราะเหตุผลอันใด. นางยังคงต้องศึกษาต่อไป. หากแต่ สถานการณ์ในยามนี้ ช่างซับซ้อนเป็นอย่างมาก เกี่ยวพันธ์ถึงความเป็นความตายของนางเลยทีเดียว. เหตุการณ์ที่พบเจอกับกล่องยานั้น ทำให้วาทะกรรมของคนทั้งสองหยุดชะงักไปในทันที ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ฉู่อ๋องกลับทำตัวกลมกลืน ราวกลับมิเคยพบเจอเรื่องเช่นนี้มาก่อนอีกเลย อีกทั้ง ค่ำคืนนี้ยังเป็นการทานอาหารด้วยกันครั้งแรกของสามีภรรยาคู่นี้อีกด้วย
แม้ว่าฝั่งจวนฉู่อ๋องจะเต็มไปด้วยความรู้สึกอบอุ่นมากมาย. หากแต่ทางด้านจวนตระกูลฉู่นั้นกลับเต็มไปด้วยสถานการณ์ที่ร้อนระอุ
วันนี้เป็นวันที่ พระชายาฉีอ๋องกลับไปเยี่ยมบ้านเก่าของนาง เนื่องจากว่าฉีอ๋องติดธุระบางอย่าง จึง
ทำให้ไม่สามารถเดินทางมาด้วยกันได้ ฉู่โสวฝู่กลับมาถึงบ้านก่อนหน้านั้นแล้ว จึงได้สั่งให้คนไปเชิญพระชายาฉีอ๋องที่กำลังพูดคุยกับท่านยายของนางมายังห้องตำราโดยเร็ว. ฉู่หมิงฉุ่ยเมื่อเข้ามายังห้องตำราได้ไม่นาน พลันได้ยินน้ำเสียงที่จริงจังของฉู่โสวฝู่ถามคำถามขึ้นมา “การวางยาของไท่ซั่งหวงนั้น เรื่องเป็นเช่นไรกันแน่ ?”
ฉู่หมิงฉุ่ยชะงักไปครู่หนึ่ง “ท่านตาเจ้าคะ เรื่องนี้หลานจักรู้ได้อย่างไรกัน?”
“เจ้าไม่รู้งั้นหรือ ?”ฉู่โสวฝู่จ้องมองนางด้วยสายที่เฉียบคม
ฉู่หมิงฉุ่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เป็นจี้อ๋องหรือเพคะ ?”
“จี้อ๋องมิใช่คนโง่. เขาจักกล้าลอบโจมตีไท่ซั่งหวงในช่วงหน้าสิวหน้าขวานเช่นนี้หรือ ?” ฉู่โสวฝู่จ้องมองไปที่ฉู่หมิงฉุ่ย “เจ้าได้ไปทำอะไรลับหลังข้าไว้ใช่หรือไม่ ?”
ฉู่หมิงฉุ่ยพลันรีบส่ายหน้าเป็นพันวัน “หลานทำทุกอย่าง ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ท่านตาออกคำสั่งออกมาทั้งนั้น. หลานมิได้มีอันใดปิดบังท่านเลยแม้แต่น้อยนะเจ้าคะ”
น้ำเสียงที่เย็นชาของฉู่โสวฝู่กล่าวขึ้นมาว่า “ถ้าเช่นนั้น เรื่องของซีมามาเป็นเช่นไรกัน ? เหตุใดนางต้องฟังคำสั่งของเจ้า เพื่อส่งไข่มุขน้ำจืดของพระชายาฉู่อ๋องไปให้ฮองเฮาด้วยกัน?”
