ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน - บทที่ 129 ถูกทอดทิ้งเสียแล้ว + บทที่ 130 ไร้ความปรานี
- Home
- ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน
- บทที่ 129 ถูกทอดทิ้งเสียแล้ว + บทที่ 130 ไร้ความปรานี
บทที่ 129 ถูกทอดทิ้งเสียแล้ว + บทที่ 130 ไร้ความปรานี
Ink Stone_Romance
บทที่ 129 ถูกทอดทิ้งเสียแล้ว
เฉียวเทียนช่างส่ายศีรษะเบาๆ แล้วเดินไปข้างนาง เขาจับมือและรั้งตัวนางเข้ามาก่อนเดินนำนางเข้าไปในห้อง
เมื่อใช้สายตาก้มลงมองยังมือที่กำลังกอบกุมมือของตนอยู่ ใบหน้าอันงดงามของหนิงเมิ่งเหยาก็ยู่ลง ความสัมพันธ์ของพวกเขาพัฒนาไปมากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใด? ยิ่งกว่านั้น เหตุใดเขาจึงจับมือของนางกันล่ะ? นางยังไม่ทันได้อนุญาตเลยมิใช่หรือ?
ถึงจะช้าไปสักหน่อย แต่จู่ ๆ หนิงเมิ่งเหยาก็เพิ่งตระหนักได้ว่าก่อนหน้านี้ก็เคยมีการกระทำเช่นนี้เกิดขึ้นมาแล้วสองถึงสามครั้ง
หนิงเมิ่งเหยาก้มหน้า ชายผู้นี้ช่างควรค่าแก่การประเคนหมัดให้สักหมัดในโทษฐานมายุ่มย่ามกับหัวใจของนางเช่นนี้ การกระทำเช่นนี้ช่างชวนให้รู้สึกหงุดหงิดนัก
“ปล่อยข้า”
“ทำไมเล่า?” เฉียวเทียนช่างมองหนิงเมิ่งเหยาด้วยสีหน้าไร้เดียงสา ท่าทีเช่นนี้นั้นช่างแตกต่างลิบลับกับทีท่าอันเย็นชา และไม่แยแสที่เขามักจะมีให้กับผู้อื่น
หนิงเมิ่งเหยาหายใจเข้าลึกๆ รู้สึกมีน้ำโหขึ้นมาเล็กน้อย “ทำไมน่ะหรือ? ชายกับหญิงไม่ควรใกล้กันมากเกินไป เจ้าไม่รู้หรืออย่างไร?”
เฉียวเทียนช่างทำหน้าไร้เดียงสายิ่งกว่าเดิม “แต่เมื่อครู่เจ้าก็ไม่ได้ขัดขืนอะไรข้าเลยนี่”
หนิงเมิ่งเหยาแทบจะกระอักเลือด เขากำลังพยายามสื่อถึงอะไรอยู่? แล้วที่บอกว่านางไม่ได้ขัดขืนนี่หมายถึงอะไรกัน? นางก็แค่ไม่ทันได้ตอบโต้ต่างหากล่ะ ถูกไหม? หากนางตั้งสติได้ มีหรือที่ชายผู้นี้จะสามารถทำอย่างที่ใจตนต้องการได้? เขาไม่กลัวว่านางจะทิ้งขว้างเขาไปในเดี๋ยวนั้นเลยหรือ?
