ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน - บทที่ 143 คิดมากไปแล้ว + บทที่ 144 บ้านเจ้าก็คือบ้านข้า
- Home
- ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน
- บทที่ 143 คิดมากไปแล้ว + บทที่ 144 บ้านเจ้าก็คือบ้านข้า
บทที่ 143 คิดมากไปแล้ว + บทที่ 144 บ้านเจ้าก็คือบ้านข้า
Ink Stone_Romance
บทที่ 143 คิดมากไปแล้ว
“เจ้าบังอาจ” หยางฮว๋ายถลึงตาใส่เฉียวเทียนช่าง เขาไม่เคยคิดฝันว่าชายคนนี้จะมาข่มขู่ตน ป่าเถื่อนยิ่งนัก “หนิงเมิ่งเหยา เจ้าเห็นหรือไม่ เขาช่างเป็นคนดิบเถื่อน เจ้าจะแต่งงานกับเขาจริงหรือ”
“ตราบที่เขาไม่วางตัวเช่นนั้นกับข้า เขาใช้กำลังแล้วผิดตรงไหนเล่า เทียบกับสวะที่ไม่แม้แต่จะกระดิกนิ้ว ข้าขออยู่กับชายเถื่อนที่รู้ว่าต้องปฏิบัติต่อแขกอย่างไร ช่วยงานในครัว ปกป้องภรรยาของเขา และไล่พวกวิตถารออกไปดีกว่า อย่างน้อยเขาก็ปกป้องครอบครัวของเขาได้” หนิงเมิ่งเหยาตอบอย่างไม่แยแส
พวกผู้หญิงข้างๆ พากันผงกศีรษะ สำหรับสตรีแล้ว นอกจากได้แต่งงานกับชายผู้มั่งคั่ง เขายังจะต้องนิสัยดี ชายผู้นี้บอกว่าตนเป็นซิ่วไฉ แล้วอย่างไรเล่า ถ้าเขาช่วยเหลือครอบครัวไม่ได้ แต่งงานกับเขาไปจะมีค่าอะไร ให้เลือกชายที่ช่วยเหลือภรรยาเขาเสียดีกว่า อีกอย่าง เฉียวเทียนช่างก็ไม่ได้ยากจนถึงขั้นที่ภรรยาของเขาจะต้องอยู่อย่างยากลำบาก
เฉียวเทียนช่างพอใจกับคำบรรยายที่หนิงเมิ่งเหยาพูดถึงตน “เหยาเอ๋อร์ ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะประเมินข้าไว้สูงปานนั้น”
หนิงเมิ่งเหยากลอกตาใส่เฉียวเทียนช่าง จากนั้นก็พูดกับหยางฮว๋าย “หยางฮว๋าย เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือ ว่าเจตนาแท้จริงของเจ้าคืออะไร เจ้าทำเป็นบอกว่าอยากแต่งงานกับข้า แต่ที่จริงแล้ว เจ้าอยากได้โรงงานกับร้านขายสุราของข้าละสิ ถ้าข้าไม่มีสิ่งเหล่านั้น เจ้าจะยังแต่งงานกับข้าไหม ไม่หรอก เจ้าจะไม่คิดชายตามองข้าด้วยซ้ำ”
หยางฮว๋ายเงียบกริบ ผู้คนที่ยืนอยู่ด้านข้างต่างเข้าใจเจตนาแท้จริงของเขาเช่นกัน เขาเพียงอยากแต่งงานกับนางเพราะหวังทรัพย์สิน ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขากล้าทำตัวไร้ยางอายถึงขั้นนี้
“ตระกูลเฉินช่างไร้ยางอายสิ้นดีเลย เหอ ความรู้ที่เขาสั่งสมมาหายไปไหนหมดเสียเล่า ข้าไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาจะเป็นคนละโมบเพียงนี้” หญิงคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา
นางเฉินไม่คาดคิดว่าสถานการณ์จะลงเอยเช่นนี้ หน้านางซีดเซียว นางมองหนิงเมิ่งเหยา ปรารถนาสุดใจจะขจัดหนิงเมิ่งเหยาไปให้ได้ สีหน้านางบัดนี้ดูน่ากลัวยิ่งนัก
“ออกไปจากบ้านของข้า ยิ่งพวกเจ้าอยู่ ข้ายิ่งรู้สึกรังเกียจ” เมื่อเห็นสองแม่ลูกสร้างปัญหามากมายแล้วยังไม่ยอมไป เฉียวเทียนช่างก็ตะโกนอย่างเดือดดาล
“จริงด้วย พวกเจ้าไปเสียดีกว่า ถามจริงเถอะ เจ้าคิดว่าเจ้ามีดีมากนักหรือกับแค่ได้เป็นซิ่วไฉ”
“จริงด้วย ถูกที่สุด!”