เนื่องจากฉู่หมิงฉุ่ยได้ถูกฮองเฮาเรียกไปดุด่าแล้ว จึงคิดว่าคงเป็นฮองเฮาที่บอกเล่าให้ฉู่โสวฝู่ฟัง ดังนั้น นางจึงเตรียมข้อแก้ตัวไว้ แล้วจึงกล่าวออกมาว่า “เป็นหลานที่ประมาทพลาดพลั้งไปเองเพคะ แต่เดิมเพียงแค่อยากจัดฉากให้พระสนมเซียนเฟยและพระชายาฉู่อ๋องขัดแย้งกันเล็กน้อย มิคาดคิดว่าจะเป็นการส่งท่านป้าไปหาจักรพรรดิได้”
“ข้ากำลังถามเจ้าอยู่ ว่าเหตุใดเจ้าถึงไปแตะต้องซีมามาได้ ? ” ฉู่โสวฝู่จ้องมองไปที่ฉู่หมิงฉุ่ย ด้วยใบหน้าที่แข็งตึง
ฉู่หมิงฉุ่ยพลันรับรู้ถึงแววตาที่ฟาดฟันจ้องลงมาได้ ภายในใจรู้สึกหวาดกลัวยิ่งนัก หากแต่ ก็ยังตอบคำถามได้อย่างรื่นไหลว่า “เมื่ออยู่ในพระราชวังนั้น ซีมามาคอยดูแลหลานเป็นอย่างดีเพคะ แผนที่หลานวางในครั้งนี้ ก็เป็นซีมามาที่เสนอตัวเป็นคนทำเองเช่นกัน หากแต่. ท่านตาวางใจได้เพคะ จักรพรรดิมิได้คาดโทษอันใด ท่านป้าก็แก้ตัวให้หลานไปว่า ต้องการให้พระชายาฉู่อ๋องมีความสัมพันธ์ที่ดีกับฮองเฮาเพียงเท่านั้น”
“เมื่อวานข้าได้เข้าในวังมา จักรพรรดิตำหนิข้า ให้กลับมาดูแลสั่งสอนเจ้าให้ดี เจ้าคิดว่าท่านป้าของเจ้ามาเล่าเรื่องนี้ให้ข้าฟังหรืออย่างไรกัน ?”ฉู่โสวฝู่กล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยเมย
ภายในใจของฉู่หมิงฉุ่ยเต็มไปด้วยความตกใจ “จักรพรรดิทรงพิโรธอย่างนั้นหรือเจ้าคะ ?”
“ซีมามา มิได้คอยดูแลเจ้าเป็นอย่างดีแน่. ย่อมต้องเป็นเจ้าที่ข่มขู่นาง ใช่หรือไม่ ?”
ฉู่หมิงฉุยพลันส่ายหัวไปมา “มิใช่จริงๆเพคะท่านตา. หลานจักไปกล้าข่มขู่คนในตำหนักเฉียนคุนได้อย่างไรกันเจ้าคะ ? แม้ว่าหลานจักประมาทไปบ้าง หากแต่มิกล้าทำผิดเช่นนี้อีกแล้วเพคะ”
ฉู่โสวฝู่ส่งยิ้มอย่างเย็นชาออกมาพร้อมกล่าวว่า “เจ้ามิได้ประมาท เจ้ารู้ถึงความสัมพันธ์ของข้าและซีมามา และเจ้ายังรู้อีกว่า นางยอมช่วยเจ้าในแผนการครั้งนี้แน่ อีกทั้งเรื่องราวการวางยาในตำหนักเฉียนคุน ก็เป็นเจ้าที่สั่งให้นางทำ”
สีหน้าของฉู่หมิงฉุ่ยพลันเปลี่ยนสี “มิใช่เพคะ. จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ? หลานจักทำเช่นนั้นไปเพื่ออันใดกันละเจ้าคะ?”
ฉู่โสวฝู่จ้องไปที่ฉู่หมิงฉุ่ย พลางกล่าวว่า “เจ้าควรสำนึกไว้ ว่าตำแหน่งพระชายาฉีอ๋องนั้น ข้าพาเจ้าขึ้นไปได้ ก็สามารถลากเจ้าลงมาได้เช่นกัน เจ้าอย่าได้มาท้าทายความอดทนของข้า”
ฉู่หมิงฉุ่ย พลางเอ่ยขึ้นมาด้วยความใจเย็นว่า “ท่านตาเจ้าคะ. ท่านฟังหลานก่อน”
“พูด !” เสียงตะคอกของฉู่โสวฟู่เต็มไปด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธ จนทำให้ฉู่หมิงฉุ่ยตกใจจนต้องคุกเข่าลงกับพื้นเลยทีเดียว