“เอาล่ะ อย่างไรเสียมันก็จะต้องเกิดขึ้นจนได้นั่นแหละ อย่าใส่ใจมากนักเลย” เมื่อเฉียวเทียนช่างเห็นหนิงเมิ่งเหยายืนนิ่งไม่ไหวติง ความขบขันก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา เขาเดินอ้อมไปยืนด้านหลังก่อนยกมือขึ้นผลักไหล่นางให้เดินเข้าไปข้างใน
หนิงเมิ่งเหยากัดฟันกรอด ชายผู้นี้คงมั่นใจอย่างล้นเหลือว่านางจะไม่กล้าทำอะไรเขาอย่างนั้นสินะ? แต่นี่มันเกินไปแล้ว… จริงๆ
หนิงเมิ่งเหยาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ฝ่ายเดียว ในขณะที่ทางเฉียวเทียนช่างนั้นดูมีความสุขอย่างออกนอกหน้า
ใช่แล้ว นี่เป็นสิ่งที่เขาต้องการ เขาอยากให้นางค่อยๆ คุ้นชินกับการกระทำเหล่านี้ เริ่มตั้งแต่เสียงหายใจ ไปจนถึงทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่อดูจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ เขาคิดว่าตัวเองก็ทำได้ดีพอสมควร อย่างน้อยเมื่อเขาสัมผัสตัวนาง นางก็ไม่ได้ขัดขืนหรือคัดค้านอะไร แค่นี้ก็เพียงพอสำหรับเขาในตอนนี้แล้ว
ท่านยายฉินเห็นท่าทางงุ่มง่ามของหนิงเมิ่งเหยาแล้วก็อดที่จะหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ คุณหนูของพวกนางนั้นจำเป็นต้องได้พบกับชายที่แข็งแกร่งเฉกเช่นเขานี่แหละจึงจะสามารถดึงด้านอันสมหญิงของนางออกมาได้
ท่านยายฉินนั้นรู้สึกพอใจกับเฉียวเทียนช่างเอามากๆ และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้นางจับตามองท่าทางในบางครั้งของเฉียวเทียนช่างตอนที่เขากำลังกินเต้าหู้ของหนิงเมิ่งเหยาอยู่
”วันนี้นายท่านจะอยู่กินข้าวด้วยกันหรือไม่เจ้าคะ?” ถึงแม้ว่าเฉียวเทียนช่างจะกลับไป ที่บ้านหลังนั้นก็มีเพียงแค่เขาอยู่คนเดียวแต่ถ้าอยู่ที่นี่ด้วยกัน ยังมีผู้คนมากมาย มีชีวิตชีวามากกว่า
เฉียวเทียนช่างตอบรับข้อเสนอนั้นอย่างไม่ลังเล ทำให้หนิงเมิ่งเหยาพูดตอบขึ้นมาด้วยอาการงอนๆ ว่า “ข้าเข้าใจละว่าตอนนี้เขาเป็นนายท่านที่แท้จริงของพวกเจ้าไปแล้ว ส่วนตัวข้าก็เป็นเพียงคนน่าสงสารที่ไม่มีใครต้องการ”
ชิงเสวี่ยมองหนิงเมิ่งเหยาซึ่งกำลังแสดงสีหน้าเศร้าสร้อยอยู่ ก่อนจะขำออกมา “คุณหนู พวกเราไม่กล้าทำเช่นนั้นกับคุณหนูหรอกเจ้าค่ะ ถ้าเกิดนายท่านลงไม้ลงมือกับพวกเราเพราะเรื่องที่เราจะทิ้งคุณหนูขึ้นมาล่ะเจ้าคะ? พวกเราคงทนไม่ได้หรอกเจ้าค่ะถ้าจะเห็นนายท่านไม่มีความสุขเช่นนั้น จริงหรือไม่เจ้าคะ?”
ถ้าหากว่ามีเพียงแค่ชิงเสวี่ยคนเดียวก็คงไม่เป็นไร แต่คนอื่นก็ยังมาร่วมผสมโรงด้วย
ชิงซวงและชิงจู๋พยักหน้ารัวเร็ว แม้กระทั่งชิงเซวียนผู้ซึ่งปกติจะเย็นชาเป็นน้ำแข็งก็ยังร่วมหัวเราะกับพวกเขาด้วย
“เจ้า… พวกเจ้า…” หนิงเมิ่งเหยาชี้นิ้วอันสั่นเทาของตนใส่พวกเขาอย่างโกรธเคือง เจ้าพวกนี้มันสมควรต้องโดนตีนัก ถึงขนาดกล้าผลักไสนางให้คนอื่น แถมยังทำเหมือนว่านั่นมันเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอยู่แล้วเช่นนี้อีก
แต่นางก็ไม่สามารถทำอะไรพวกเขาได้ จึงทำได้เพียงแค่จ้องเขม็งไปยังคนที่ยืนอยู่ข้างตนแทน “ทั้งหมดเป็นความผิดเจ้า”
“ใช่ ถูกต้องแล้ว ทั้งหมดเป็นความผิดข้าเอง อย่าโกรธไปเลย นะ?” เฉียวเทียนช่างมองหนิงเมิ่งเหยาด้วยสายตาเอาอกเอาใจ
สายตาแบบนั้นทำเอาหนิงเมิ่งเหยารู้สึกเขินอายจนเผลอยกมือขึ้นมาลูบจมูกโดยไม่รู้ตัว หลังจากนั้นนางก็หนีขึ้นไปยังชั้นบน
“คุณหนูเขินน่ะเจ้าค่ะ” ท่านยายฉินหัวเราะร่า
เมื่อนางได้ยินคำว่า ‘เขิน’ หนิงเมิ่งเหยาก็เกือบเหยียบบันไดพลาด พวกเขาไม่ต้องพูดขึ้นมาตอนนี้ก็ได้ไหม?