ทุกคนเริ่มพูดบ้าง ต่อให้นางเฉินกับหยางฮว๋ายหน้าหนาเพียงใดก็ไม่อาจทนได้ถึงที่สุด พวกเขามีสีหน้าเคร่งเครียด โดยเฉพาะตัวหยางฮว๋ายเอง
เขาไม่เคยต้องอับอายเช่นนี้มาก่อน
หยางฮว๋ายสะบัดแขนเสื้อแล้วหันหนีไป นางเฉินมองหยางฮว๋ายเดินจากไปแล้วมองยังผู้คนในบ้าน สุดท้ายนางก็ตามหยางฮว๋ายไปด้วย
หลังจากพวกนางไปพ้นแล้ว เฉียวเทียนช่างขออภัยแขกทุกคน “ข้าต้องขออภัยพวกท่านทุกคนด้วย ทุกอย่างเริ่มต้นด้วยดี แต่กลับมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น”
“เจ้าหนุ่ม พูดอะไรของเจ้ากัน แม่ลูกคู่นั้นต่างหากที่ควรขอโทษ เจ้าไปเกี่ยวอะไรด้วย” “นั่นน่ะสิ เทียนช่าง เจ้ากับเมิ่งเหยาหมั้นกันแล้ว อีกไม่นานพวกเจ้าจะเป็นสามีภรรยากัน ให้ผู้หญิงอยู่ตัวคนเดียวมันลำบากนัก เจ้าก็ด้วย ในเมื่อพวกเจ้ามาลงเอยกันถึงขั้นนี้ ถึงเวลาช่วยเหลือกันและกันแล้วนะ คนอื่นจะคิดอย่างไร พวกเจ้าไม่ต้องไปสนใจนักหรอก เราบงการความคิดผู้อื่นไม่ได้ จริงไหม” หยางจู้มองทั้งสองที่ยืนกุมมือกันไว้
ถึงแม้จะเป็นการดูหมิ่นต่อความเชื่อทางชนชั้นอันเก่าแก่ แต่ก็ไม่ใช่ว่าทั้งสองลักลอบได้กันในที่ลับเสียเมื่อไร พวกเขาหมั้นกันแล้ว ดังนั้นไม่จำเป็นต้องคิดเป็นอื่น
“ท่านลุง ขออย่าได้เป็นกังวล” เฉียวเทียนช่างผงกศีรษะอย่างจริงจัง “ข้าจะดูแลเหยาเหยาเอง”
“เช่นนั้นข้าก็โล่งใจ” หยางจู้ผงกศีรษะ
หยางจู้ปฏิบัติกับหนิงเมิ่งเหยาเหมือนนางเป็นบุตรสาวเขาอีกคน เมื่อเห็นนางมีบ้านที่ดี ให้กลับไป เขาก็เป็นสุขจากใจจริง
ทุกคนช่วยเฉียวเทียนช่างทำความสะอาดบ้าน แล้วแบ่งจานอาหารที่เหลืออยู่ให้ทุกคนได้นำกลับบ้าน
ทุกคนต่างแยกย้ายออกไปหมดตอนตะวันตกดิน
หลังจากคนเหล่านั้นไป เฉียวเทียนช่างถอนหายใจโล่งอก “จัดงานเลี้ยงนี่เหนื่อยนัก”
“ข้าเห็นด้วย” หนิงเมิ่งเหยาผงกศีรษะ นางเหนื่อยเล็กน้อยเช่นกัน ตอนทั้งสองแต่งงานกันคงจะเหนื่อยยิ่งกว่านี้อีกกระมัง
เมื่อคิดถึงเรื่องนั้น หนิงเมิ่งเหยาเกิดเขินขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อครู่นางคิดอะไรไปนะ เหตุใดนางถึงคิดเรื่องแต่งงานขึ้นมา
บทที่ 144 บ้านเจ้าก็คือบ้านข้า