แต่เฉียวเทียนช่างนั้นรู้สึกว่านางยังเขินไม่พอ ก็เลยเสริมขึ้นมาอีกว่า “หากพวกเรารู้ดีอยู่แก่ใจแล้วก็ไม่เป็นไรหรอก อย่าพูดออกมาเสียงดังเลย เดี๋ยวนางจะยิ่งเขินไปกันใหญ่”
หนิงเมิ่งเหยาสะดุด เกือบจะตกบันไดจริงๆ นางหันไปจ้องเฉียวเทียนช่างเขม็ง เมื่อเห็นเขาส่งสายตาขี้เล่นกลับมาให้ หนิงเมิ่งเหยาก็ยิ่งโมโห ชายผู้นี้คงไม่มีความสุขหากไม่ได้ทำให้นางกลายเป็นตัวตลกล่ะสิ นางเข้าใจถูกไหม?
“เหยาเหยา ระวังหน่อย เดี๋ยวก็ตกลงมาหรอก” เมื่ออยู่ต่อหน้าสายตาของหนิงเมิ่งเหยา เฉียวเทียนช่างนั้นรู้สึกผ่อนคลาย คงจะดียิ่งนักหากได้เห็นสีหน้าอันหลากหลายของนางมากกว่านี้
หนิงเมิ่งเหยารู้สึกราวกับว่านางกำลังวัดความหนาของผิวหน้าตัวเองกับเฉียวเทียนช่างอยู่ เมื่อนางตระหนักได้ว่าตนไม่สามารถจะเทียบกับเขาได้เลย นางจึงเลือกที่จะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไปเสียดีกว่า
บทที่ 130 ไร้ความปรานี
ในขณะที่เฉียวเทียนช่างมองหนิงเมิ่งเหยาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม อีกคนก็หนีขึ้นไปอย่างรวดเร็ว พลันสายตาพะเน้าพะนอในดวงตาของเขาก็เลือนหายไป ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยความเย็นเยียบประดุจน้ำแข็ง เขาหันหน้าไปหาชิงเซวียน “สถานการณ์ทางหยางซิ่วเอ๋อร์เป็นเช่นไร?”
ชิงเซวียนเงียบเสียงลงครู่หนึ่งก่อนจะเปิดปากขึ้นว่า “หยางซิ่วเอ๋อร์เดินทางไปพบข้ารับใช้อีกครั้งแล้วขอรับ แต่ทางข้ารับใช้นั้นก็ไม่ได้แสดงท่าทีว่าจะให้ความสนใจกับนางนัก ดูเหมือนว่านางจะยอมแพ้ในตัวหยางซิ่วเอ๋อร์แล้ว”
ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา หนิงเมิ่งเหยาเล่าสิ่งที่นางกำลังทำอยู่ให้เฉียวเทียนช่างฟัง ชิงเซวียนและทุกคนต่างก็ยอมรับเขา ดังนั้นเมื่อเฉียวเทียนช่างเอ่ยปากถาม เขาจึงตอบคำถามไป
เฉียวเทียนช่างส่งเสียง ‘อืม’ แล้วก็มองหน้าเขา “ถ้าข้าให้คนสืบเรื่องหยางซิ่วเอ๋อร์ เจ้าพอจะมีวิธีทำให้หยางซิ่วเอ๋อร์กล่าวถึงข้ารับใช้ผู้นั้นแล้วเอาป้ายหยกมาจากนางได้หรือไม่?”
“มีขอรับ” ชิงเซวียนตอบในทันที
หากเขาไม่สามารถจัดการเรื่องเล็กๆ เพียงแค่นั้นได้ เช่นนั้นเขาก็คงไม่มีสิทธิ์ได้รับการแต่งตั้งจากคุณหนูให้จัดการเรื่องต่างๆ หรอก
เฉียวเทียนช่างมองเห็นความมั่นใจของชิงเซวียน ก่อนจะพยักหน้าด้วยความพอใจ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะมอบเรื่องให้เจ้าจัดการต่อ”
“ขอรับ นายท่าน”
หากผู้อื่นมาได้ยินน้ำเสียงเย็นชาเช่นนั้น พวกเขาคงคิดว่าชิงเซวียนนั้นช่างเป็นคนที่น่ากลัว แต่เฉียวเทียนช่างซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าเขานั้นกลับคิดว่าเจ้าเด็กนี่ไม่เลวเลยทีเดียว
สุดท้าย หนิงเมิ่งเหยาก็ถูกเฉียวเทียนช่างจับได้ และลากลงมาข้างล่าง แต่ช่างโชคร้ายที่เฉียวเทียนช่างไม่มีโอกาสได้ทานอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะแม้แต่คำเดียว เพราะเหลยอันเดินทางมาถึงด้วยสีหน้าหนักใจเสียก่อน เขาเรียกหาเฉียวเทียนช่าง แล้วทั้งสองก็กลับออกไปพร้อมกัน
“คุณหนู นายท่านจะเป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ?” ท่านยายฉินมองคุณหนูของนางในดวงตามีร่องรอยความกังวลฉายให้เห็น
หนิงเมิ่งเหยาส่ายศีรษะ “ไม่เป็นไร เขา.. ไม่สิ คนนิสัยแบบนั้นน่ะคงไม่ปล่อยให้เกิดอะไรขึ้นกับตัวเองแน่”
ท่านยายฉินคิดตามอยู่พักหนึ่งแล้วก็เห็นด้วยกับคำพูดของหนิงเมิ่งเหยา เห็นได้ชัดว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ
เฉียวเทียนช่างเดินข้างเหลยอันพลางมองเขาอย่างเย็นชา “เกิดอะไรขึ้นกันแน่? เหตุใดเจ้าต้องเรียกข้าออกมาด้วยท่าทางเป็นกังวลขนาดนี้ด้วย?”
“นายท่าน ท่านควรเตรียมตัวให้พร้อม ตระกูลเฉียวทราบแล้วว่าท่านอยู่ที่นี่ ยิ่งกว่านั้น พวกเขายังรู้เรื่องการปล้นด้วยเช่นกัน” เหลยอันกล่าวอย่างเป็นกังวล
เฉียวเทียนช่างหัวเราะเย็นยะเยือก ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยแววตาเหยียดหยัน “แล้วยังไง?” พวกนั้นอยากจะหาประโยชน์จากตัวเขา แต่พวกมันก็ควรจะประเมินดูเสียก่อนว่าเขาจะอนุญาตให้เป็นแบบนั้นหรือไม่
เหลยอันรู้สึกปวดขมับเมื่อมองดูเฉียวเทียนช่าง เขานั้นรู้ดีว่านายท่านของตนหมายความว่าอย่างไร แต่ตอนนี้เขาไม่ได้ตัวคนเดียวอีกต่อไปแล้วไม่ใช่หรือ? ตอนนี้เขามีหนิงเมิ่งเหยาเป็นจุดอ่อนอยู่ ถ้าเกิดว่า…
“เหยาเหยาไม่ใช่จุดอ่อนของข้า เจ้าจะได้รู้แน่ถ้าพวกเขากล้าคิดจะทำอะไรกับนาง ข้าจะทำให้พวกเขาต้องเสียใจเอง” เฉียวเทียนช่างมองเหลยอัน แล้วพูดชัดๆ ทีละคำ