ครั้นเห็นหนิงเมิ่งเหยาสีหน้าเปลี่ยนไป และสังเกตว่าแก้มนางแดงเรื่อ เฉียวเทียนช่างจึงถามด้วยความสงสัย “เป็นอะไรไป แก้มเจ้าแดงอย่างกับลูกตำลึง ข้าเห็นแล้วอยากกัดนักเชียว”
หนิงเมิ่งเหยาผู้ซึ่งยังเขินอยู่เล็กน้อยโกรธขึ้นมาทันใด และยิ่งอายพอได้ยินที่เขาพูด
“เจ้าไม่พูดก็ไม่มีใครคิดว่าเจ้าเป็นใบ้หรอกนะ” เห็นได้ชัดว่าเขารู้ว่านางเขิน แต่ก็ยังจะพูดจาเช่นนั้น
เฉียวเทียนช่างย่อมเห็นว่านางขวยเขิน เขาเอื้อมไปลูบไล้แก้มนาง “เหยาเอ๋อร์ ข้าแค่เย้าเจ้าเล่น”
หนิงเมิ่งเหยากลอกตาแล้วพ่นลมเยาะ จากนั้นก็ยืดอกกล่าวว่า “นับแต่พรุ่งนี้ไป ห้ามเจ้ามากินข้าวที่บ้านข้าหนึ่งเดือน”
“บ้านเจ้าก็เป็นบ้านของข้าด้วยนะ” เฉียวเทียนช่างตอบกลับอย่างเฉยชา
“นี่คือบ้านของข้า” หนิงเมิ่งเหยาถลึงตาใส่เขา
“ก็ได้ นี่คือบ้านของเจ้า” ‘แต่ข้าจะมาอาศัยอยู่ที่นี่ด้วยในวันหน้า’
หนิงเมิ่งเหยามองชายตรงหน้าอย่างเคลือบแคลง นางรู้สึกว่าเขาพูดจามีนัยยะแอบแฝงอยู่เสมอเลย แต่ไม่เคยบอกได้ว่าเขาหมายถึงอะไรแน่
เฉียวเทียนช่างเอื้อมแตะหน้าหนิงเมิ่งเหยา แย้มยิ้มพลางพูด “เอาล่ะ ข้าไม่แกล้งเจ้าแล้ว ข้าจะต้องเดินทางไปที่อื่นสักพัก ประมาณห้าถึงหกวัน”
ก่อนการหมั้นหมาย เขาได้รับข่าวจากเหลยอันว่าค้นพบค่ายของพวกโจรแล้ว จึงตั้งใจจะไปที่นั่นและสำรวจดู
แต่เพราะเขาต้องเตรียมงานหมั้นก่อน จึงไม่อาจรีบรุดหน้าไปที่นั่นได้ ตอนนี้เขาไม่มีกิจธุระอื่น ดังนั้นจึงต้องไป
แม้ว่าตอนนี้เขาจะอยากอยู่กับหนิงเมิ่งเหยา แต่ยังมีเรื่องอื่นที่เขาละเลยไม่ได้
หนิงเมิ่งเหยาย่นหัวคิ้ว “เจ้าจะไปไหนหรือ”
“เกี่ยวกับโจรพวกนั้น เหลยอันเจอค่ายของพวกมันแล้วและอยากให้ข้าไปที่นั่น” เฉียวเทียนช่างตอบด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด
หนิงเมิ่งเหยาเงยหน้าขึ้นมองเฉียวเทียนช่าง ดวงตานางเต็มไปด้วยคำถาม
“เจ้าไปเกี่ยวอะไรกับพวกเขากัน” เรื่องนี้คือสิ่งที่นางอยากจะรู้ที่สุด
นางไม่สนว่าอดีตเขาเป็นเช่นไร ตราบที่เขาอยู่กับนางที่นี่แล้วใช้ชีวิตปกติสุขด้วยกัน แต่บัดนี้เขามาบอกนางว่าเขาต้องไป
แม้ว่าสิ่งที่เขาพูดจะฟังดูง่ายมาก เพียงไปที่ค่ายของพวกโจร แต่ถ้าคนเหล่านั้นไม่เชื่อใจเขา จะยอมปล่อยให้เขาไปได้อย่างไร? ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขายังเจาะจงเรียกเป็นพิเศษอีกด้วย