เหลยอันจ้องมองเฉียวเทียนช่าง ตัวแข็งทื่อ ผ่านไปหลายปีนักตั้งแต่เขาไม่ได้อยู่ข้างกายของเฉียวเทียนช่างเหมือนเมื่อก่อน มันเนิ่นนานเสียจนเขาแทบลืมเลือนว่านายท่านตอนอยู่ในสมรภูมินั้นเป็นเช่นไรไปเสียแล้ว แต่ในนาทีนั้น เฉียวเทียนช่างกลับมีบรรยากาศเฉกเช่นเดียวกับเมื่อสมัยเขายังอยู่ในสนามรบไม่มีผิด บรรยากาศนั้นโอบล้อมอยู่รอบตัวเขา แสดงออกถึงปณิธานอันแรงกล้า และความเด็ดขาดแน่วแน่
เฉียวเทียนช่างคนนี้ทำให้เหลยอันเลิกเป็นกังวล ดูเหมือนว่าพวกคนจากตระกูลเฉียวคงจะไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์อันใดจากนายท่านได้
“พวกเขาพักอยู่ในเมือง เจ้าอยากจะไปพบพวกเขาหรือไม่?”
“นายท่าน ท่านให้ข้าพักที่บ้านท่านสักคืนได้หรือไม่ขอรับ?” เหลยอันมองเฉียวเทียนช่างด้วยสายตาน่าสงสาร เมื่อเขาได้รับข่าว เขาก็รีบรุดมาที่นี่เลย แต่นายท่านของเขากลับจะถีบส่งเขาออกไปอย่างไร้หัวจิตหัวใจ อีกอย่างตอนนี้ก็เริ่มมืดแล้วด้วย
“ไม่มีทาง”
“นายท่าน ท่านโหดร้ายเกินไปแล้วขอรับ!” เหลยอันดูเหมือนคนที่เพิ่งรู้สึกตัวว่าทำผิดลงไป
เมื่อเฉียวเทียนช่างได้ยินเขากล่าวตัดพ้อเช่นนี้ จู่ๆ ก็หลุดหัวเราะออกมาจนเห็นฟันสีขาวเรียงกัน สีหน้าอันมืดทะมึนเช่นนั้นทำเอาเหลยอันหดคอลง “นายท่าน ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ขอรับ เมื่อครู่ข้าไม่ได้พูดอะไรเลย”
เมื่อพูดจบเขาก็รีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ราวกับกลัวว่าเฉียวเทียนช่างจะไล่ตามเขาไปด้วย
เฉียวเทียนช่างมองท่วงท่าการวิ่งหนีของเหลยอันด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ ดูเหมือนว่าความกล้าของเจ้าหนูนี่จะหดหายไปมากกว่าที่คิด เขาคงจะต้องฝึกใหม่อีกหนเสียแล้ว ระหว่างที่คิดเช่นนั้นอยู่ เฉียวเทียนช่างก็ลูบคางของตนไปด้วย
เหลยอันผู้วิ่งจนสุดฝีเท้าพลันรู้สึกถึงสายลมอันเย็นเยียบพัดผ่านที่หลังคอ เขาเผลอยกมือขึ้นลูบคอตัวเอง อืม คอเขายังอยู่ดี คงไม่จำเป็นต้องกังวลแล้วกระมัง
ในเช้าวันต่อมา เหลยอันก็ไปหาชายสองคนที่แวะไปบ้านของหยางเล่อเล่อมาก่อนหน้านี้ รอยคล้ำใต้ตาทั้งสองข้างของเขานั้นแทบจะสูสีคู่คี่กับดวงตาของหมีแพนด้าก็ไม่ปาน
“ท่านเหลยอัน เกิดอะไรขึ้นกับท่าน?” เมื่อหนึ่งในนั้นเห็นร่างอันผ่ายผอม และซีดเซียวของเหลยอัน จึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นด้วยความสงสัย
ใบหน้าของเหลยอันหมองหม่น “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย?”