เฉียวเทียนช่างเอื้อมไปโอบกอดหนิงเมิ่งเหยา รอยยิ้มบางปรากฏบนหน้าชายหนุ่ม “ข้าเคยไปรบมาก่อน ตอนนั้นข้าเป็นแม่ทัพ หลังสงคราบจบลง ข้าจากมาอยู่ที่นี่ ข้ายังเคยแจ้งแก่เบื้องบนไว้ด้วยว่าถ้าไม่มีสงคราม ข้าจะไม่กลับไป แต่ตอนนี้ต่างออกไป เพราะการรับมือพวกโจรนั้นยุ่งยาก พวกเขาไม่มีคนอื่นที่เหมาะสมจึงได้มาขอร้องข้า อีกอย่าง เขากับข้าเป็นเสมือนพี่น้องกัน”
หลังจากได้ฟังคำอธิบาย หนิงเมิ่งเหยาก็เข้าใจในที่สุด นางผละออกจากอ้อมแขนเขาแล้วมองใบหน้าคมคายด้วยสายตาจริงจัง
นางรู้ว่าเขาเป็นคนยอดเยี่ยมนัก แต่ไม่คิดว่าเขาจะเคยเป็นถึงแม่ทัพ บัดนี้นางเข้าใจแล้วว่าเขาจะไม่กลับไปยกเว้นว่าจะมีสงครามอีก
เท่าที่นางรู้ ความสัมพันธ์กับเมืองอื่นยังถือว่ามั่นคงดี ดังนั้นจะเลี่ยงสงครามย่อมเป็นเรื่องง่าย ในขณะเดียวกัน ก็ช่างเป็นเรื่องประชดประชันสำหรับผู้อยู่สูงสุดพอสมควร เพราะตั้งแต่วินาทีที่เขาขึ้นครองบัลลังก์ เขาได้จัดการผู้ที่ขัดแย้งอีกมากมาย และมีอำนาจควบคุมมากที่สุดอยู่ในมือ ดังนั้นเขาไม่มีวันยอมให้ใครหน้าไหนมาท้าทายอำนาจ
“ข้าจะรอเจ้ากลับมาที่นี่” หลังจากไตร่ตรองแล้ว หนิงเมิ่งเหยาก็เผยยิ้มเล็กๆ
“ตกลง ข้าจะกลับมาในไม่ช้า เจ้าระวังตัวด้วย เข้าใจหรือไม่” แม้นางจะมีคนมากความสามารถคอยปกป้อง แต่เขาก็ยังเป็นห่วง
หนิงเมิ่งเหยาลูบมือเขาแล้วกระซิบแผ่วเบา “อย่าห่วงไปเลย ข้าไม่ใช่คนที่จะโดนรังแกง่ายๆ”
เฉียวเทียนช่างยิ้ม หลังจากอธิบายจบแล้ว เขาอยู่กับหนิงเมิ่งเหยาจนถึงค่ำก่อนจะกลับบ้านตัวเอง
ที่บ้านของเขา เฉียวเทียนช่างรู้สึกโหวง เขาคิดกับตัวเอง ‘ข้าควรจะแต่งงานกับหนิงเมิ่งเหยาเมื่อกลับมาเลยหรือไม่นะ’ หลังงานหมั้น เขารู้สึกแปลกที่มาอยู่คนเดียวในบ้านว่างๆ หลังนี้ ที่นี่เงียบเกินไป
ทำไมเขาถึงไม่รู้ตัวให้เร็วกว่านี้
ที่ห้องของนาง หนิงเมิ่งเหยานอนไม่หลับ นางพลิกตัวขยับกายไปมา แล้วหลับลงได้ในตอนฟ้าสาง นางตื่นแต่เช้าในวันถัดมา แล้วเตรียมอาหารแห้งให้เฉียวเทียนช่างนำติดตัวไปสำหรับการเดินทาง หลังจากทานอาหารด้วยกัน นางยืนอยู่ตรงประตู มองชายบนหลังม้าที่ควบออกไป
นางมองแผ่นหลังของเขาค่อยๆ เล็กลง ไม่อาจทำอะไรอื่นได้นอกจากภาวนาขอให้เขาปลอดภัยกลับมา